พระบัญญัติว่าความศาลต่างประเทศ --------------- |
มีพระบรมราชโองการมารพระบัณฑูรสุรสิงหนาท ดำรัสเหนือเกล้าฯ สั่งว่า ทรงพระราชดำริห์ว่า ความซึ่งสัปเยกต์นาเนาประเทศฟ้องเปนโจทย์ฝ่ายไทยจำเลยตก ศาลกรมท่ากลาง แลศาลต่างประเทศ ฦากงสุลส่งฟ้องไปยังกรมมหาดไทยกระลาโหม และ กรมอื่น ๆ ฝ่ายสัปเยกต์ต่างประเทศ ฝ่ายคนสัปเยกต์ต่างประเทศแต่งทนายว่าความได้ทุก เรื่อง คนฝ่ายไทยต้องชำระตามกฎหมายไทย ฝ่ายคนสัปเยกต์ต่างประเทศแต่งทนายว่า ความได้ทุกเรื่อง คนฝ่ายไทยต่อสูงนา ๔๐๐ ไร่ ขึ้นไปจึ่งแต่งทนายได้ เปนการที่คนไทยเสีย เปรียบอยู่ เพราะคนต่างประเทศหาทนายมาว่าความ ก็คงเปนคนรู้ความเข้าใจกฎหมาย แล้วฝ่ายไทยที่มาว่าความถ้าเปนคนที่ไม่เข้าใจความ ฤาเปนจีนที่ไม่รู้ภาษาต้องเข้าว่า ความสู้กับผู้ที่รู้ฝ่ายหนึ่ง ก็เปนอันยากที่จะต่อสู้แสดงความจริงของตัวให้ชัดเจนได้ อีกประ การหนึ่งความที่เกี่ยวข้องกับคนต่างประเทศมักจะเปนความที่ซื้อขายต่อกันแลกัน ผู้ที่ทำมา หากินซื้อขายอยู่ คนสัปเยกต์มาเปนโจทย์ฟ้องกล่าวโทษความแต่น้อยเดียว ก็ต้องหาตัวมาสู้ ความเองป่วยการทำมาหากิน เพราะกฎหมายเดิมบังคับคนที่ถือกฎหมายเดียวด้วยกันทั้งสอง ฝ่าย จึ่งไม่เปนการหนักข้างหนึ่งเบาข้างหนึ่ง บัดนี้กฎหมายต้องถือสองฉบับ จึ่งได้เปนการ เดือดร้อนข้างฝ่ายไทย อีกประการหนึ่ง คนสัปเยกตต์ต่างประเทศ ซึ่งมาฟ้องเปนความในศาลต่างประ เทศ ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเตมตามธรรมเนียมศาลฝ่ายไทย แต่คนฝ่ายไทยที่เปนความ ต้องเสียค่าธรรมเนียมเตมตามธรรมเนียมศาลทุกสิ่งทุกประการ เปนการหนักกว่ากันข้างหนึ่ง เบากว่ากันข้างหนึ่งดังนี้ ทรงพระราชดำริห์เหนการสองข้อนี้ จึ่งทรงพระมหากรุณาแก่ราษฎรไทยจีน ซึ่ง เปนสัปเยกต์ฝ่ายสยาม ที่ต้องถูกหนักบ่าเพราะการเปลี่ยนแปลงไปดังนี้ |
ข้อ ๑ ถ้าคนสัปเยกต์ เปนโจทย์ฟ้องกล่าวโทษคนไทย แต่งทนายให้มาว่าความ ฝ่ายไทยซึ่งเปนจำเลยถึงต่ำนา ๔๐๐ ไร่ ถ้าอยากจะแต่งนายก็ให้แต่งได้ เพราะฝ่ายโจทย์ ก็ต่ำศักดิ์นา ๔๐๐ ไร่เหมือนกัน เว้นไว้แต่จำเลยที่ต้องคำหา ว่าเปนผู้ร้ายในความฉกรรจ์ มหันต์โทษ ที่จะต้องพิจารณาตามจารีตนครบาล
ข้อ ๒ ตระลาการศาลทั้งปวง จะเรียกเงินค่าธรรมเนียม แต่คนสัปเยกต์ต่าง ประเทศผู้แพ้ผู้ชนะ ได้มากน้อยเท่าใด ให้เรียกแก่คนไทยผู้แพ้ผู้ชนะเท่ากับเรียกจากคนสัปเยกต์ต่างประเทศ
ข้อ ๓ กฎหมายบังคับเรื่องแต่งทนายแลธรรมเนียมศาล ซึ่งเรียกค่าธรรมเนียมความมาแต่เดิมนั้นอย่างไรนั้นไม่เลิกถอน แต่เฉภาะให้ใช้แต่ไทยที่ถือกฎหมายเดียวกัน ทั้งโจทย์จำเลย พระราชกำหนดนี้ ตั้ง ณ วันเสาร เดือนแปด แรมห้าค่ำ ปีมะเสงตรีศก ศักราช ๑๒๔๓ เปนวันที่ ๔๖๔๑ ในรัชการปัตจุบันนี้ (ร.จ. เล่ม ๑ หน้า ๒๗ ) |