พระราชกำหนด
              แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 15)
                         พ.ศ. 2532
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
               ให้ไว้ ณ วันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2532
                   เป็นปีที่ 44 ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ
ให้ประกาศว่า
   โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร
   อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 157 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรง
พระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชกำหนดขึ้นไว้ดังต่อไปนี้

   มาตรา 1 พระราชกำหนดนี้เรียกว่า "พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร
(ฉบับที่ 15) พ.ศ. 2532"

   มาตรา 2 พระราชกำหนดนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมพ.ศ. 2532 เป็นต้นไป

   มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา 42 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่ง
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 13) พ.ศ.
2527 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
   "มาตรา 42 ทวิ เงินได้พึงประเมินตามความในมาตรา 40 (1) และ (2) เว้นแต่
ที่กำหนดในวรรคสามยอมให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ร้อยละ 30 แต่รวมกันต้อง
ไม่เกิน 50,000 บาท"

   มาตรา 4 ให้ยกเลิกความใน (ก)(ข) และ (ค) ของมาตรา 47 (1) แห่ง
ประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร
(ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2527 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
   "(ก) ผู้มีเงินได้ 15,000 บาท
    (ข) สามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ 15,000 บาท
    (ค) บุตรชอบด้วยกฎหมายหรือบุตรบุญธรรมของผู้มีเงินได้ รวมทั้งบุตรชอบด้วย
กฎหมายของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ด้วย
        (1) ที่เกิดก่อนหรือใน พ.ศ. 2522 หรือที่ได้รับเป็นบุตรบุญธรรมก่อน พ.ศ.
2522 คนละ 7,000 บาท
        (2) ที่เกิดหลัง พ.ศ. 2522 หรือที่ได้รับเป็นบุตรบุญธรรมในหรือหลัง พ.ศ.
2522 คนละ 7,000 บาท แต่รวมกันต้องไม่เกินสามคน
   ในกรณีผู้มีเงินได้มีบุตรทั้งตาม (1) และ (2) การหักลดหย่อนสำหรับบุตร ให้นำบุตร
ตาม (1) ทั้งหมดมาหักก่อน แล้วจึงนำบุตรตาม(2) มาหัก เว้นแต่ในกรณีผู้มีเงินได้มีบุตร
ตาม (1) ที่มีชีวิตอยู่รวมเป็นจำนวนตั้งแต่สามคนขึ้นไป จะนำบุตรตาม (2) มาหักไม่ได้
แต่ถ้าบุตรตาม (1) มีจำนวนไม่ถึงสามคน ให้นำบุตรตาม (2) มาหักได้ โดยเมื่อรวมกับ
บุตรตาม (1) แล้วต้องไม่เกินสามคน
   การนับจำนวนบุตรให้นับเฉพาะบุตรที่มีชีวิตอยู่ตามลำดับอายุสูงสุดของบุตร โดยให้นับ
รวมทั้งบุตรที่ไม่อยู่ในเกณฑ์ได้รับการหักลดหย่อนด้วย
   การหักลดหย่อนสำหรับบุตร ให้หักได้เฉพาะบุตรซึ่งมีอายุไม่เกินยี่สิบห้าปี และยังศึกษา
อยู่ในมหาวิทยาลัยหรือชั้นอุดมศึกษา หรือซึ่งเป็นผู้เยาว์หรือศาลสั่งให้เป็น
คนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถอันอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดู แต่มิให้
หักลดหย่อนสำหรับบุตรดังกล่าวที่มีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วตั้งแต่ 7,000
บาทขึ้นไป โดยเงินได้พึงประเมินนั้นไม่เข้าลักษณะตามมาตรา 42
   การหักลดหย่อนสำหรับบุตรดังกล่าว ให้หักได้ตลอดปีภาษี ไม่ว่ากรณีที่จะหักได้นั้นจะมี
อยู่ตลอดปีภาษีหรือไม่ และในกรณีบุตรบุญธรรมนั้นให้หักค่าลดหย่อนในฐานะบุตรบุญธรรมได้
แต่ฐานะเดียว"

   มาตรา 5 ให้ยกเลิกความใน (2) ของมาตรา 47 แห่งประมวลรัษฎากร (ฉบับที่
14) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 14)
พ.ศ. 2529 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
   "(2) ในกรณีสามีภริยาต่างฝ่ายต่างมีเงินได้ ถ้าความเป็นสามีภรรยาได้มีอยู่ตลอด
ปีภาษี การหักลดหย่อนตาม (1) (ก) และ(ข) ให้หักลดหย่อนรวมกันได้ 30,000 บาท
แต่ถ้าความเป็นสามีภรรยามิได้มีอยู่ตลอดปีภาษี ให้ต่างฝ่ายต่างหักลดหย่อนได้ตาม (1)
(ก) และสำหรับการหักลดหย่อนตาม (ค) (ฉ) และ (ช) ให้ต่างฝ่ายต่างหักได้กึ่งหนึ่ง
ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในแต่ละกรณี"

   มาตรา 6 ให้ยกเลิกความใน (5) และ (6) ของมาตรา 47 แห่งประมวลรัษฎากร
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 13) พ.ศ.
2527 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
   "(5) ในกรณีผู้มีเงินได้เป็นกองมรดก ให้หักลดหย่อนได้ 15,000 บาท
    (6) ในกรณีผู้มีเงินได้เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลให้หักลด
หย่อนได้ตาม (1) (ก) สำหรับผู้เป็นหุ้นส่วนหรือบุคคลในคณะบุคคลแต่ละคนที่อยู่ใน
ประเทศไทย  แต่รวมกันต้องไม่เกิน 30,000 บาท"

   มาตรา 7 ให้ยกเลิกความใน (3) ของมาตรา 48 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไข
เพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2529
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
   "(3) ผู้มีเงินได้จะเลือกเสียภาษีในอัตราร้อยละ 15.0 ของเงินได้โดยไม่ต้องนำไป
รวมคำนวณภาษีตาม (1) และ (2) ก็ได้ สำหรับเงินได้ตามมาตรา 40 (4) (ก) และ
(ข) เฉพาะที่ได้รับตั้งแต่ พ.ศ. 2532 ถึง พ.ศ. 2534 ดังต่อไปนี้
        (ก) ดอกเบี้ยพันธบัตรของรัฐบาล ดอกเบี้ยพันธบัตรหรือหุ้นกู้ขององค์การของ
รัฐบาล ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักรดอกเบี้ยเงินฝากสหกรณ์ ดอกเบี้ยเงินกู้
ยืมที่ได้จากบริษัทเงินทุนหรือดอกเบี้ยที่ได้จากสถาบันการเงินที่มีกฎหมายโดยเฉพาะของ
ประเทศไทยจัดตั้งขึ้นสำหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม พาณิชยกรรมหรือ
อุตสาหกรรม
        (ข) ผลต่างระหว่างราคาไถ่ถอนกับราคาจำหน่ายตั๋วเงินหรือตราสารแสดง
สิทธิในหนี้ ซึ่งบริษัทเงินทุนเป็นผู้ออก
        (ค) ผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนพันธบัตรของรัฐบาลหรือพันธบัตรหรือหุ้นกู้
ขององค์การของรัฐบาล ทั้งนี้ เฉพาะที่ตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุนและเฉพาะที่ได้
จากการขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย"

   มาตรา 8 ให้ยกเลิกความใน (ก) และ (ข) ของมาตรา 50 (2) แห่ง
ประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร
(ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2529 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
       "(ก) ในกรณีเงินได้พึงประเมินที่ระบุในมาตรา 48 (3)(ก) และ (ค) ถ้า
จ่ายตั้งแต่ พ.ศ. 2532 ถึง พ.ศ. 2534 ให้คำนวณหักในอัตราร้อยละ 15.0 ของ
เงินได้ และถ้าจ่ายตั้งแต่ พ.ศ. 2535 เป็นต้นไป ให้คำนวณหักตามอัตราภาษีเงินได้
        (ข) ในกรณีเงินได้พึงประเมินที่ระบุในมาตรา 48(3) (ข) ให้ถือว่าผู้ออก
ตั๋วเงิน ผู้ออกตราสารแสดงสิทธิในหนี้หรือนิติบุคคลผู้โอนตั๋วเงินหรือตราสารดังกล่าว ให้
แก่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ตามส่วนนี้ เป็นผู้จ่ายเงินได้พึงประเมิน และให้เรียกเก็บ
ภาษีเงินได้จากผู้มีเงินได้ในอัตราร้อยละ 15.0 ของเงินได้ ถ้าจ่ายตั้งแต่ พ.ศ. 2532
ถึง พ.ศ. 2534 และถ้าจ่ายตั้งแต่ พ.ศ. 2535 เป็นต้นไป ให้เรียกเก็บตามอัตราภาษี
เงินได้ และให้ถือว่าภาษีที่เรียกเก็บนั้นเป็นภาษีที่หักไว้"

   มาตรา 9 ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา 56 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่ง
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 13) พ.ศ.
2527 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
   "มาตรา 56 ให้บุคคลทุกคนเว้นแต่ผู้เยาว์ หรือผู้ที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ
หรือเสมือนไร้ความสามารถยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมินที่ตนได้รับในระหว่าง
ปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว พร้อมทั้งข้อความอื่น ๆ ภายในเดือนมีนาคมทุก ๆ ปี ตามแบบที่อธิบดี
กำหนดต่อเจ้าพนักงานซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้ง ถ้าบุคคลนั้น
        (1) ไม่มีสามีหรือภริยาและมีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วเกิน
15,000 บาท
        (2) ไม่มีสามีหรือภริยาและมีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วเฉพาะ
ตามมาตรา 40 (1) ประเภทเดียวเกิน 21,500 บาท
        (3) มีสามีหรือภรรยาและมีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วเกิน
30,000 บาท หรือ
        (4) มีสามีหรือภริยาและมีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วเฉพาะตาม
มาตรา 40 (1) ประเภทเดียวเกิน 43,000 บาท"

   มาตรา 10 ให้ยกเลิกความใน (1) สำหรับบุคคลธรรมดา แห่งบัญชีอัตราภาษีเงินได้
ท้ายหมวด 7 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากรซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนด
แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร(ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2529 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
   "(1) สำหรับบุคคลธรรมดา
        เงินได้สุทธิไม่เกิน             50,000 บาท ร้อยละ 5
        เงินได้สุทธิส่วนที่เกิน           50,000 บาท
                แต่ไม่เกิน          200,000 บาท ร้อยละ 10
        เงินได้สุทธิส่วนที่เกิน          200,000 บาท
                แต่ไม่เกิน          500,000 บาท ร้อยละ 20
        เงินได้สุทธิส่วนที่เกิน          500,000 บาท
                แต่ไม่เกิน        1,000,000 บาท ร้อยละ 30
        เงินได้สุทธิส่วนที่เกิน        1,000,000 บาท
                แต่ไม่เกิน        2,000,000 บาท ร้อยละ 40
        เงินได้สุทธิส่วนที่เกิน        2,000,000 บาท ร้อยละ 55"

   มาตรา 11 บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากรที่ถูกยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติมโดย
พระราชกำหนดนี้ให้ยังคงใช้บังคับต่อไป เฉพาะในการปฏิบัติจัดเก็บภาษีอากรที่ค้างอยู่
หรือที่พึงชำระก่อนวันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ

   มาตรา 12 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชกำหนดนี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ
นายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกำหนดฉบับนี้ คือ โดยที่มีความจำเป็น
ต้องปรับปรุงประมวลรัษฎากรให้เหมาะสมกับสภาพและเหตุการณ์ในปัจจุบันซึ่งจะต้อง
พิจารณาโดยด่วนและลับเพื่อรักษาประโยชน์ของแผ่นดินและเป็นกรณีฉุกเฉิน มีความจำเป็น
รีบด่วนในอันจะรักษาความมั่นคงในทางเศรษฐกิจ จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้
(ร.จ.เล่ม 106 ตอนที่ 8 หน้า 1 14 มกราคม 2532)