พระราชบัญญัติ
แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ 6 )
พ.ศ. 2545
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ 14 กรกฏาคม พ.ศ. 2545
เป็นปีที่ 57 ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้
ประกาศว่า
        โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากร
        จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำ และยินยอมของรัฐสภา
ดังต่อไปนี้

        มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดพิกัด
อัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่6 ) พ.ศ. 2545 "

        มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป

        มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในช่องรายการของประเภท 12 ในภาค 4 ของที่ได้ยกเว้นอากร
แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 และให้ใช้ความตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัตินี้แทน
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี
บัญชีท้ายพระราชบัญญัติ
แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ 6)
พ.ศ. 2545
ภาค 4
ของที่ได้รับยกเว้นอากร
ประเภท                                          รายการ
12      "ของที่นำเข้าโดยทางไปรษณีย์ ซึ่งแต่ละหีบห่อมีราคาไม่เกินหนึ่งพันบาท
หรือของที่นำเข้าทางสนามบินศุลกากร ซึ่งแต่ละรายมีราคาไม่เกิน
หนึ่งพันบาท"
   หมายเหตุ เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530
ได้กำหนดให้ของที่นำเข้าโดยทางไปรษณีย์ ซึ่งแต่ละหีบห่อมีราคาไม่เกินห้าร้อยบาท เป็นของที่ได้รับยกเว้นอากร
แต่เนื่องจากปัจจุบันเศรษฐกิจได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก ทำให้มูลค่าของนำเข้าดังกล่าวไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายในการ
จัดเก็บภาษีอากร สมควรแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มมูลค่าของของที่นำเข้าโดยทางไปรษณีย์ที่ได้รับยกเว้นอากรให้สูงขึ้น
นอกจากนั้นของที่นำเข้าทางสนามบินศุลกากรซึ่งมีลักษณะเป็นการนำของเข้าโดยเร่งด่วนและมีการดำเนินการ
ในลักษณะเดียวกันกับการนำของเข้าโดยทางไปรษณีย์ ยังมิได้กำหนดให้เป็นจองที่ได้รับยกเว้นอากร สมควรกำหนด
ให้ของที่นำเข้าทางสนามบินศุลกากร เป็นของที่ได้รับยกเว้นอากรเช่นเดียวกับของที่นำเข้าโดยทางไปรษณีย์ เพื่อให้
เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ที่นำของเข้าทั้งสองกรณี จึงจำเป็นต้องพระราชบัญญัตินี้
        ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 119 ตอนที่ 67 ก หน้า 12-13 วันที่ 17 กรกฎาคม  2545

บันทึกท้ายพระราชบัญญัติ
1.พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530
(ฉบับที่ 1) พ.ศ. 2537
ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 111 ตอนที่ 62 ก หน้า 3-4 ลงวันที่ 28
ธันวาคม 2537 โดยมีเหตุผลการประกาศใช้คือ
โดยที่ในปัจุบันการตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับการกำหนดอัตราศุลกากร
มีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้น สมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากรให้รัฐบาล
สามารถยกเว้น ลดหรือเพิ่มอากรจากอัตราที่กำหนดไว้ในพิกัดอัตราศุลกากร หรือประกาศเรียกเก็บ
อากรตามอัตราที่กำหนดไว้ในพิกัดอัตราศุลกากรเพื่อรับรองพันธกรณีต่าง ๆ ที่ประเทศไทยได้เข้า
เป็นสมาชิกขององค์การกการค้าโลกหรือที่ประเทศไทยจะร่วมลงนาม หรือเข้าเป็นสมาชิกในอนาคต
จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
2.พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ. 2541
ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาเล่ม 115 ตอนที่ 60 ก หน้า 1-3 ลงวันที่ 11
กันยายน 2545 โดยมีเหตุผลการประกาศใช้คือ
โดยที่คนพิการเป็นทรัพยากรส่วนหนึ่งของประเทศแต่เนื่องจากสภาพของความ
พิการเป็นอุปสรรคในการดำรงชีวิต ในการประกอบอาชีพ และในการมีส่วนร่วมในกิจกรรมของ
สังคม ดังนั้นเพื่อให้คนพิการได้มีโอกาสดำรงชีวิตในสังคมให้ทัดเทียมคนปกติ มีโอกาสประกอบ
อาชีพหรือมีส่วนร่วมในกิจกรรมของสังคมได้ดียิ่งขึ้น จึงสมควรส่งเสริมให้คนพิการได้รับการฟื้นฟู
สมรรถภาพให้มีสภาพที่ดีขึ้น โดยยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับของที่นำเข้ามาสำหรับคนพิการใช้โดย
เฉพาะหรือใช้ในการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่อธิบดี
กรมศุลกากรกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จึงจำเป็นต้องตรา
พระราชบัญญัตินี้
3.พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530
   (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2541
ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 115 ตอนที่ 78 ก หน้า 1-2 ลงวันที่ 30
ตุลาคม 2541 โดยมีเหตุผลการประกาศใช้คือ
โดยที่ประเทศไทยเป็นภาคีอนุสัญญาระบบฮาร์โมไนซ์ (International Convention
on the Hamonized Commodity Description and Coding System)  ซึ่งคณะรัฐมนตรีความร่วมมือทาง
ศุลกากรตามอนุสัญญญาดังกล่าวได้กำหนดให้แก้ไขการจำแนกประเภทสินค้าอยู่เสมอ เพื่อความสอด
คล้องและความสะดวกในการค้าระหว่างประเทศ ทำให้จำต้องแก้ไขพิกัดอัตราศุลกากรให้รวดเร็ว
และสอดคล้องกับพันธกรณี ระหว่างประเทศดังกล่าว จึงจำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนด
 พิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 เพื่อให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังโดยความเห็นชอบของ
คณะรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศแก้ไขพิกัดอัตราศุลกากรได้ แต่ทั้งนี้จะต้องมีอัตราเท่ากับหรือไม่สูง
กว่าอัตราเดิม จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
4. พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530
 ( ฉบับที่ 4 ) พ.ศ. 2543

        ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 117 ตอนที่ 9 ก หน้า 18 ? 19 ลงวันที่ 17
กุมภาพันธ์ 2543 โดยมีเหตุผลการประกาศใช้คือ
        เนื่องจากประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลก ซึ่งต้องนำความใน
มาตรา 7 ของความตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้า 1994 มาถือปฏิบัติและโดยที่
ความตกลงดังกล่าวได้กำหนดดให้ใช้ราคาศุลกากรเป็นเกณฑ์ในการประเมินเงินอากรสำหรับของ
นำเข้าซึ่งแตกต่างจากมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ที่กำหนดให้
อธิบดีกรมศุลกากรมีอำนาจประกาศราคาในท้องตลาดเป็นรายเฉลี่ยเป็นเกณฑ์ประเมินเงินอากร
สำหรับของนำเข้า ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 7 ของความตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากร
และการค้า 1994 จึงต้องยกเลิกการกำหนดให้ใช้ราคาในท้องตลาดเป็นรายเฉลี่ยเป็นเกณฑ์ประเมิน
เงินอากรสำหรับของนำเข้าโดยให้ใช้ราคาศุลกากรแทน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
5. พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530
(ฉบับที่ 5 ) พ.ศ. 2543

        ประกาศในราชกิจจานุเบกษา 117 ตอนที่ 108 ก หน้า 8-9 ลงวันที่ 17
พฤศจิกายน 2543 โดยมีเหตุผลการประกาศใช้คือ
        โดยที่ในปัจจุบันได้มีการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐขึ้นใหม่เป็นจำนวนมาก ไม่ว่า
จะตั้งขึ้นโดยกฎหมายเฉพาะหรือกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ เช่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เป็นต้น แต่ทว่าพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530
ได้กำหนดยกเว้นอากรให้กับของที่นำเข้ามาหรือส่งออกไปเพื่อแจกให้เปล่าเป็นการสาธารณกุศลแก่
ประชาชนโดยผ่านส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน หรือของที่นำ
เข้ามาเพื่อบริจาคเป็นสาธารณประโยชน์แก่ส่วนราชการดังกล่าวเท่านั้น ดังนั้น เพื่อให้หน่วยงาน
ของรัฐที่ได้จัดตั้งขึ้นใหม่ หรือที่จะได้จัดตั้งขึ้นต่อไปในอนาคตได้สิทธิประโยชน์เช่นเดียวกัน
สมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 เพื่อกำหนดเพิ่มให้ของที่
นำเข้ามาหรือส่งออกไปเพื่อบริจาคเป็นการสาธารณกุศลแก่ประชาชนโดยผ่านหน่วยงานของรัฐ
หรือของที่นำเข้ามาเพื่อให้แก่หน่วยงานของรัฐที่ได้บยกเว้นอากรเพิ่มขึ้นด้วย จึงจำเป็น
ต้องตราพระราชบัญญัตินี้