พระราชบัญญัติ ระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ (ฉบับที่ 7 ) พ.ศ.2545 |
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2545 เป็นปีที่ 57 ในรัชกาลปัจจุบัน |
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า " พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ (ฉบับที่ 7 ) พ.ศ. 2545 "
มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป
มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา 15 และมาตรา 15 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบ ข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2521 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 49 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน " มาตรา 15 ให้มีคณะกรรมการอัยการคณะหนึ่ง เรียกโดยย่อว่า ก.อ. ประกอบด้วย ( 1 ) ประธานกรรมการ ซึ่งเลือกจากผู้รับบำนาญตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ซึ่งเคยรับราชการเป็นข้าราชการอัยการมาแล้วในตำแหน่งไม่ต่ำกว่ารองอธิบดีกรมอัยการหรือรองอัยการสูงสุด หรือผู้ทรงคุณวิฒิในทางกฎหมาย ซึ่งเป็นผู้รับบำนาญตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ และเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีหรือเทียบเท่าขึ้นไป ทั้งนี้ ต้องไม่เคยเป็นสมาชิกหรือ เจ้าหน้าที่พรรคการเมืองในระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา และไม่เป็นข้าราชการการเมือง สมาชิกรัฐสภาหรือ ทนายความ ( 2 ) อัยการสูงสุดเป็นกรรมการอัยการโดยตำแหน่ง ( 3 ) รองอัยการสูงสุดตามลำดับอาวุโสจำนวนไม่เกินสี่คนเป็นกรรมการอัยการโดยตำแหน่ง ( 4 ) กรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิหกคน ซึ่งข้าราชการอัยการที่ได้รับเงินเดือนตั้งแต่ชั้น 2 ขึ้นไปเป็นผู้เลือกจาก ( ก ) ข้าราชการอัยการซึ่งรับเงินเดือนตั้งแต่ชั้น 4 ขึ้นไป และมิได้เป็นกรรมการอัยการ โดยตำแหน่งอยู่แล้ว สามคน ( ข ) ผู้รับบำเหน็จหรือบำนาญตามกฎหมายว่าด้วยบำนาญข้าราชการ ซึ่งเคย รับราชการเป็นข้าราชการอัยการมาแล้ว และต้องไม่เป็นข้าราชการการเมือง สมาชิกรัฐสภา กรรมการ พรรคการเมือง เจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง หรือทนายความ สามคน ( 5 ) กรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้รับเลือกจากวุฒิสภาจำนวนสองคน และคณะรัฐมนตรี แต่งตั้งจำนวนหนึ่งคน ให้ที่ประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นรองประธาน ให้ ก.อ. แต่งตั้งข้าราชการฝ่ายอัยการคนหนึ่งเป็นเลขานุการ ก.อ. มาตรา 15 ทวิ ในการเลือกประธาน ก.อ. ตามมาตรา 15 (1) ให้กรรมการอัยการ ตามมาตรา 15 (2) (3) (4) และ (5) ประชุมกันกำหนดรายชื่อบุคคลที่เห็นสมควรเป็นประธาน ไม่น้อยกว่าห้าชื่อส่งให้ข้าราชการอัยการผู้มีสิทธิเลือกตามมาตรา 15 (4) ทำการเลือกรายชื่อดังกล่าว เมื่อผลการเลือกเป็นประการใด ให้นายกรัฐมนตรีนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง"
มาตรา 4 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 15 จัตวา มาตรา 15 เบญจ และมาตรา 15 ฉ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2521 "มาตรา 15 จัตวา รองประธาน ก.อ. อยู่ในตำแหน่งคราวละสองปี นับแต่วันที่ได้รับเลือก นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ ให้รองประธาน ก.อ. พ้นจากตำแหน่งเมื่อตาย ลาออก หรือขาดคุณสมบัติมาตรา 15 ( 4 ) ( ข ) หรือมาตรา 15 เบญจ แล้วแต่กรณี มาตรา 15 เบญจ กรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิตามมาตรา 15 ( 5 ) ต้องมีคุณสมบัติและ ไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้ ( 1 ) เป็นผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 33 ( 2 ) ( 6 ) ( 7 ) ( 8 ) ( 9 ) หรือ ( 10 ) ( 2 ) ไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ข้าราชการเมือง สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น กรรมการพรรคการเมือง สมาชิกพรรคการเมือง หรือผู้ดำรงตำแหน่งอื่นของพรรคการเมือง ( 3 ) มีอายุไม่ต่ำกว่าสี่สิบปีบริบูรณ์ ( 4 ) สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ( 5 ) ไม่เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลปกครอง กรรมการการเลือกตั้ง กรรมการ ตรวจเงินแผ่นดิน ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หรือกรรมการในคณะตุลาการศาลปกครองหรือศาลอื่น ( 6 ) ไม่เป็นข้าราชการอัยการ ทนายความ ข้าราชการตำรวจ หรือข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรม ( 7 ) ไม่เป็นคนไร้ความสามารถ คนเสมือนไร้ความสามารถ หรือคนวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือน ไม่สมประกอบ ( 8 ) ไม่เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจ ( 9 ) ไม่ประกอบอาชีพหรือวิชาชีพอื่นใดอันเป็นการกระทบกระเทือนถึงการปฏิบัติหน้าที่ ในตำแหน่งกรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิ มาตรา 15 ฉ การเลือกกรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิตามมาตรา 15 ( 5 ) ให้วุฒิสภา ตั้งคณะกรรมาธิการสามัญขึ้นคณะหนึ่งเพื่อพิจารณาเสนอรายชื่อบุคคลที่เห็นสมควรจำนวนสี่คนต่อ วุฒิสภาเพื่อพิจารณาเลือกต่อไป"
มาตรา 5 ให้ยกเลิกความในมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2521 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 49 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 17 กรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิอยู่ในตำแหน่งได้คราวละสองปี และอาจได้รับเลือก หรือแต่งตั้งใหม่ได้ แต่จะดำรงตำแหน่งได้ไม่เกินสองคราวติดต่อกัน ถ้าตำแหน่งว่างลงก่อนถึงกำหนดวาระ ให้นายกรัฐมนตรีสั่งให้ดำเนินการเลือกซ่อมหรือวุฒิสภา เลือกซ่อมหรือคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งซ่อม เว้นแต่วาระการอยู่ในตำแหน่งของกรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิ จะเหลือไม่ถึงเก้าสิบวัน นายกรัฐมนตรีจะไม่สั่งให้ดำเนินการเลือกซ่อมหรือวุฒิสภาจะไม่เลือกซ่อมหรือ คณะรัฐมนตรีจะไม่แต่งตั้งซ่อมก็ได้ กรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้รับเลือกซ่อมหรือแต่งตั้งซ่อมตามวรรสองอยู่ในตำแหน่ง ได้เพียงวาระของผู้ที่ตนแทน
มาตรา 6 ให้ยกเลิกความใน ( 4 ) ของมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ ฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2521 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ ( ฉบับที่ 5 ) พ.ศ.2535 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน " ( 4 ) อัยการพิเศษประจำกรม ให้ได้รับเงินเดือน ชั้น 5 ? 6 "
มาตรา 7 ให้คณะกรรมการอัยการตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2521 ซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เป็นคณะกรรมการอัยการตามพระราช บัญญัตินี้ จนว่ากรรมการอัยการตามวรรคสามจะเข้ารับหน้าที่ ให้ประธาน ก.อ. ดำรงตำแหน่งต่อไปเท่าที่วาระการดำรงตำแหน่งเหลืออยู่ ในวาระเริ่มแรก ให้มีการเลือกและแต่งตั้งกรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิตามมาตรา 15 ( 4 ) และ ( 5 ) ภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัติใช้บังคับ
มาตรา 8 ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี |
หมายเหตุ เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากองค์ประกอบของคณะกรรมการอัยการ ในปัจจุบันมีกรรมการมาจากผู้ดำรงตำแหน่งข้าราชการอัยการหรือเคยรับราชการเป็นข้าราชการอัยการ โดยมิได้ มีบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นกรรมการ เว้นแต่ประธาน ก.อ. ซึ่งอาจเลือกมาจากผู้ทรงคุณวุฒิในทางกฎหมายซึ่งเคย รับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีหรือเทียบเท่าขึ้นไปได้ สมควรให้คณะกรรมการอัยการเป็นองค์กรที่มีบุคคล ภายนอกเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อประโยชน์ในการบริหารงานบุคคลของข้าราชการอัยการ นอกจากนี้โดยที่ได้มีการ ตรากฎหมายว่าด้วยเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งข้าราชการอัยการ สมควรแก้ไขบทบัญญัติในพระราชบัญญัติ ระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2521 ให้สอดคล้องกัน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 119 ตอนที่ 66 ก หน้า 1-5 วันที่ 15 กรกฎาคม 2545
บันทึกท้ายพระราชบัญญัติ 1. พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2521 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 95 ตอนที่ 59 ( ฉบับพิเศษ ) หน้า 42 ? 77 ลงวันที่ 31 พฤษภาคม 2521 โดยมีเหตุผลการประกาศใช้คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2503 ได้ใช้บังคับ มานานแล้ว แม้จะได้ปรับปรุงแก้ไขมาหลายครั้ง ก็ยังมีบทบัญญัติหลายมาตราไม่เหมาะสมกับกาลสมัย และเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการบริหารงานบุคคลในปัจจุบัน สมควรจะได้ปรับปรุงแก้ไขเสียใหม่ อันจะทำให้ราชการของกรมอัยการดำเนินไปได้ผลดียิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น 2. พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2521 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 95 ตอนที่ 103 (ฉบับพิเศษ) หน้า 38 - 44 ลงวันที่ 27 กันยายน 2521 โดยมีเหตุผลการประกาศใช้คือ เนื่องจากอัตราเงินเดือนข้าราชการอัยการที่ปรับปรุงใหม่ไม่ได้ส่วนสัมพันธ์กับ อัตราเงินเดือนของข้าราชการประเภทอื่น ๆ ที่ได้รับการปรับปรุงแล้ว สมควรแก้ไขอัตราเงินเดือน ข้าราชการอัยการให้เมาะสม จึงจำเป็นต้อองตราพระราชบัญญัตินี้ 3. พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ (ฉบับที่ 3 )พ.ศ. 2524 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่ม98 ตอนที่ 175 (ฉบับพิเศษ ) หน้า 1 ?11 ลงวันที่ 22 ตุลาคม2524โดยมีเหตุผลการประกาศใช้คือ เนื่องจากอัตราเงินเดือนข้าราชการอัยการที่ใช้อยู่ในปัจจุบันไม่ได้ส่วนสัมพันธ์กับ อัตราเงินเดือนของข้าราชการประเภทอื่น สมควรแก้ไขอัตราเงินเดือนข้าราชการอัยการให้เหมาะสม จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ 4. พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ (ฉบับที่ 4 ) พ.ศ.2531 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 105 ตอนที่ 181 (ฉบับพิเศษ) หน้า 50 ?59 ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2531 โดยมีเหตุผลการประกาศใช้คือ เนื่องจากอัตราเงินเดือนข้าราชการอัยการในบัญชีอัตราเงินเดือนท้ายพระราชบัญญัติ ระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2521 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ ฝ่ายอัยการ (ฉบับที่ 3 ) พ.ศ. 2524 ได้ใช้มาเป็นเวลานานไม่เหมาะสมกับสถานภาพของตำแหน่ง และภาวะการครองชีพในปัจจุบัน จำเป็นต้องกำหนดจำนวนขั้นเงินเดือน อัตราเงินเดือนข้าราชการ อัยการแต่ละชั้น และปรับปรุงบัญชีอัตราเงินเดือนข้าราชการอัยการเสียใหม่ รวมทั้งให้มีการให้ใช้ บัญชีอัตราเงินเดือนแต่ละบัญชีได้ตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ 5. ประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 49 เรื่อง การแก้ไขกฎหมาย ว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 108 ตอนที่ 37 (ฉบับพิเศษ) หน้า 55 ?60 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2534 โดยมีเหตุผลการประกาศใช้คือ โดยที่ได้มีประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 47 จัดตั้งสำนักงาน อัยการสูงสุดขึ้นเป็นส่วนราชการภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี โดยให้โอนบรรดาอำนาจ หน้าที่เกี่ยวกับราชการของกรมอัยการ กระทรวงมหาดไทยไปเป็นของสำนักงานอัยการสูงสุด ในการนี้จำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการให้สอดคล้องกัน 6. พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2535 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 109 ตอนที่ 35 หน้า 30 ?44 ลงวันที่ 3 เมษายน 2535 โดยมีเหตุผลการประกาศใช้คือ เนื่องจากการกำหนดตำแหน่งและชั้นเงินเดือนของข้าราชการอัยการตามพระราชบัญญัติ ระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2521 ยังไม่เหมาะสม และอัตราเงินเดือนข้าราชการอัยการ ในบัญชีอัตราเงินเดือนท้ายพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการอัยการ พ.ศ. 2521 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ ( ฉบับที่ 4 ) พ.ศ. 2531 ไม่สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้น ของดัชนีราคาผู้บริโภค และยังไม่สอดคล้องกับอัตราค่าจ้างในกลุ่มวิชาชีพต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่ข้าราชการ อัยการเป็นผู้ประกอบวิชาชีพในทางกฎหมายมีหน้าที่บริหารงานกระบวนการยุติธรรม ให้ความ เป็นธรรมแก่ประชาชนและรักษาผลประโยชน์ของรัฐ ซึ่งนับว่าเป็นอำนาจ หน้าที่ที่มีความสำคัญยิ่ง ประกอบกับขณะนี้ได้มีการปรับปรุงโครงสร้างอัตราเงินเดือนข้าราชการฝ่ายอื่น ๆ ให้เหมาะสม จึงเห็นสมควรปรับปรุงกำหนดจำนวนชั้นและขั้นอัตราเงินเดือนของข้าราชการอัยการเสียใหม่ และเห็นควรกำหนดให้มีเงินประจำตำแหน่งข้าราชการอัยการด้วย เพื่อความเหมาะสมกับสภาวะ ค่าครองชีพในปัจจุบัน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ 7. พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ (ฉบับที่ 6 ) พ.ศ.2538 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 112 ตอนที่ 1 ก หน้า 44-46 ลงวันที่ 1 มกราคม 2538 โดยมีเหตุผลการประกาศใช้คือ โดยที่ได้มีการแยกบัญชีอัตราเงินเดือนและบัญชีอัตราเงินประจำตำแหน่งของ ข้าราชการอัยการไปบัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งซึ่งเป็นกฎหมาย เฉพาะแล้ว สมควรแก้ไขเพิ่มกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการให้สอดคล้องกัน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ |