พระราชบัญญัติ
ภาษีสรรพสามิต ( ฉบับที่ 5 )
พ.ศ. 2545
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2545
เป็นปีที่ 57 ในรัชการปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้
ประกาศว่า
        โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยภาษีสรรพสามิต
        จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา
ดังต่อไปนี้

        มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต ( ฉบับที่ 5 ) พ.ศ. 2545"

        มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป

        มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา  10 แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต ( ฉบับที่ 4 ) พ.ศ. 2544 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
        "มาตรา 10 ภายใต้บังคับมาตรา 11 วรรคสอง มาตรา 12 วรรคสอง และมาตรา 13
ความรับผิดในอันจะต้องเสียภาษี มีดังนี้
        ( 1 ) ในกรณีสินค้าที่ผลิตขึ้นในราชอาณาจักร
                ( ก ) ถ้าสินค้าอยู่ในโรงอุตสาหกรรม ให้ถือว่าความรับผิดในอันจะต้องเสียภาษีเกิดขึ้น
ในเวลาที่นำสินค้าออกจากโรงอุตสาหกรรม เว้นแต่เป็นการนำสินค้าออกจากโรงอุตสาหกรรมไปเก็บไว้
ในคลังสินค้าทัณฑ์บน คลังสินค้าทัณฑ์บนตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร เขตปลอดอากร หรือเขต
อุตสาหกรรมส่งออก และถ้าผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือบุคคลใดนำสินค้าดังกล่าวไปใช้ภายในโรงอุตสาหกรรม
ก็ให้ถือว่าเป็นการนำสินค้าออกจากโรงอุตสาหกรรม
                ( ข ) ถ้าสินค้าที่เก็บอยู่ในคลังสินค้าทัณฑ์บน คลังสินค้าทัณฑ์บนตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร เขตปลอดอากร
หรือเขตอุตสาหกรรมส่งออก ให้ถือว่าความรับผิดในอันจะต้องเสียภาษี
เกิดขึ้นในเวลาที่นำสินค้าออกจากคลังสินค้าทัณฑ์บน คลังสินค้าทัณฑ์บนตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร
เขตปลอดอากร หรือเขตอุตสาหกรรมส่งออกนั้น เว้นแต่เป็นการนำสินค้ากลับคืนไปเก็บไว้ในโรงอุตสาหกรรม
หรือเก็บไว้ในคลังสินค้าทัณฑ์บน คลังสินค้าทัณฑ์บนตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร เขตปลอดอากร
หรือเขตอุตสาหกรรมส่งออกอีกแห่งหนึ่ง และถ้าบุคคลใดนำสินค้าดังกล่าวไปใช้ภายในคลังสินค้า
ทัณฑ์บนตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร เขตปลอดอากร หรือเขตอุตสาหกรรมส่งออก ก็ให้ถือว่าเป็น
การนำสินค้าออกจากคลังสินค้าทัณฑ์บนตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร เขตปลอดอากร หรือเขต
อุตสาหกรรมส่งออก แล้วแต่กรณี
        ในกรณีที่ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามหมวด 4 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฏากร
ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนเกิดขึ้นก่อนนำสินค้าออกจากโรงอุตสาหกรรมคลังสินค้าทัณฑ์บน คลังสินค้า
ทัณฑ์บนตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร เขตปลอดอากร หรือเขตอุตสาหกรรมส่งออก ให้ถือว่าความรับผิด
ในอันจะต้องเสียภาษีเกิดขึ้นพร้อมกับความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
        (2 ) ในกรณีบริการ ให้ถือว่าความรับผิดในอันจะต้องเสียภาษีเกิดขึ้นเมื่อได้รับชำระราคา
ค่าบริการ
        ในกรณีที่ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามหมวด 4 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร
ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนเกิดขึ้นก่อนได้รับชำระราค่าบริการ ให้ถือว่าความรับผิดในอันจะต้องเสียภาษี
เกิดขึ้นพร้อมกับความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
        ( 3 ) ในกรณีสินค้าที่นำเข้า ให้ถือว่าความรับผิดในอันจะต้องเสียภาษีเกิดขึ้นในเวลาเดียวกับ
ความรับผิดในอันจะต้องเสียภาษีศุลกากรสำหรับของที่นำเข้าตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร เว้นแต่
ในกรณีสินค้าที่นำเข้ามาเพื่อนำเข้าไปในคลังสินค้าทัณฑ์บนตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร เขตปลอดอากร
 หรือเขตอุตสาหกรรมส่งออก ให้ถือว่าความรับผิดในอันจะต้องเสียภาษีเกิดขึ้นในเวลาที่นำสินค้าออก
จากคลังสินค้าทัณฑ์บนตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร เขตปลอดอากร หรือเขตอุตสาหกรรมส่งออกนั้น
และถ้าผู้นำเข้าหรือบุคคลใดนำสินค้าดังกล่าวไปใช้ภายในคลังสินค้าทัณฑ์บนตามกฎหมายว่าด้วยศุลการกร เขตปลอดอากร หรือ
เขตอุตสาหกรรมส่งออก ก็ให้ถือว่าเป็นการนำสินค้าออกจากคลังสินค้าทัณฑ์บน
ตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร เขตปลอดอากร หรือเขตอุตสาหกรรมส่งออก  แล้วแต่กรณี"

        มาตรา 4 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527
ซึ่งถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต ( ฉบับที่ 2 ) พ.ศ. 2534
        "มาตรา 13 ในกรณีเป็นการนำสินค้าออกไปจากโรงอุตสาหกรรมหรือคลังสินค้าทัณฑ์บน
เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของสินค้าตามมาตรา 19 ( 6 ) ให้ความรับผิดในอันจะต้องเสียภาษีเกิดขึ้น
พร้อมกับความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามหมวด 4 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร
เว้นแต่ในกรณีที่มีการปฏิบัติฝ่าฝืนมาตรา 19 ( 6 ) ให้ความรับผิดในอันจะต้องเสียภาษีเป็นไปตาม
มาตรา 10 "

        มาตรา 5 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น ( 6 ) ของมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต
พ.ศ. 2527 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต ( ฉบับที่ 4 ) พ.ศ. 2544
"( 6 ) เป็นการนำสินค้าออกไปจากโรงอุตสาหกรรมหรือคลังสินค้าทัณฑ์บนเพื่อทดสอบ
ประสิทธิภาพในระหว่างขั้นตอนการผลิตหรือขั้นตอนการจำหน่วย ทั้งนี้ ตามประเภทสินค้า หลักเกณฑ์
วิธีการ เงื่อนไข  และระยะเวลาที่อธิบดีกำหนด แต่ระยะเวลาทดสอบประสิทธิภาพของสินค้าในขั้นตอน
การจำหน่ายต้องกำหนดไม่เกินสามสิบวัน และในกรณีมีเหตุจำเป็นอธิบดีจะขยายเวลาให้ก็ได้ แต่รวมกันแล้ว
ต้องไม่เกินหกสิบวัน"
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ : เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527
 ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันได้กำหนดให้แต่เฉพาะรถยนต์ที่อยู่ในสถานแสดงรถยนต์เพื่อขายสามารถนำออกไปจาก
โรงอุตสาหกรรมหรือคลังสินค้าทัณฑ์บน เพื่อประโยชน์ในการทดลองเป็นการชั่วคราวสำหรับการจำหน่ายได้โดย
ยังไม่ต้องมีความรับผิดทางภาษี แต่โดยที่มีสินค้าประเภทอื่นที่จำเป็นต้องนำออกไปจากโรงอุตสาหกรรมหรือคลังสินค้า
ทัณฑ์บนเพื่อทดลองเป็นการชั่วคราวสำหรับการจำหน่ายเช่นเดียวกับรถยนต์แต่ไม่ได้รับการยกเว้นดังกล่าว จึงทำให้
ผู้ประกอบอุตสาหกรรมจำเป็นต้องยื่นแบบรายการภาษีและชำระภาษีก่อนที่จะขายสินค้าได้ อันทำให้สินค้ามีต้นทุนสูงขึ้น
ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมดังกล่าว สมควรกำหนดให้อธิบดีมีอำนาจกำหนดสินค้า
ที่ให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมสามารถนำออกไปจากโรงอุตสาหกรรมหรือคลังสินค้าทณฑ์บนเพื่อทดสอบประสิทธิภาพ
ของสินค้าได้ และกำหนดให้ความรับผิดทางภาษีสำหรับสินค้าดังกล่าวเกิดขึ้นพร้อมกับความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
ตามประมวลรัษฏากร จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
        ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 119 ตอนที่ 54 ก หน้า 4-7 วันที่ 7 มิถุนายน 2545

บันทึกท้ายพระราชบัญญัติ
1.      พระราชบัญญัติสรรพสามิต พ.ศ. 2527
               ประกาศใช้เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2527 ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 101
 ตอนที่ 127 ( ฉบับพิเศษ) หน้า 7-69 โดยมีเหตุผลการประกาศใช้คือ
เนื่องจากในการจัดเก็บภาษีจากสินค้าประเภทหนึ่ง ในปัจจุบันกรมสรรพสามิต ต้องอาศัย
กฎหมายฉบับหนึ่งโดยเฉพาะ ทั้ง ๆ ที่สินค้าเหล่านี้มีวิธีการจัดเก็บภาษีที่คล้ายคลึงกันทำให้เป็นที่ยุ่งยากต่อ
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีและผู้มีหน้าที่จัดเก็บ นอกจากนี้ ยังเป็นการไม่สะดวกต่อการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีหรือ
การจัดเก็บภาษีสำหรับสินค้าประเภทอื่นเพิ่มขึ้น เพราะแต่ละครั้งจะต้องออกกฎหมายใหม่หนึ่งฉบับสำหรับสินค้า
หนึ่งประเภท สมควรรวบรวมกฎหมายว่าด้วยภาษีต่าง ๆ ซึ่งกรมสรรพสามิตเป็นผู้จัดเก็บที่มีวิธีการจัดเก็บ
คล้ายคลึงกันไว้ด้วยกัน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
2.พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต ( ฉบับที่ 2 )พ.ศ. 2534
ประกาศใช้เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2534 ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 108 ตอน 201
( ฉบับพิเศษ) หน้า 135-162 โดยมีเหตุผลการประกาศใช้คือ
เนื่องจากได้มีการปรับปรุงระบบภาษีอากรของประเทศให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ทาง
เศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร ( ฉบับที่ 30 ) พ.ศ. 2534 ได้ยกเลิก
ภาษีการค้าและนำภาษีมูลค่าเพิ่มมาใช้แทน สมควรเพิ่มการเก็บภาษีสรรพสามิตจากบริการของสถานบริการ
ตามที่กำหนดในกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต และปรับปรุงภาษีสรรพสามิตเพื่อให้มี
ความสอดคล้องกับการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มตามประมวลรัษฎากรดังกล่าว อีกทั้งเพื่อให้เกิดความ
สะดวกในการจัดเก็บจึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
3.พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต ( ฉบับที่ 3 ) พ.ศ. 2543
ประกาศใช้เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2543 ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 117 ตอนที่ 11 ก
หน้า 8-9 โดยมีเหตุผลการประกาศใช้คือ
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติภาษีสรรสามิต พ.ศ. 2527 เพื่อ
กำหนดให้อำนาจอธิบดีกรมสรรพสามิตในการยกเว้นภาษีเพื่อประโยน์ในการบริหารภาษี สำหรับสินค้า
ที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบหรือส่วนประกอบในการผลิตสินค้า จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
4.พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต ( ฉบับที่ 4 ) พ.ศ. 2544
ประกาศใช้เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2544  ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 118 ตอนที่ 102 ก
หน้า 1-5 โดยมีเหตุผลการประกาศใช้คือ
เนื่องจากได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฏหมายว่าด้วยศุลกากรเพื่อกำหนดให้มีการจัดตั้ง
เขตปลอดอากร ขึ้นเพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมการส่งออก และให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ประกอบการ
ที่นำสินค้าเข้าไปในเขตดังกล่าวเสมือนเป็นการส่งออกนอกราชอาณาจักร สมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย
ว่าด้วยภาษีสรรพสามิตเพื่อกำหนดความรับผิดในอันจะต้องเสียภาษีและสิทธิประโยชน์ทางภาษี
สนนพสามิตขิงสิค้าที่ผลิตหรือนำเข้าไปในเขตปลอดอากร รวมทั้งการโอนสินค้าระหว่างเขตที่ได้รับ
สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามกฎหมายอื่น ให้มีความชัดเจนและสอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยศุลกากร
จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้