พระราชบัญญัติ วิชาชีพการสัตวแพทย์ พ.ศ.2545 |
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2545 เป็นปีที่ 57 ในรัชการปัจจุบัน |
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรให้มีกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพการสัตวแพทย์ พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 31 มาตรา 35 มาตรา 48 และมาตรา 50 ของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติวิชาชีพการสัตวแพทย์ พ.ศ. 2545"
มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป
มาตรา 3 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติควบคุมการบำบัดโรคสัตว์ พ.ศ. 2505
มาตรา 4 ในพระราชบัญญัตินี้ "วิชาชีพการสัตวแพทย์" หมายความว่า วิชาชีพเกี่ยวกับการกระทำใด ๆ ต่อร่างกายสัตว์ เพื่อการตรวจโรค การวินิจฉัยโรค การป้องกันโรค การบำบัดรักษา หรือการกำจัดโรคสัตว์ และ การกระทำโดยตรงต่อร่างกายสัตว์ด้วยการฉีดสารหรือการสอดใส่วัตถุใด ๆ เข้าไปในร่างกายสัตว์ เพื่อการตกแต่งหรือบำรุงร่างกายสัตว์ การตอนหรือการขยายพันธุ์สัตว์ด้วยเทคนิคที่สามารถป้องกัน การแพร่โรคทางการสืบพันธุ์ และให้หมายความรวมถึงโรคติดต่อระหว่างสัตว์และมนุษย์ และการโภชนาภิบาล ด้านสุขศาสตร์การอาหารและการปนเปื้อนในอาหารที่มีต้นกำเนิดมาจากสัตว์ "สัตว์" หมายความว่า สิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่พรรณไม้และมนุษย์ "โรค" หมายความว่า ความเจ็บป่วย การบาดเจ็บ หรือความผิดปกติของร่างกายหรือจิตใจ ของสัตว์ และให้หมายความรวมถึงอาการที่เกิดจากภาวะดังกล่าวด้วย "ใบอนุญาต" หมายความว่า ใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์จากสัตวแพทยสภา "ผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์" หมายความว่า บุคคลซึ่งได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาต เป็นผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์จากสัตวแพทยสภา "สมาชิก" หมายความว่า สมาชิกสัตวแพทยสภา "กรรมการ" หมายความว่า กรรมการสัตวแพทยสภา "คณะกรรมการ" หมายความว่า คณะกรรมการสัตวแพทยสภา "เลขาธิการ" หมายความว่า เลขาธิการสัตวแพทยสภา "รองเลขาธิการ" หมายความว่า รองเลขาธิการสัตวแพทยสภา "พนักงานเจ้าหน้าที่" หมายความว่า บุคคลซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ "รัฐมนตรี" หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา 5 ในกรณีที่บทบัญญัติแห่งกฎหมายใด อ้างถึง "การบำบัดโรคสัตว์" หรือ "ผู้ประกอบ การบำบัดโรคสัตว์" ตามพระราชบัญญัติควบคุมการบำบัดโรคสัตว์ พ.ศ. 2505 ให้หมายความถึง "การประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์" หรือ " ผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์" ตามพระราชบัญญัตินี้ แล้วแต่กรณี
มาตรา 6 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ กับออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมไม่เกินอัตรา ท้ายพระราชบัญญัตินี้ รวมทั้งออกกฎกระทรวงและระเบียบเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวงและระเบียบนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้
หมวด1 สัตวแพทยสภา มาตรา 7 ให้มีสัตวแพทยสภาเป็นนิติบุคคลซึ่งมีวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ ในพระราชบัญญัตินี้
มาตรา 8 สัตวแพทยสภามีวีตถุประสงค์ดังต่อไปนี้ ( 1 ) ควบคุมการประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ ( 2 ) ควยคุมความประพฤติและการดำเนินงานของผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ให้ถูกต้อง ตามจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพการสัตวแพทย์ ( 3 ) ส่งเสริมการศึกษา การวิจัย และการประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ ( 4 ) ส่งเสริมความสามัคคีและผดุงเกียรติของสมาชิก ( 5 ) ช่วยเหลือ แนะนำ เผยแพร่ และให้การบริการทางด้านวิชาการแก่สมาชิก รวมทั้ง ประชาชนและองค์กรอื่นในเรื่องเกี่ยวกับวิชาชีพการสัตวแพทย์ ( 6 ) ให้คำปรึกษาหรือข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลเกี่ยวกับนโยบายและปัญหาวิชาชีพการสัตวแพทย์ ( 7 ) เป็นตัวแทนผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ของประเทศไทย ( 8 ) ผดุงความเป็นธรรมและส่งเสริมสวัสดิการให้แก่สมาชิก ( 9 ) ดำเนินการอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา 9 สัตวแพทยสภามีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ ( 1 ) รับขึ้นทะเบียนและออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ขอเป็นผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ ( 2 ) ทำคำสั่งตามมาตรา 45 ( 3 ) รับรองปริญญา อนุปริญญา ประกาศนียบัตร อนุมัติบัตร หรือวุฒิบัตรในวิชาชีพ การสัตวแพทย์ของสถาบันต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการสมัครเป็นสมาชิก ( 4 ) รับรองหลักสูตรต่าง ๆ สำหรับการฝึกอบรมเป็นผู้ชำนาญการในสาขาต่าง ๆ ของวิชาชีพ การสัตวแพทย์ของสถาบันต่าง ๆ ( 5 ) รับรองวิทยฐานะของสถาบันที่ทำการฝึกอบรมใน ( 4 ) ( 6 ) ออกหนังสืออนุมัติหรือให้วุฒิบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพ การสัตวแพทย์สาขาต่าง ๆ และออกหนังสือแสดงวุฒิอื่นในวิชาชีพการสัตวแพทย์ ( 7 ) ดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของสัตวแพทยสภา มาตรา 10 สัตวแพทยสภาอาจมีรายได้ดังต่อไปนี้ ( 1 ) เงินอุดหนุนจากงบประมาณแผ่นดิน ( 2 ) ค่าขี้นทะเบียนสมาชิก ค่าบำรุง และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ตามพระราชบัญญัตินี้ ( 3 ) ผลประโยชน์จากการจัดการทรัพย์สินและกิจกรรมตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดในมาตรา 8 ( 4 )เงินและทรัพย์สินซึ่งมีผู้ให้แก่สัตวแพทยสภา ( 5 )ดอกผลของเงินและทรัพย์สินตาม (1) (2) (3) และ (4) มาตรา 11 ให้รัฐมนตรีดำรงตำแหน่งสภานายกพิเศษแห่งสัตวแพทยสภา และมีอำนาจหน้าที่ ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้ มาตรา 12 ให้มีสำนักงานสัตวแพทยสภาทำหน้าที่ธุรการต่าง ๆ ให้แก่คณะกรรมการและ สัตวแพทยสภา และให้มีสำนักงานสาขาได้ตามความจำเป็น ทั้งนี้ ตามที่คณะกรรมการกำหนด
หมวด 2 สมาชิก
มาตรา 13 ผู้สมัครเป็นสมาชิกสัตวแพทยสภาต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้ ( 1 ) มีอายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบปีบริบูรณ์ ( 2 ) มีความรู้ในวิชาชีพการสัตวแพทย์โดยได้รับปริญญา อนุปริญญา ประกาศนียบัตร ในวิชาสัตวแพทยศาสตร์จากสถาบันการศึกษาที่ทบวงมหาวิทยาลัยหรือสัตวแพทยสภารับรอง หรือ มีความรู้ในวิชาชีพการสัตวแพทย์โดยได้รับปริญญาสาขาอื่น ที่มิใช่สัตวแพทยศาสตรบัณฑิต หรือ ประกาศนียบัตรจากสถานศึกษาที่สัตวแพทยสภารับรอง ( 3 ) ไม่เป็นผู้มีความประพฤติซึ่งคณะกรรมการเห็นว่าจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ แห่งวิชาชีพ ( 4 ) ไม่เคยต้องโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีที่คณะกรรมการเห็นว่าจะนำมา ซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ ( 5 ) ไม่เป็นผู้มีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ หรือไม่เป็นโรคที่กำหนดไว้ในข้อบังคับสัตวแพทยสภา
มาตรา 14 สิทธิและหน้าที่ของสมาชิกมีดังต่อไปนี้ ( 1 ) ขอขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ ขอหนังสืออนุมัติ หรือวุฒิบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์สาขาต่าง ๆ หรือขอหนังสือ แสดงวุฒิอื่นในวิชาชีพการสัตวแพทย์ โดยปฏิบัติตามข้อบังคับสัตวแพทยสภาว่าด้วยการนั้น ( 2 ) แสดงความคิดเห็นและซักถามเป็นหนังสือเกี่ยวกับกิจการของสัตวแพทยสภาไปยัง คณะกรรมการเพื่อพิจารณา และ ในกรณีที่สมาชิกรวมกันตั้งแต่ห้าสิบคนขึ้นไป เสนอให้คณะกรรมการ พิจารณาเรื่องใดที่เกี่ยวกับกิจการของสัตวแพทยสภา คณะกรรมการต้องพิจารณา และแจ้งผลการพิจารณา ให้ผู้เสนอทราบภายในเก้าสิบวันนับแต่วันได้รับเรื่อง ( 3 ) เลือกตั้งหรือรับเลือกตั้งเป็นกรรมการ ( 4 ) ผดุงไว้ซึ่งเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพและปฎิบัติตนตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา 15 สมาชิกภาพของสมาชิกสิ้นสุดลงเมื่อ ( 1 ) ตาย ( 2 ) ลาออก ( 3 ) ขาดคุณสมบัติตามมาตรา 13 ( 1 ) ( 2 ) หรือ ( 5 ) ( 4 ) คณะกรรมการมีมติให้พ้นจากสมาชิกภาพเพราะเห็นว่าเป็นผู้นำมาซึ่งความเสื่อมเสีย เกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพตามมาตรา 13 ( 3 ) หรือ ( 4 ) ( 5 ) ไม่ชำระค่าขึ้นทะเบียนสมาชิก ค่าบำรุง หรือค่าธรรมเนียม โดยไม่มีเหตุอันควร ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในข้อบังคับสัตวแพทยสภา
หมวด 3 คณะกรรมการสัตวแพทยสภา
มาตรา 16 ให้มีคณะกรรมการสัตวแพทยสภา ประกอบด้วย ( 1 ) กรรมการโดยตำแหน่ง ได้แก่ อธิบดีกรมปศุสัตว์ คณบดีคณะสัตวแพทยศาสตร์ ในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐและสถาบันอุดมศึกษาเอกชนที่จัดตั้งขี้นตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันอุดมศึกษาเอกชน นายกสมาคมสัตวแพทย์ผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์แห่งประเทศไทย และนายกสัตวแพทยสมาคม แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ( 2 ) กรรมการซึ่งเป็นผู้แทนกระทรวงกลาโหมหนึ่งคน กระทรวงมหาดไทยหนึ่งคน กระทรวง สาธารณสุขหนึ่งคน กรมประมงหนึ่งคน กรมปศุสัตว์หนึ่งคนและกรุงเทพมหานครหนึ่งคน ( 3 ) กรรมการซึ่งได้รับเลือกตั้งจากสมาชิก มีจำนวนเท่ากับจำนวนกรรมการใน ( 1 ) และ ( 2 ) รวมกันในขณะเลือกตั้งแต่ละคราว
มาตรา 17 คณะกรรมการอาจแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นที่ปรึกษาได้ และให้มีอำนาจถอดถอน ที่ปรึกษาด้วย ให้ที่ปรึกษาดำรงตำแหน่งตามวาระของกรรมการตามมาตรา 16 ( 3 )
มาตรา 18 ให้คณะกรรมการประชุมเลือกกรรมการภายในสามสิบวันนับจากวันเลือกตั้ง กรรมการตามมาตรา 16 ( 3 ) เพื่อดำรงตำแหน่งนายกสัตวแพทยสภา อุปนายกสัตวแพทสภา คนที่หนึ่งและอุปนายกสัตวแพทยสภาคนที่สอง ตำแหน่งละหนึ่งคน ให้นายกสัตวแพทยสภาเลือกกรรมการเพื่อดำรงตำแหน่งเลขาธิการ รองเลขาธิการ ประชกสัมพันธ์ และเหรัญญิก ตำแหน่งละหนึ่งคน และอาจเลือกกรรมการเพื่อดำรงตำแหน่งอื่นได้ตามความจำเป็น และมีอำนาจถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวออกจากตำแหน่งได้ ทั้งนี้ โดยความเห็นชอบของ คณะกรรมการ ให้นายกสัตวแพทยสภา อุปนายกสัตวแพทยสภาคนที่หนึ่ง และอุปนายกสัตวแพทยสภาคนที่สอง ดำรงตำแหน่งตามวาระของกรรมการตามมาตรา 16 ( 3) เมื่อผู้ดำรงตำแหน่งนายกสัตวแพทยสภาพ้นจากตำแหน่ง ให้เลขาธิการ รองเลขาธิการ ประชาสัมพันธ์ เหรัญญิก และผู้ดำรงตำแหน่งอื่นตามวรรคสอง พ้นจากตำแหน่งด้วย
มาตรา 19 การเลือกตั้งกรรมการตามมาตรา 16 ( 3 ) การแต่งตั้งที่ปรึกษาตามมาตรา 17 การเลือกกรรมการเพื่อดำรงตำแหน่งต่างๆ ตามมาตรา 18 และการเลือกกรรมการตามมาตรา 23 ให้เป็นไปตามข้อบังคับสัตวแพทยสภา
มาตรา 20 กรรมการตามมาตรา 16 ( 2 ) และ ( 3 ) ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะ ต้องห้ามดังต่อไปนี้ ( 1 ) เป็นผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ชั้นหนึ่ง ( 2 ) ไม่เคยถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตหรือเพิกถอนใบอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้ หรือ ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการบำบัดโรคสัตว์ ( 3 ) ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย
มาตรา 21 กรรมการตามมาตรา 16 ( 3 ) มีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสามปีนับแต่ วันเลือกตั้งและอาจได้รับเลือกตั้งใหม่ได้แต่จะดำรงตำแหน่งเกินสองวาระติดต่อกันไม่ได้ ให้กรรมการที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระปฎิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่ากรรมการที่ได้รับเลือกตั้งใหม่ จะเข้ารับหน้าที่ ทั้งนี้ คณะกรรมการต้องจัดให้มีการเลือกตั้งกรรมการตามมาตรา 16 ( 3 ) ภายใน เก้าสิบวันนับแต่วันที่กรรมการพ้นจากตำแหน่งตามวรรคหนึ่ง
มาตรา 22 นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ กรรมการตามมาตรา 16 ( 3 ) พ้นจาก ตำแหน่งเมื่อ ( 1 ) ตาย ( 2 ) ลาออก ( 3 )สมาชิกภาพสิ้นสุดลงตามมาตรา 15 ( 4 ) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 20 มาตรา 23 เมื่อตำแหน่งกรรมการตามมาตรา 16 ( 3 ) ว่างลงไม่เกินกึ่งหนึ่งของจำนวน กรรมการดังกล่าวทั้งหมด ก่อนครบวาระให้คณะกรรมการเลือกสมาชิกซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะ ต้องห้ามตามมาตรา 20 เป็นกรรมการแทนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ตำแหน่งกรรมการนั้นว่างลง ในกรณีที่ตำแหน่งกรรมการตามวรรคหนึ่งว่างลงรวมกันเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการ ซึ่งได้รับเลือกตั้ง ให้คณะกรรมการจัดให้มีการเลือกตั้งกรรมการขึ้นแทนภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ จำนวนกรรมการดังกล่าวได้ว่างลงเกินกึ่งหนึ่ง ถ้าวาระของกรรมการตามมาตรา 16 ( 3 ) เหลืออยู่ไม่ถึงเก้าสิบวัน คณะกรรมการจะให้มี การเลือกหรือเลือกตั้งกรรมการแทนหรือไม่ก็ได้ ให้ผู้ซึ่งเป็นกรรมการแทนนั้นอยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่าวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งตนแทน
มาตรา 24 ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ ( 1 ) บริหารกิจการสัตวแพทยสภาตามวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ของสัตวแพทยสภา ที่กำหนดในมาตรา 8 และมาตรา 9 ( 2 ) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการจรรยาบรรณ คณะอนุกรรมการสอบสวน และคณะอนุกรรมการอื่น เพื่อทำกิจการหรือพิจารณาเรื่องต่าง ๆ อันอยู่ในขอบเขตแห่งวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ของ สัตวแพทยสภา ( 3 ) จัดตั้งสำนักงานสาขาของสัตวแพทยสภา ( 4 ) ออกข้อบังคับสัตวแพทยสภาว่าด้วย ( ก ) การเป็นสมาชิก ( ข ) การกำหนดโรคตามมาตรา 13 ( 5 ) ( ค ) การกำหนดค่าขึ้นทะเบียนสมาชิก ค่าบำรุง และค่าธรรมเนียมอื่นนอกจาก ที่กำหนดไว้ในอัตราค่าธรรมเนียมท้ายพระราชบัญญัตินี้ ( ง ) การเลือกตั้งกรรมการตามมาตรา 16 ( 3 ) การแต่งตั้งที่ปรึกษาตามมาตรา 17 และการเลือกกรรมการเพื่อดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ตามมาตรา 18 ( จ ) การประชุมคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ คณะที่ปรึกษา และสมาชิก ( ฉ ) การกำหนดอำนาจหน้าที่ของผู้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาตามมาตรา 17 ( ช ) การกำหนดอำนาจหน้าที่ของผู้ดำรงตำแหน่งอื่นตามมาตรา 18 วรรคสอง ( ซ ) หลักเกณฑ์ว่าด้วยการสอบความรู้ผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ตามมาตรา 33 ( ฌ ) คุณสมบัติของผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ตามมาตรา 34 ( ญ ) แบบและประเภทใบอนุญาต หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขึ้นทะเบียน การออกใบอนุญาต อายุใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต การออกหนังสืออนุมัติหรือวุฒิบัตร แสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์สาขาต่างๆ หนังสือแสดงวุฒิอื่น ในวิชาชีพการสัตวแพทย์ การออกใบแทนใบอนุญาต หนังสืออนุมัติ หรือวุฒิบัตร หรือหนังสือแสดงวุฒิอื่น ตามมาตรา 31 ( ฎ ) การจัดตั้ง การดำเนินการ และการเลิกสถาบันที่ทำการฝึกอบรมเป็นผู้ชำนาญการ ในสาขาต่างๆ ของวิชาชีพการสัตวแพทย์ ( ฏ ) ข้อจำกัดและเงื่อนไขในการประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ตามมาตรา 35 ( ฐ ) จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพการสัตวแพทย์ตามมาตรา 36 ( ฑ ) การกำหนดหลักเกณฑ์การพักใช้ใบอนุญาตหรือเพิกถอนใบอนุญาต ( ฒ ) หลักเกณฑ์ว่าด้วยการสืบสวนหรือสอบสวนในกรณีที่มีการกล่าวหาหรือการกล่าวโทษ ผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ ( ณ ) เรื่องอื่น ๆ อันอยู่ในขอบเขตแห่งวัตถุประสงค์ของสัตวแพทยสภาหรือยู่ในอำนาจ หน้าที่ของสัตวแพทยสภาตามพระราชบัญญัตินี้หรือกฏหมายอื่น ( 5 ) ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ข้อบังคับสัตวแพทยสภาตาม ( ก ) ( ข ) ( ค ) ( ซ ) ( ฌ ) ( ญ ) ( ฎ ) ( ฏ ) ( ฐ ) ( ฑ ) และ ( ฒ ) เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้
มาตรา 25 นายกสัตวแพทยสภา อุปนายกสัตวแพทยสภา เลขาธิการ รองเลขาธิการ ประชาสัมพันธ์ และเหรัญญิก มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ ( 1 ) นายกสัตวแพทยสภามีอำนาจหน้าที่ ( ก ) ดำเนินกิจการของสัตวแพทยสภาให้เป็นไปตามมติของคณะกรรมการ ( ข ) เป็นผู้แทนสัตวแพทยสภาในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก ( ค ) เป็นประธานในที่ประชุมคณะกรรมการ นายกสัตวแพทยสภาอาจมอบหมายเป็นหนังสือให้กรรมการอื่นปฏิบัติหน้าที่แทนตามที่ เห็นสมควรได้ ( 2 ) อุปนายกสัตวแพทยสภาคนที่หนึ่ง เป็นผู้ช่วยนายกสัตวแพทยสภาในกิจการอันอยู่ใน อำนาจหน้าที่ของนายกสัตวแพทยสภาตามที่นายกสัตวแพทยสภามอบหมาย และเป็นผู้ทำการแทน นายกสัตวแพทยสภา เมื่อนายกสัตวแพทยสภาไม่อยู่หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ( 3 ) อุปนายกสัตวแพทยสภาคนที่สอง เป็นผู้ช่วยนายกสัตวแพทยสภาในกิจการอันอยู่ใน อำนาจหน้าที่ของนายกสัตวแพทยสภาตามที่นายกสัตวแพทยสภามอบหมาย และเป็นผู้ทำการแทน นายกสัตวแพทยสภา เมื่อทั้งนายกสัตวแพทยสภาและอุปนายกสัตวแพทยสภาคนที่หนึ่งไม่อยู่หรือ ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ( 4 ) เลขาธิการมีอำนาจหน้าที่ ( ก ) ควบคุมบังคับบัญชาเจ้าหน้าที่สัตวแพทยสภาทุกระดับ ( ข ) ควบคุมรับผิดชอบในงานธุรการทั่วไปของสัตวแพทยสภา ( ค ) ดูแลรักษาทะเบียนสมาชิก ทะเบียนผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ และทะเบียน อื่น ๆ ของสัตวแพทยสภา ( ง ) ควบคุม ดูแลทรัพย์สินของสัตวแพทยสภา ( จ ) เป็นเลขานุการในที่ประชุมคณะกรรมการ ( ฉ ) ปฏิบัติการอื่นใดตามที่คณะกรรมการมอบหมาย ( 5 ) รองเลขาธิการเป็นผู้ข่วยเลขาธิการในกิจการอันอยู่ในอำนาจหน้าที่ของเลขาธิการ ตามที่ เลขาธิการมอบหมาย และเป็นผู้ทำการแทนเลขาธิการ เมื่อเลขาธิการไม่อยู่หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ( 6 ) ประชาสัมพันธ์มีอำนาจหน้าที่ในการประชาสัมพันธ์ แนะนำ และเผยแพร่กิจการของ สัตวแพทยสภาแก่สมาชิก ประชาชน และองค์กรอื่น ( 7 ) เหรัญญิกมีอำนาจหน้าที่ควบคุม ดูแล รับผิดชอบการบัญชี การเงิน และการงบประมาณ ของสัตวแพทยสภา ผู้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาตามมาตรา 17 และผู้ดำรงตำแหน่งอื่นตามมาตรา 18 วรรคสอง ให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่คณะกรรมการกำหนด
หมวด 4 การดำเนินการของคณะกรรมการ
มาตรา 26 การประชุมคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวน กรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ จึงจะเป็นองค์ประชุม มติของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการคนหนึ่งให้มีเสียงหนึ่งในการลงคะแนนถ้าคะแนน เสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด มติของที่ประชุมในกรณีให้สมาชิกพ้นจากสมาชิกภาพตามมาตรา 15 ( 4 ) หรือให้พักใช้ ใบอนุญาตหรือเพิกถอนใบอนุญาตตามมาตรา 45 วรรคสาม ให้ถือคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสาม ของจำนวนกรรมการทั้งหมดที่อยู่ในตำแหน่ง การประชุมคณะอนุกรรมการ ให้นำความในวรรคหนึ่งและวรรคสอง มาใช้บังคับโดยอนุโลม การประชุมคณะที่ปรึกษา ให้เป็นไปตามข้อบังคับสัตวแพทยสภา
มาตรา 27 สภานายกพิเศษจะเข้าฟังการประชุมและชี้ แจงแสดงความเห็นในที่ประชุมคณะกรรมการ หรือจะส่งความเห็นเป็นหนังสือไปยังสัตวแพทยสภาในเรื่องใด ๆ ก็ได้
มาตรา 28 มติของที่ประชุมคณะกรรมการในเรื่องดังต่อไปนี้ ต้องได้รับความเห็นชอบจาก สภานายกพิเศษก่อน จึงจะดำเนินการตามมตินั้นได้ ( 1 ) การออกข้อบังคับ ( 2 ) การกำหนดงบประมาณของสัตวแพทยสภา ( 3 ) การให้สมาชิกพ้นจากสมาชิกภาพตามมาตรา 15 ( 4 ) ( 4 ) การวินิจฉัยชี้ขาดให้พักใช้ใบอนุญาตหรือให้เพิกถอนใบอนุญาตตามาตรา 45 วรรคสาม ( 2 ) ( ค ) หรือ ( ง ) ให้นายกสัตวแพทยสภาเสนอมติตามวรรคหนึ่งต่อสภานายกพิเศษโดยไม่ชักช้า สภานายกพิเศษ อาจมีคำสั่งยับยั้งมตินั้นได้ ในกรณีที่มิได้ยับยั้งภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับมติที่นายกสัตวแพทยสภา เสนอให้ถือว่าสภานายกพิเศษให้ความเห็นชอบมตินั้น ถ้าสภานายกพิเศษยับยั้งมติใด ให้คณะกรรมการประชุมพิจารณาอีกครั้งภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งยับยั้ง ในการประชุมนั้นถ้ามีเสียงยืนยันมติไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวน กรรมการทั้งคณะ ก็ให้ดำเนินการตามมตินั้นได้ หมวด 5 การควบคุมการประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์
มาตรา 29 ห้ามมิให้ผู้ใดประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ หรือแสดงด้วยวิธีใด ๆ ให้ผู้อื่น เข้าใจว่าตนเป็นผู้มีสิทธิประกอบวิชาชีพดังกล่าว โดยมิได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตจากสัตวแพทยสภา เว้นแต่ในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ( 1 ) การประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ที่กระทำต่อสัตว์ของตนเอง ยกเว้นกรณีเป็นการเลี้ยงสัตว์ เพื่อการพาณิชย์โดยมีขนาด ชนิด และจำนวนสัตว์ตามที่คณะกรรมการกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา ( 2 ) การรักษาพยาบาลสัตว์ โดยไม่รับสินจ้างรางวัล และการกระทำดังกล่าวต้องมิใช่ เป็นการกระทำทางศัลยกรรม การใช้รังสี การฝังเข็มเพื่อบำบัดโรคหรือระงับความรู้สึกหรือให้ยา ควบคุมพิเศษ วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท หรือยาเสพติดให้โทษตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น แล้วแต่กรณี ( 3 ) นักเรียน นักศึกษา หรือผู้รับการฝึกอบรมซึ่งทำการฝึกหัดหรือฝึกอบรมในความควบคุม ของสถาบันการศึกษาวิชาสัตวแพทยศาสตร์ของรัฐ หรือที่ได้รับอนุญาตจากทางราชการให้จัดตั้งสถาบัน การศึกษาหรือสถาบันทางสัตวแพทย์อื่นที่สัตวแพทยสภารับรอง ทั้งนี้ ภายใต้ความควบคุมของเจ้าหน้าที่ ผู้ฝึกหัดหรือผู้ให้การฝึกอบรมซึ่งเป็นผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ ( 4 ) ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง หรือเจ้าหน้าที่ของกระทรวง ทบวง กรม เทศบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบล กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษอื่นตามที่มีกฎหมายกำหนด หรือสภากาชาดไทย ซึ่งกระทำการประกอบ วิชาชีพการสัตวแพทย์ตามอำนาจหน้าที่หรือตามที่ส่วนราชการหรือหน่วยงานดังกล่าวมอบหมาย เป็นลายลักษณ์อักษร ( 5 ) บุคคลซึ่งกระทรวง ทบวง กรม เทศบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหาร ส่วนตำบล กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษอื่นตามที่มีกฎหมาย กำหนด หรือสภากาชาดไทย มอบหมายให้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ในความควบคุมของ เจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ ทั้งนี้ ตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด ( 6 ) การประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ของที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญของทางราชการ หรือผู้สอนในสถาบันการศึกษาหรือสถาบันทางสัตวแพทย์อื่นที่สัตวแพทยสภารับรอง ซึ่งมีใบอนุญาต เป็นผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ของต่างประเทศ ทั้งนี้ โดยอนุมัติของคณะกรรมการ มาตรา 30 ห้ามมิให้ผู้ซึ่งมิได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตใช้คำหรือข้อความด้วยอักษรไทย หรืออักษรต่างประเทศว่า สัตวแพทย์ นายสัตวแพทย์ สัตวแพทย์หญิง หรือนายสัตวแพทย์หญิง หรือใช้อักษรย่อของคำดังกล่าวประกอบกับชื่อตัวหรือชื่อสกุลของตน หรือใช้คำหรือข้อความอื่นใด ที่มีความหมายเช่นเดียวกัน หรือแสดงด้วยวิธีใด ๆ ซึ่งทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนเป็นผู้ประกอบวิชาชีพ การสัตวแพทย์ รวมถึงการใช้ จ้าง วาน หรือยินยอมให้ผู้อื่นกระทำดังกล่าวให้แก่ตน ทั้งนี้ ให้เป็นไป ตามข้อบังคับสัตวแพทยสภา
มาตรา 31 แบบและประเภทใบอนุญาต หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขึ้นทะเบียน การออกใบอนุญาต อายุใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต การออกหนังสืออนุมัติหรือวุฒิบัตร แสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์สาขาต่าง ๆ และหนังสือแสดงวุฒิอื่น ในวิชาชีพการสัตวแพทย์ และการออกใบแทนใบอนุญาต หนังสืออนุมัติหรือวุฒิบัตร หรือหนังสือ แสดงวุฒิอื่น ให้เป็นไปตามข้อบังคับสัตวแพทยสภา
มาตรา 32 ผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ ให้แบ่งเป็นสองชั้น คือ ผู้ประกอบวิชาชีพ การสัตวแพทย์ชั้นหนึ่ง และผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ชั้นสอง
มาตรา 33 ผู้มีสิทธิขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ ตามมาตรา 32 ต้องมีความรู้ดังนี้ ( 1 ) ผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ชั้นหนึ่ง ต้อง ( ก ) ได้รับปริญญาสัตวแพทยศาสตรบัณฑิตจากสถานศึกษาในประเทศไทยที่ทบวง มหาวิทยาลัยหรือสัตวแพทยสภารับรอง หรือ ( ข ) ได้รับปริญญาในสาขาวิชาชีพการสัตวแพทย์จากสถานศึกษาในต่างประเทศและ ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ประกอบวิชาชีพในประเทศที่ตนได้รับปริญญา เว้นแต่เป็นผู้ซึ่งมีสัญชาติไทย อาจไม่ต้องเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ประกอบวิชาชีพในประเทศที่ผู้นั้นได้รับปริญญาก็ได้ แต่ต้อง ผ่านการสอบความรู้ตามข้อบังคับสัตวแพทยสภา ( 2 ) ผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ชั้นสอง ต้องมีความรู้ในวิชาชีพการสัตวแพทย์ โดยได้รับปริญญาสาขาอื่นที่มิใช่สัตวแพทยศาสตรบัณฑิต หรือประกาศนียบัตรจากสถานศึกษาที่ สัตวแพทยสภารับรอง และผ่านการสอบความรู้ตามข้อบังคับสัตวแพทยสภา
มาตรา 34 ผู้ขอขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตต้องเป็นสมาชิกแห่งสัตวแพทยสภา และ มีคุณสมบัติอื่นตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับสัตวแพทยสภา เมื่อผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ผู้ใดพ้นจากสมาชิกภาพ ให้ใบอนุญาตของผู้นั้นสิ้นสุดลง นับแต่วันที่พ้นจากสมาชิกภาพ ให้ผู้ซึ่งพ้นจากสมาชิกภาพตามวรรคสองส่งคืนใบอนุญาตต่อเลขาธิการภายในสิบห้าวันบันแต่ วันที่พ้นจากสมาชิกภาพตามมาตรา 15 ( 2 ) หรือ ( 3 ) หรือนับแต่วันที่ทราบการพันจากสมาชิกภาพ ตามมาตรา 15 ( 4 ) หรือ ( 5 )
มาตรา 35 ผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ต้องประกอบวิชาชีพภายใต้บังคับแห่งข้อจำกัด และเงื่อนไขตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับสัตวแพทยสภา
มาตรา 36 ผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ต้องรักษาจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพการสัตวแพทย์ ตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับสัตวแพทยสภา
มาตรา 37 บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเพราะผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ผู้ใดประพฤติผิด ข้อจำกัดหรือเงื่อนไขการประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ตามมาตรา 35 หรือประพฤติผิดจรรยาบรรณ แห่งวิชาชีพตามมาตรา 36 มีสิทธิกล่าวหาผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ผู้นั้น โดยทำคำกล่าวหา เป็นหนังสือยื่นต่อสัตวแพทยสภา กรรมการหรือบุคคลอื่นที่พบหรือทราบว่าผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ผู้ใดประพฤติผิด ข้อจำกัดและเงื่อนไขการประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ตามมาตรา 35 หรือประพฤติผิดจรรยาบรรณ แห่งวิชาชีพตามมาตรา 36 มีสิทธิกล่าวโทษผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ผู้นั้นโดยทำคำกล่าวโทษ เป็นหนังสือยื่นต่อสัตวแพทยสภา สิทธิการกล่าวหาตามวรรคหนึ่งหรือสิทธิการกล่าวโทษตามวรรคสองสิ้นสุดลง เมื่อพ้นหนึ่งปี นับแต่วันที่ผู้ได้รับความเสียหายหรือผู้กล่าวโทษรู้เรื่องและรู้ตัวผู้ประพฤติผิด แต่ทั้งนี้ ต้องไม่เกินสามปี นับแต่วันที่มีการประพฤติผิดในเรื่องดังกล่าว การถอนคำกล่าวหาหรือคำกล่าวโทษที่ได้ยื่นไว้แล้วไม่เป็นเหตุให้ระงับการดำเนินการตาม พระราชบัญญัตินี้
มาตรา 38 เมื่อสัตวแพทยสภาได้รับเรื่องการกล่าวหาหรือการกล่าวโทษตามมาตรา 37 ให้เลขาธิการเสนอเรื่องดังกล่าวต่อประธานอนุกรรมการจรรยาบรรณโดยไม่ชักช้า
มาตรา 39 ให้คณะกรรมการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการจรรยาบรรณจากสมาชิก ประกอบด้วย ประธานคนหนึ่งและอนุกรรมการอีกจำนวนไม่น้อยกว่าสองคน มีอำนาจหน้าที่สืบสวนหาข้อเท็จจริง ในเรื่องที่ได้รับตามมาตรา 38 แล้วทำรายงานพร้อมทั้งความเห็นเสนอคณะกรรมการเพื่อพิจารณา คณะกรรมการอาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการจรรยาบรรณหลายคณะก็ได้
มาตรา 40 เมื่อคณะกรรมการได้รับรายงานและความเห็นของคณะอนุกรรมการจรรยาบรรณแล้ว ให้คณะะกรรมการพิจารณารายงานและความเห็นดังกล่าว และมีมติอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ ( 1 ) ให้คณะอนุกรรมการจรรยาบรรณสืบสวนหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเพื่อเสนอให้คณะกรรมการพิจารณา ( 2 )ให้คณะอนุกรรมการสอบสวนทำการสอบสวนในกรณีที่เห็นว่าข้อกล่าวหาหรือข้อกล่าวโทษนั้น มีมูล ( 3 ) ให้ยกข้อกล่าวหาหรือข้อกล่าวโทษในกรณีที่เห็นว่าข้อกล่าวหาหรือข้อกล่าวโทษนั้นไม่มีมูล
มาตรา 41 ให้คณะกรรมการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการสอบสวนจากสมาชิก ประกอบด้วย ประธานคนหนึ่งและอนุกรรมการอีกจำนวนไม่น้อยกว่าสองคน มีอำนาจหน้าที่สอบสวน สรุปผล การสอบสวนและเสนอสำนวนการสอบสวนพร้อมทั้งความเห็นต่อคณะกรรมการเพื่อวินิจฉัยชี้ขาด คณะกรรมการอาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการสอบสวนหลายคณะก็ได้ มาตรา 42 ให้คณะกรรมการ คณะอนุกรรมการจรรยาบรรณ และคณะอนุกรรมการสอบสวน มีอำนาจออกหนังสือเรียกบุคคลใด ๆ มาให้ถ้อยคำ และให้บุคคลใด ๆ ส่งเอกสารหรือวัตถุเพื่อประโยชน์ แก่การดำเนินงานของคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการดังกล่าว ในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการจรรยาบรรณ และคณะอนุกรรมการ สอบสวน ให้กรรมการ อนุกรรมการจรรยาบรรณ และอนุกรรมการสอบสวนเป็นเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 43 ให้ประธานอนุกรรมการสอบสวนมีหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาหรือข้อกล่าวโทษ พร้อมทั้งส่งสำเนาเรื่องที่กล่าวหาหรือกล่าวโทษให้ผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้ถูกกล่าวโทษไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน ก่อนวันเริ่มทำการสอบสวน ผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้ถูกกล่าวโทษมีสิทธิทำคำชี้แจงหรือนำพยานหลักฐานใดๆ มาให้คณะอนุกรรมการ สอบสวน คำชี้ แจงหรือพยานหลักฐาน ให้ยื่นต่อประธานอนุกรรมการสอบสวนภายในสิบห้าวันนับแต่ วันที่ได้รับแจ้งจากประธานอนุกรรมการสอบสวนหรือภายในกำหนดเวลาที่คณะอนุกรรมการสอบสวน จะขยายให้
มาตรา 44 เมื่อคณะอนุกรรมการสอบสวนทำการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว ให้เสนอสำนวน การสอบสวนพร้อมทั้งความเห็นต่อคณะกรรมการโดยไม่ชักช้า เพื่อให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาด
มาตรา 45 เมื่อคณะกรรมการได้รับสำนวนการสอบสวนและความเห็นของคณะอนุกรรมการ สอบสวนแล้ว ให้คณะกรรมการพิจารณาสำนวนวการสอบสวนและความเห็นดังกล่าวโดยไม่ชักช้า คณะกรรมการอาจให้คณะอนุกรรมการสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติมก่อนวินิจฉัยชี้ขาดก็ได้ คณะกรรมการมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ( 1 ) ยกข้อกล่าวหาหรือข้อกล่าวโทษ ในกรณีที่เห็นว่าผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ มิได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหาหรือข้อกล่าวโทษ หรือ ( 2 ) ลงโทษอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ในกรณีที่เห็นว่าผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ ได้กระทำผิดจริงตามข้อกล่าวหาหรือข้อกล่าวโทษ ( ก ) ว่ากล่าวตักเตือน ( ข ) ภาคทัณฑ์ ( ค ) พักใช้ใบอนุญาตมีกำหนดเวลาตามที่เห็นสมควร แต่ไม่เกินสองปี ( ง ) เพิกถอนใบอนุญาต ภายใต้บังคับมาตรา 28 คำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการตามมาตรานี้ ให้ทำเป็นคำสั่ง สัตวแพทยสภาพร้อมด้วยเหตุผลของการวินิจฉัยชี้ขาด และให้ถือเป็นที่สุด
มาตรา 46 ให้เลขาธิการแจ้งคำสั่งสัตวแพทยสภาตามมาตรา 45 วรรคสี่ ไปยังผู้ถูกกล่าว หาหรือผู้ถูกกล่าวโทษทราบภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่มีคำสั่ง และให้บันทึกข้อความตามคำสั่งนั้นไว้ ในทะเบียนผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ หลักเกณฑ์และวิธีการแจ้งคำสั่งตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด
มาตรา 47 ภายใต้บังคับมาตรา 29 ห้ามมิให้ผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ซึ่งอยู่ใน ระหว่างถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตหรือซึ่งถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ หรือ แสดงด้วยวิธีใด ๆ ให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนเป็นผู้มีสิทธิประกอบวิชาชีพดังกล่าวนับแต่วันที่ทราบคำสั่ง สัตวแพทยสภาที่สั่งพักใช้ใบอนุญาตหรือสั่งเพิกถอนใบอนุญาตนั้น
มาตรา 48 ผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ผู้ใดซึ่งอยู่ในระหว่างถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาต กระทำการฝ่าฝืนมาตรา 47 ให้คณะกรรมการสั่งเพิกถอนใบอนุญาตของผู้นั้น
มาตรา 49 ผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ซึ่งถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาตอาจขอรับใบอนุญาต อีกได้เมื่อพ้นสองปีนับแต่วันถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาต เมื่อคณะกรรมการได้พิจารณาคำขอรับใบอนุญาต และปฏิเสธการออกใบอนุญาต ผู้นั้นจะยื่นคำขอรับใบอนุญาตได้อีกต่อเมื่อสิ้นระยะเวลาหนึ่งปีนับแต่ วันที่คณะกรรมการปฏิเสธการออกใบอนุญาต ถ้าคณะกรรมการปฏิเสธการออกใบอนุญาตเป็นครั้งที่สองแล้ว ผู้นั้นเป็นอันหมดสิทธิขอรับใบอนุญาตตลอดไป ความในวรรคหนึ่งให้ใช้บังคับแก่ผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุม การบำบัดโรคสัตว์ซึ่งถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาตก่อนวันที่พระราชบัญญัตนี้ใช้บังคับที่ยื่นคำขอรับใบอนุญาต เป็นผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ ตามพระราชบัญญัตินี้ด้วย หมวด 6 การกำกับดูแล
มาตรา 50 ให้รัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลการดำเนินงานของสัตวแพทยสภา และ การประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ และสั่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่สอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินงาน ของสัตวแพทยสภาและการประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์
มาตรา 51 ในการปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของรัฐมนตรีตามมาตรา 50 ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ มีอำนาจดังต่อไปนี้ ( 1 ) เข้าไปในสถานที่ทำการของผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ในเวลาทำการของสถานที่นั้น เพื่อตรวจสอบหรือควบคุมให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ ( 2 ) เข้าไปในสถานที่ หรือยานพาหนะใด ๆ ที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะมีการกระทำความผิด ตามพระราชบัญญัตินี้ในระหว่างเวลาพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก หรือในเวลาทำการของสถานที่นั้น เพื่อตรวจค้นเอกสารหรือวัตถุใด ๆ ที่อาจใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินการกระทำผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ประกอบกับกรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าหากเนิ่นช้ากว่าจะเอาหมายค้นมาได้ เอกสารหรือวัตถุดังกล่าว จะถูกยักย้าย ซุกซ่อน ทำลาย หรือทำให้เปลี่ยนสภาพไปจากเดิม ( 3 ) ยึดเอกสารหรือวัตถุใด ๆ ที่อาจใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีการกระทำความผิด ตามพระราชบัญญัตินี้ ในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง ให้บุคคลที่เกี่ยวข้องอำนวยความสะดวก ตามสมควร
มาตรา 52 ในการปฏิบัติหน้าที่ พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัว บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามแบบที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจา นุเบกษา
มาตรา 53 ในการปฏิบัติหน้าที่ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา หมวด 7 บทกำหนดโทษ
มาตรา 54 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 29 หรือมาตรา 47 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือ ปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 55 ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 30 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกิน สองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 56 ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 34 วรรคสาม หรือไม่อำนวยความสะดวกแก่ พนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 51 วรรคสอง ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท
มาตรา 57 ผู้ใดไม่มาให้ถ้อยคำหรือไม่ส่งเอกสารหรือวัตถุใด ๆ ตามที่เรียกหรือแจ้งให้ส่ง ตามมาตรา 42 วรรคหนึ่ง โดยไม่มีเหตุอันควร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับ ไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ บทเฉพาะกาล
มาตรา 58 ผู้ใดเป็นผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์ตามพระราชบัญญัติควบคุมการบำบัดโรคสัตว์ พ.ศ. 2505 อยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ถือว่าผู้นั้นเป็นสมาชิกสัตวแพทยสภาและ เป็นผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ตามพระราชบัญญัตินี้ ผู้เป็นสมาชิกสัตวแพทยสภาตามวรรคหนึ่ง ต้องชำระค่าขึ้นทะเบียนสมาชิก ค่าบำรุงและ ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง ภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ข้อบังคับสัตวแพทยตามมาตรา 24 ( 4 ) ( ค ) ใช้บังคับ ถ้าไม่ชำระภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ให้สมาชิกภาพของผู้นั้นเป็นอันสิ้นสุดลง และให้นำ มาตรา 34 วรรคสองและวรรคสาม มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา 59 ผู้ใดได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์ตามพระราช บัญญัติควบคุมการบำบัดโรคสัตว์ พ.ศ. 2505 และใบอนุญาตนั้นยังคงใช้ได้ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ ใช้บังคับ ให้ถือว่าผู้นั้นได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ ตามพระราชบัญญัตินี้ต่อไปดังนี้ ( 1 ) ผู้ใดขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์ชั้นหนึ่งให้ถือว่าผู้นั้น ได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์หนึ่ง ( 2 ) ผู้ใดได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์ชั้นสอง ให้ถือว่า ผู้นั้นได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพการสัตว์แพทย์ชั้นสอง ให้ผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ตาม ( 1 ) และ ( 2 ) มีสิทธิประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ได้ ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติควบคุมการบำบัดโรคสัตว์ พ.ศ. 2505 และเงื่อนไข ที่กำหนดไว้ในใบอนุญาต เท่าที่ระยะเวลายังเหลืออยู่ของอายุใบอนุญาตนั้น เว้นแต่ผู้นั้นจะได้ขอ ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ตามพระราชบัญญัตินี้ไว้ก่อน ใบอนุญาตนั้นสิ้นอายุ ก็ให้มีสิทธิประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ได้ต่อไปจนกว่าคณะกรรมการจะมีคำสั่ง ไม่ออกใบอนุญาตให้และให้นำมาตรา 34 วรรคสาม มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา 60 ในระยะเริ่มแรกที่ยังมิได้เลือกตั้งสมาชิกเป็นกรรมการตามมาตรา 16 ( 3 ) ให้คณะกรรมการประกอบด้วยอธิบดีกรมปศุสัตว์เป็นนายกสัตวแพทยสภา และกรรมการตามมาตรา 16 ( 1 ) และ ( 2 ) เป็นกรรมการ การแต่งตั้งกรรมการตามมาตรา 16 ( 2 ) ให้กระทำให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้อธิบดีกรมปศุสัตว์เลือกกรรมการตามวรรคหนึ่ง ทำหน้าที่เลขาธิการ รองเลขาธิการ ประชาสัมพันธ์ และเหรัญญิก ตำแหน่งละหนึ่งคน ทั้งนี้ จนกว่าผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวซึ่งได้รับ การเลือกตามมาตรา 18 วรรคสอง เข้ารับหน้าที่ การเลือกตั้งสมาชิกเป็นกรรมการตามมาตรา 16 ( 3 ) ให้กระทำให้แล้วเสร็จภายใน หนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา 61 คำขอขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์ และ คำขอแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อความที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้แล้ว ซึ่งได้ยื่นไว้ตามพระราชบัญญัติควบคุม การบำบัดโรคสัตว์ พ.ศ. 2505 ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ถือปฏิบัติดังนี้ ( 1 ) ถ้าคณะกรรมการควบคุมการบำบัดโรคสัตว์ตามพระราชบัญญัติควบคุมการบำบัดโรคสัตว์ พ.ศ. 2505 ยังมิได้มีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดเกี่ยวกับคำขอดังกล่าว ให้ถือว่าเป็นคำขอที่ได้ยื่นไว้ ตามพระราชบัญญัตินี้ และเมื่อผู้ยื่นคำขอได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกสัตวแพทยสภาแล้ว ให้ดำเนินการ เกี่ยวกับคำขอดังกล่าวไปตามพระราชบัญญัตินี้ ( 2 ) ถ้าคณะกรรมการควบคุมการบำบัดโรคสัตว์ตามพระราชบัญญัติควบคุมการบำบัดโรคสัตว์ พ.ศ. 2505 ได้มีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดเกี่ยวกับคำขอดังกล่าวแล้ว การดำเนินการเกี่ยวกับคำขอนั้น ให้อยู่ในบังคับของบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติควบคุมการบำบัดโรคสัตว์ พ.ศ. 2505 ต่อไป จนกว่าจะได้มีการออกใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์ และให้นำมาตรา 58 มาใช้บังคับ โดยอนุโลม
มาตรา 62 การไต่สวนและการพิจารณาเพื่อวินิจฉัยสั่งพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตเป็น ผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์ที่อยู่ระหว่างดำเนินการตามพระราชบัญญัติควบคุมการบำบัดโรคสัตว์ พ.ศ. 2505 ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่ ( 1 ) กรณีที่ได้มีการไต่สวนโดยถูกต้องตามพระราชบัญญัติควบคุมการบำบัดโรคสัตว์ พ.ศ. 2505 เสร็จไปแล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ แต่คณะกรรมการควบคุมการบำบัด โรคสัตว์ยังมิได้พิจารณาวินิจฉัยมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใด ให้การไต่สวนนั้นเป็นอันใช้ได้ และให้ คณะกรรมการและเลขาธิการตามพระราชบัญญัตินี้ดำเนินการต่อไปตามมาตรา 45 และมาตรา 46 แห่งพระราชบัญญัตินี้ ( 2 ) กรณีที่ได้มีการไต่สวนและคณะกรรมการควบคุมการบำบัดโรคสัตว์ได้พิจารณาวินิจฉัย มีคำสั่งโดยถูกต้องตามพระราชบัญญัติควบคุมการบำบัดโรคสัตว์ พ.ศ. 2505 เสร็จไปแล้วก่อนวันที่ พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ แต่ยังมิได้มีการแจ้งคำสั่งให้ผู้รับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์ ซึ่งถูกกล่าวหาทราบ ให้การไต่สวนและการพิจารณาวินิจฉัยมีคำสั่งเป็นอันใช้ได้ และให้ดำเนินการ ต่อไปตามมาตรา 46 แห่งพระราชบัญญัตินี้ และให้นำมาตรา 45 วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัตินี้ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา 63 ภายใต้บังคับมาตรา 60 และมาตรา 61 แห่งพระราชบัญญัตินี้ การใดอยู่ระหว่าง ดำเนินการตามพระราชบัญญัติควบคุมการบำบัดโรคสัตว์ พ.ศ. 2505 ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ ใช้บังคับ การดำเนินการต่อไปสำหรับการนั้น ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกำหนด
มาตรา 64 ให้บรรดากฎกระทรวง ระเบียบ หรือประกาศที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราช บัญญัติควบคุมการบำบัดโรคสัตว์ พ.ศ. 2505 ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับ พระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ จนกว่าจะได้มีกฎกระทรวง ระเบียบ หรือข้อบังคับที่ออกโดยอาศัยอำนาจ ตามพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ซึ่งต้องไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อัตราค่าธรรมเนียม ( 1 ) ค่าขึ้นทะเบียนและใบอนุญาต เป็นผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ชั้นหนึ่ง และค่าต่ออายุใบอนุญาต ฉบับละ 5,000 บาท ( 2 ) ค่าขึ้นทะเบียนและใบอนุญาต เป็นผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ชั้นสอง และค่าต่ออายุใบอนุญาต ฉบับละ 3,000 บาท ( 3 ) ค่าหนังสือรับรองการขึ้นทะเบียน เป็นผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ ฉบับละ 500 บาท ( 4 ) ค่าหนังสืออนุมัติ หรือวุฒิบัตรแสดง ความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพ การสัตวแพทย์ และหนังสือแสดงวุฒิอื่นใน วิชาชีพการสัตวแพทย์ ฉบับละ 2,000 บาท ( 5 ) ค่าใบแทนใบอนุญาตตาม ( 1 ) และ ( 2 ) และใบแทนเอกสารตาม ( 4 ) ฉบับละ 500 บาท |
หมายเหตุ : เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากได้มีการเปลี่ยนแปลงวิชาชีพบำบัดโรคสัตว์ มาเป็นวิชาชีพการสัตวแพทย์ และพระราชบัญญัติควบคุมการบำบัดโรคสัตว์ พ.ศ. 2505 ซึ่งเป็นกฎหมายควบคุม วิชาชีพการบำบัดโรคสัตว์ มีบทบัญญัติบางประการไม่สอดคล้องและเหมาะสมกับการควบคุมการประกอบวิชาชีพ การสัตวแพทย์ สมควรปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการควบคุมการประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์เสียใหม่ โดยให้มี องค์กรควบคุมการประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ในรูปของสภาวิชาชีพ เพื่อส่งเสริมการประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ ให้มีความคล่องตัวในการดำเนินงาน และในขณะเดียวกันก็ให้สาขาวิชาชีพดังกล่าวทำหน้าที่ควบคุมและส่งเสริม มาตรฐานการประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ และควบคุมมิให้มีการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากบุคคลซึ่งไม่มีความรู้ อันก่อให้เกิดภัยและความเสียหายแก่ประชาชนซึ่งรู้เท่าไม่ถึงการณ์ที่มารับบริการจากบุคคลเช่นนั้น จึงจำเป็นต้องตรา พระราชบัญญัตินี้ ราชกิจจนุเบกษา เล่ม 119 ตอนที่ 36 ก หน้า 1-21 วันที่ 23 เมษายน 2545 |