พระราชบัญญัติ
สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
พ.ศ. 2544
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ.2544
เป็นปีที่ 56 ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้
ประกาศว่า
        โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
        พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 35 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้
โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
        จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา
ดังต่อไปนี้
        มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า ?พระราชบัญญัติสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
 พ.ศ. 2544?
        มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป
        มาตรา 3 ในพระราชบัญญัตินี้
        ?อุตสาหกรรมท่องเที่ยว? หมายความว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวตามกฎหมายว่าด้วยการท่องเที่ยว
แห่งประเทศไทย
        ?ผู้ประกอบอุตสาหกรรมท่องเที่ยว? หมายความว่า ผู้ประกอบอุตสาหกรรมท่องเที่ยวตามกฎหมาย
ว่าด้วยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
        ?สินค้าหรือบริการสำหรับนักท่องเที่ยว? หมายความว่า สินค้าเฉพาะที่จำหน่ายหรือบริการที่
เกี่ยวกับการให้บริการแก่นักท่องเที่ยว โดยไม่รวมถึงสินค้าหรือบริการตามกฎหมายว่าด้วยมาตรฐาน
ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม

        ?สภา? หมายความว่า สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
        ?สมาชิก? หมายความว่า สมาชิกสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
        ?ข้อบังคับ? หมายความว่า ข้อบังคับสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
        ?คณะกรรมการ? หมายความว่า คณะกรรมการสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
        ?กรรมการ? หมายความว่า กรรมการสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
        ?ผู้อำนวยการ? หมายความว่า ผู้อำนวยการสำนักงานใหญ่ของสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
แห่งประเทศไทย
        ?พนักงาน? หมายความว่า พนักงานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
        ?ลูกจ้าง? หมายความว่า ลูกจ้างสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
        ?พนักงานเจ้าหน้าที่? หมายความว่า ผู้ซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราช
บัญญัตินี้
        มาตรา 4 ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงาน
เจ้าหน้าที่ รวมทั้งออกประกาศเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
        ประกาศนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
                                                หมวด 1
                        สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
        มาตรา 5 ให้จัดตั้งสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย มีวัตถุประสงค์และอำนาจ
หน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้
        ให้สภาเป็นนิติบุคคล
        มาตรา 6 สภามีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้

        (1) เป็นตัวแทนของผู้ประกอบอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในด้านการประสานงานอย่างมีระบบ
ระหว่างรัฐกับเอกชนและเอกชนกับเอกชนด้วยกัน
        (2) ส่งเสริมให้มีการพัฒนาการประกอบอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
        (3) ส่งเสริมให้มีการอนุรักษ์ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี สถานที่ท่องเที่ยว โบราณสถาน
และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเอกลักษณ์ของความเป็นไทย
        (4) ส่งเสริมให้มีจรรยามารยาทในการท่องเที่ยว
        (5) ส่งเสริมให้มีระบบการรับรองคุณภาพ ระบบมาตรฐานและระบบประกันคุณภาพของธุรกิจ
ที่เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการสำหรับนักท่องเที่ยว
        (6) ควบคุมดูแลให้สมาชิกผู้ประกอบอุตสาหกรรมท่องเที่ยวดำเนินการอย่างมีคุณภาพ มีคุณธรรม
และมีจรรยาบรรณ
        (7) ส่งเสริมสนับสนุนการศึกษา ค้นคว้า วิจัย ทดลอง อบรม และเผยแพร่วิชาการและ
เทคโนโลยีเกี่ยวกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้แก่สมาชิก หรือจัดเป็นบริการแก่บุคคลทั่วไป
        (8) ประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวต่อสมาชิก
และบุคคลทั่วไปทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศ
        (9) เสนอความเห็นหรือให้คำปรึกษาต่อคณะรัฐมนตรีในเรื่องเกี่ยวกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
        (10) ให้ความร่วมมือแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมกิจการ
ด้านการท่องเที่ยวทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศ
        (11) คุ้มครองและรักษาผลประโยชน์ของสมาชิกเกี่ยวกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
        (12) ส่งเสริมให้มีการช่วยเหลือเกื้อกูลระหว่างสมาชิกด้วยกัน
        (13) ศึกษาและหาทางแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการประกอบอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

        (14) ดำเนินกิจการอื่นใดที่เป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว
        (15) ส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
        มาตรา 7 ภายใต้บังคับมาตรา 6 ห้ามสภากระทำการใด ๆ ดังต่อไปนี้
        (1)  แข่งขันทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมหรือเป็นการจำกัดทางการค้าเพื่อการผูกขาดอุตสาหกรรม
ท่องเที่ยว เว้นแต่เป็นการปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อเป็นการคุ้มครองอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
ของประเทศ
        (2) ลิดรอนสิทธิ์ของผู้ประกอบอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
        (3) ดำเนินการอันอาจเป็นภัยต่อเศรษฐกิจ ความมั่นคงของประเทศหรือความสงบเรียบร้อย
หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
        (4) กดราคาสินค้าหรือบริการเกี่ยวกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้ตกต่ำหรือทำให้สูงเกินสมควร
หรือทำให้ปั่นป่วนเกี่ยวกับราคาสินค้าหรือค่าบริการเกี่ยวกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
        (5) ให้กู้ยืมเงินหรือให้เงินแก่สมาชิกหรือบุคคลอื่นใด เว้นแต่เป็นการให้กู้ยืมเพื่อเป็น
การสงเคราะห์พนักงานและลูกจ้างหรือครอบครัวของพนักงานและลูกจ้าง หรือเป็นการให้เพื่อการกุศล
สาธารณะตามข้อบังคับ
        (6) แบ่งปันรายได้ให้แก่สมาชิก
        มาตรา 8 ให้สภามีสำนักงานใหญ่หนึ่งแห่งในท้องที่ที่สภากำหนด และมีสำนักงานสาขาได้
ตามความจำเป็น
        การจัดตั้งสำนักงานสาขาตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามข้อบังคับ
        มาตรา 9 สภาอาจมีรายได้ดังนี้
        (1) ค่าลงทะเบียน ค่าบำรุง ค่าบำรุงพิเศษ ค่าธรรมเนียมและค่าบริการที่เรียกเก็บจากสมาชิก

        (2) เงินและทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคให้
        (3) ผลประโยชน์จากการจัดการเงินและทรัพย์สินและการดำเนินกิจการของสภา
        (4) เงินรายได้อื่น
        (5) ดอกผลของเงินและทรัพย์สินตาม (1) (2) (3) และ (4)
        มาตรา 10 ห้ามบุคคลใดนอกจากสภาใช้ชื่อที่เป็นภาษาไทยว่า ?สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
แห่งประเทศไทย? หรือภาษาต่างประเทศที่มีความหมายในทำนองเดียวกันหรืออ่านออกเสียงว่า
?สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย? หรือใช้ชื่อในทำนองเดียวกันจนเป็นเหตุให้บุคคลอื่น
หลงเชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของสภา
                                        หมวด 2
                                        สมาชิก
        มาตรา 11 สมาชิกสภามีสามประเภท
        (1) สมาชิกสามัญ
        (2) สมาชิกวิสามัญ
        (3) สมาชิกกิตติมศักดิ์
สมาชิกทั้งสามประเภทมีสิทธิและหน้าที่ตามที่กำหนดในข้อบังคับ
        มาตรา 12 สมาชิกสามัญ ได้แก่ สมาคมที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ซึ่งมีวัตถุประสงค์และ
ดำเนินกิจการเพื่อส่งเสริมการประกอบอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยกรรมการสมาคมทั้งหมดจำนวนเกิน
กึ่งหนึ่ง และสมาชิกของสมาคมทั้งหมดจำนวนเกินกึ่งหนึ่งมีสัญชาติไทย
        มาตรา 13 สมาชิกวิสามัญ ได้แก่
        (1) สมาคมที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยซึ่งมีวัตถุประสงค์และดำเนินกิจการเพื่อส่งเสริม
การประกอบอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่มิใช่สมาคมตามมาตรา 12 หรือสมาคมที่ตั้งขึ้นตามกฎหมาย
ต่างประเทศซึ่งมีวัตถุประสงค์และดำเนินกิจการเพื่อส่งเสริมการประกอบอุตสาหกรรมท่องเที่ยว หรือ

        (2) นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายซึ่งประกอบอุตสาหกรรมท่องเที่ยว หรือ
        (3) บุคคลซึ่งมีผลงานทางวิชาการเกี่ยวกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวหรือมีคุณสมบัติตามที่
กำหนดในข้อบังคับ
        มาตรา 14 สมาชิกกิตติมศักดิ์ ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิในด้านอุตสาหกรรมท่องเที่ยวหรือผู้ซึ่ง
ทำประโยชน์ให้แก่สภาหรือการท่องเที่ยวของประเทศ ซึ่งคณะกรรมการเชิญมาเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์
                                        หมวด 3
                                         คณะกรรมการ
        มาตรา 15 ให้มีคณะกรรมการสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ประกอบด้วย
        (1) กรรมการโดยตำแหน่ง ได้แก่ ผู้แทนการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยหนึ่งคน
        (2) กรรมการประเภทเลือกตั้งจำนวนสามในสี่ของจำนวนกรรมการประเภทเลือกตั้งและกรรมการ
ประเภทแต่งตั้งรวมกัน ซึ่งที่ประชุมสมาชิกสามัญเลือกตั้งจากผู้แทนสมาชิกสามัญ และ
        (3) กรรมการประเภทแต่งตั้งจำนวนหนึ่งในสี่ของจำนวนกรรมการประเภทเลือกตั้งและกรรมการ
ประเภทแต่งตั้งรวมกัน ซึ่งกรรมการประเภทเลือกตั้งตาม (2) แต่งตั้งจากสมาชิกวิสามัญ หรือผู้แทน
สมาชิกวิสามัญ หรือสมาชิกกิตติมศักดิ์
        ให้กรรมการตาม (1) (2) และ (3) เลือกกรรมการตาม (2) หรือ (3) เป็นประธานสภา
รองประธานสภา และตำแหน่งอื่น ๆ ตามความจำเป็น
        ผู้ดำรงตำแหน่งประธานสภาและรองประธานสภาต้องมีสัญชาติไทยโดยการเกิด
        ให้ผู้อำนวยการเป็นเลขานุการของคณะกรรมการ
        จำนวนรวมกันของกรรมการประเภทเลือกตั้งและกรรมการประเภทแต่งตั้ง สัดส่วนกรรมการ
ของสมาชิกแต่ละประเภท วิธีการเลือกตั้งและแต่งตั้งกรรมการตามวรรคหนึ่ง (2) และ (3) และวิธี
การเลือกประธานสภา รองประธานสภา และตำแหน่งอื่น ๆ ตามวรรคสอง ให้เป็นไปตามข้อบังคับ

        มาตรา 16 คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่วางนโยบายและดำเนินกิจการของสภาให้เป็นไป
ตามวัตถุประสงค์ของสภาตามมาตรา 6 รวมทั้งให้มีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
        (1) เสนอความเห็นและให้คำปรึกษาต่อนายกรัฐมนตรีในเรื่องเกี่ยวกับการประกอบอุตสาหกรรม
ท่องเที่ยว
        (2) กำหนดเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์เพื่อรับรองคุณภาพของธุรกิจที่เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ
สำหรับนักท่องเที่ยว
        (3) ออกข้อบังคับว่าด้วย
        (ก) การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการรับสมัครสมาชิก สิทธิหน้าที่ของสมาชิก คุณสมบัติ
อื่นของสมาชิกวิสามัญตามมาตรา 13 (3) วินัยและการลงโทษสมาชิก และการพ้นจากสมาชิกภาพ
รวมทั้งการอุทธรณ์
        (ข) การกำหนดจำนวนรวมกันของกรรมการประเภทเลือกตั้งและกรรมการประเภทแต่งตั้ง
สัดส่วนกรรมการของสมาชิกแต่ละประเภท วิธีการเลือกตั้งและแต่งตั้งกรรมการตามมาตรา 15 (2)
และ (3) และวิธีการเลือกประธานสภา รองประธานสภา และตำแหน่งอื่น ๆ
        (ค) การกำหนดค่าลงทะเบียน ค่าบำรุง ค่าบำรุงพิเศษ ค่าธรรมเนียม และค่าบริการ
ที่เรียกเก็บจากสมาชิก
        (ง) การบัญชี การเงิน และทรัพย์สินของสภา
        (จ) จรรยาบรรณของผู้ประกอบอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
        (ฉ) วิธีปฏิบัติเพื่อให้มีการรับรองคุณภาพของธุรกิจที่เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการสำหรับ
นักท่องเที่ยว
        (ช)  การจัดตั้งสำนักงานสาขาของสภา
                (ซ)  การประชุมและการดำเนินงานของคณะกรรมการ และการประชุมของที่ประชุมสภา
                (ฌ) การดำเนินกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก

        (ญ) การบรรจุ การแต่งตั้ง การถอดถอน การกำหนดตำแหน่ง อัตราเงินเดือน ค่าจ้าง
และเงินบำเหน็จรางวัลของพนักงานและลูกจ้าง รวมทั้งวินัย การลงโทษ และการร้องทุกข์ของพนักงาน
และลูกจ้าง
        (ฎ) การสงเคราะห์พนักงานและลูกจ้าง ตลอดจนครอบครัวของบุคคลดังกล่าว หรือผู้ซึ่ง
พ้นจากการเป็นพนักงานหรือลูกจ้าง
        (4) ให้คำปรึกษาและให้คำแนะนำแก่สมาชิกในการประกอบอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
        (5) พิจารณาบุคคลเพื่อเสนอประธานสภาแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการ รวมทั้งกำหนดอัตรา
เงินเดือนและเงินสวัสดิการของผู้อำนวยการ
        (6) แต่งตั้งที่ปรึกษาและคณะอนุกรรมการ เพื่อดำเนินกิจการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่คณะกรรมการ
มอบหมาย
        (7) ออกระเบียบหรือข้อบังคับในเรื่องอื่นใดที่จำเป็นต่อการดำเนินกิจการของสภา
การกำหนดหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ตาม (2) ข้องบังคับตาม (3)
(ก) (ข) (ค) (ง) (จ) (ฉ) (ช) (ซ) และ (ฌ) และระเบียบหรือข้อบังคับตาม (7) ต้องได้รับ
ความเห็นชอบจากที่ประชุมสภาก่อน จึงจะใช้บังคับได้
        การกำหนดหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อบังคับตาม (3) (จ) และ (ฉ) เมื่อที่ประชุมสภาให้
ความเห็นชอบแล้ว ให้เสนอนายกรัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษาจึงจะใช้บังคับได้ แต่ถ้านายกรัฐมนตรี
ไม่เห็นชอบด้วยก็ให้เป็นอันตกไป
        มาตรา 17 กรรมการประเภทเลือกตั้งและกรรมการประเภทแต่งตั้ง ต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม
ดังต่อไปนี้
        (1) เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของสภา

        (2) เป็นบุคคลที่ถูกศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย
        (3) เป็นข้าราชการประจำ พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานอื่นของรัฐ หรือข้าราชการการเมือง
ยกเว้นกรณีตามมาตรา 15 (3) หรือมาตรา 39
        (4) เป็นบุคคลวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ
        (5) เป็นบุคคลที่ถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
        (6) เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่
ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
        (7) เป็นบุคคลหรือผู้แทนของนิติบุคคลที่เคยถูกสำนักทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์
เพิกถอนการประกอบวิชาชีพหรือการประกอบธุรกิจ หรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตโดยหน่วยงานของรัฐ
ที่เกี่ยวข้อง
        มาตรา 18 กรรมการประเภทเลือกตั้งมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสองปี และอาจได้รับ
เลือกตั้งใหม่ได้ แต่จะดำรงตำแหน่งเกินสองวาระติดต่อกันไม่ได้
        ให้กรรมการประเภทแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งพร้อมกับวาระของกรรมการประเภทเลือกตั้ง
ตามวรรคหนึ่ง และอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้
        ประธานสภาจะดำรงตำแหน่งเกินสองวาระติดต่อกันไม่ได้
        นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง กรรมการประเภทเลือกตั้ง
และกรรมการประเภทแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งเมื่อ
        (1) ตาย
        (2) ลาออก
        (3) ที่ประชุมสภามีมติให้ออกด้วยคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสามัญ

        (4) พ้นจากการเป็นผู้แทนสมาชิกสามัญหรือผู้แทนสมาชิกวิสามัญนั้น หรือสมาชิกสามัญ
หรือสมาชิกวิสามัญหรือสมาชิกกิตติมศักดิ์นั้นพ้นจากสมาชิกภาพ
        (5) มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 17
        (6) ถูกจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท
หรือความผิดลหุโทษ
        (7) นายกรัฐมนตรีสั่งให้พ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 38
        มาตรา 19 เมื่อกรรมการประเภทเลือกตั้งพ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ ให้คณะกรรมการ
จัดให้มีการเลือกตั้งกรรมการประเภทนั้นแทนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่กรรมการผู้นั้นพ้นจากตำแหน่ง
แต่ถ้าวาระของกรรมการผู้นั้นเหลืออยู่ไม่ถึงเก้าสิบวัน คณะกรรมการจะจัดให้มีการเลือกตั้งกรรมการ
แทนหรือไม่ก็ได้
        เมื่อกรรมการประเภทแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ ให้กรรมการประเภทเลือกตั้งแต่งตั้ง
กรรมการประเภทนั้นแทนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่กรรมการผู้นั้นพ้นจากตำแหน่ง แต่ถ้าวาระของ
กรรมการผู้นั้นเหลืออยู่ไม่ถึงเก้าสิบวัน กรรมการประเภทเลือกตั้งจะดำเนินการแต่งตั้งกรรมการแทน
หรือไม่ก็ได้
        ให้ผู้ซึ่งได้รับเลือกตั้งหรือแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทนตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง อยู่ในตำแหน่ง
เท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งตนแทน
        มาตรา 20 เมื่อกรรมการประเภทเลือกตั้งและกรรมการประเภทแต่งตั้งทั้งหมดพ้นจากตำแหน่ง
ตามวาระ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 38 ให้กรรมการที่พ้นจากตำแหน่งยังคงปฏิบัติหน้าที่
เพียงเท่าที่จำเป็นไปพลางก่อนจนกว่ากรรมการซึ่งได้รับเลือกตั้งและแต่งตั้งใหม่เข้ารับหน้าที่
        คณะกรรมการต้องจัดให้มีการประชุมสมาชิกสามัญเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งกรรมการตามมาตรา
15 (2) ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่กรรมการพ้นจากตำแหน่งตามวรรคหนึ่ง และให้กรรมการชุดที่ได้
รับเลือกตั้งนั้นแต่งตั้งกรรมการตามมาตรา 15 (3) ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเลือกตั้ง

        ในกรณีที่ตำแหน่งกรรมการว่างลงรวมกันเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการประเภทเลือกตั้งและ
กรรมการประเภทแต่งตั้งรวมกัน ให้กรรมการที่เหลืออยู่กระทำการในนามของคณะกรรมการต่อไปได้
แต่เฉพาะการจัดให้มีการประชุมสมาชิกสามัญเพื่อดำเนินการตามวรรคสอง
        ในกรณีที่กรรมการประเภทเลือกตั้งและกรรมการประเภทแต่งตั้งทั้งหมดพ้นจากตำแหน่งพร้อมกัน
ในกรณีอื่น ให้นำมาตรา 39 มาใช้บังคับโดยอนุโลม
        มาตรา 21 ให้คณะกรรมการจัดให้มีการประชุมคณะกรรมการอย่างน้อยสามเดือนต่อหนึ่งครั้ง
        การประชุมคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด
จึงจะเป็นองค์ประชุม
        ในการประชุมคณะกรรมการ ให้ประธานสภาเป็นประธานในที่ประชุม ถ้าประธานสภาไม่อยู่
ในที่ประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้รองประธานสภาเป็นประธานในที่ประชุม ถ้ารองประธานสภา
ไม่อยู่ในที่ประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ที่ประชุมเลือกกรรมการซึ่งเป็นผู้แทนของสมาชิกสามัญ
คนหนึ่ง เป็นประธานในที่ประชุม
        มติของที่ประชุมให้ถือตามเสียงข้างมากของจำนวนกรรมการที่มาประชุม ให้กรรมการคนหนึ่ง
มีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีก
เสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
        ในการประชุมคณะกรรมการ ถ้ามีการพิจารณาเรื่องใดที่เกี่ยวกับตัวกรรมการ หรือส่วนได้เสีย
ของกรรมการผู้ใด ให้กรรมการผู้นั้นมีสิทธิชี้แจงในเรื่องนั้นแต่ไม่มีสิทธิออกเสียง
        มาตรา 22 ให้ประธานสภา รองประธานสภา และกรรมการได้รับประโยชน์ตอบแทนตามที่
ที่ประชุมสภากำหนด
        ให้ที่ปรึกษาและอนุกรรมการได้รับประโยชน์ตอบแทนตามที่คณะกรรมการกำหนด โดยได้รับ
ความเห็นชอบจากที่ประชุมสภา

        มาตรา 23 ให้ประธานสภาแต่งตั้งผู้อำนวยการสำนักงานใหญ่ของสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
แห่งประเทศไทยตามมติของคณะกรรมการจากบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้
        (1) มีสัญชาติไทยโดยการเกิด
        (2) มีความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
        (3) สามารถทำงานให้แก่สภาได้เต็มเวลา
        (4) ไม่เป็นบุคคลที่ถูกศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย
        (5) ไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ
        (6) ไม่เป็นบุคคลที่ถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
        (7) ไม่เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุด เว้นแต่ความผิดที่กระทำโดยประมาท
หรือความผิดลหุโทษ
        (8) ไม่เป็นข้าราชการประจำ ข้าราชการการเมือง พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือพนักงานอื่น
ของรัฐหรือกรรมการ
        (9) ไม่เป็นบุคคลที่มีความประพฤติเสื่อมเสียอันอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่สภา
        มาตรา 24 ให้ผู้อำนวยการมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสามปีและอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้
        มาตรา 25 นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา 24 ผู้อำนวยการพ้นจาก
ตำแหน่งเมื่อ
        (1) ตาย
        (2) ลาออก
        (3) คณะกรรมการมีมติให้ออกด้วยคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด
        (4) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 23

        มาตรา 26 ผู้อำนวยการมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
        (1) ควบคุมและรับผิดชอบในการบริหารกิจการของสภา และมีอำนาจบังคับบัญชาพนักงาน
และลูกจ้างของสภา
        (2) ดูแลรักษาทะเบียนสมาชิกและทะเบียนอื่น ๆ ของสภา
        (3) ควบคุมดูแลทรัพย์สินของสภา
        (4) รวบรวมข้อมูล สถิติ และศึกษาวิจัยเรื่องอันเกี่ยวกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
        (5) ปฏิบัติการอื่นใดตามที่ประธานสภาและคณะกรรมการมอบหมาย
ผู้อำนวยการต้องรับผิดชอบต่อสภาและคณะกรรมการในการบริหารกิจการของสภา
        มาตรา 27 เมื่อผู้อำนวยการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ หรือในกรณีที่ตำแหน่งผู้อำนวยการว่างลง
ให้ประธานสภาแต่งตั้งพนักงานคนหนึ่งตามมติของคณะกรรมการเป็นผู้รักษาการชั่วคราว ในกรณีเช่นนี้
ให้ผู้รักษาการมีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับผู้อำนวยการ
        ในกรณีที่ตำแหน่งผู้อำนวยการว่างลง ให้ประธานสภาดำเนินการแต่งตั้งผู้อำนวยการตาม
มาตรา 23 ภายในสามเดือนนับแต่วันที่ตำแหน่งดังกล่าวว่างลง
        มาตรา 28 ในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก ให้ประธานสภาเป็นผู้แทนของสภา และ
เพื่อการนี้ ประธานสภาจะมอบหมายเป็นหนังสือให้กรรมการ ผู้อำนวยการ หรือพนักงานดำเนินกิจการ
บางอย่างแทนก็ได้ ในเมื่อกิจการนั้นไม่ขัดต่อระเบียบหรือข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนดไว้
        การดำเนินกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก ให้เป็นไปตามที่กำหนดในข้อบังคับ
                                        หมวด 4
                                           การดำเนินกิจการสภา
        มาตรา 29 ให้คณะกรรมการจัดให้มีการประชุมสภาอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง การประชุม
เช่นนี้เรียกว่าประชุมสามัญ และอย่างน้อยต้องกำหนดให้มีวาระการประชุมในเรื่องดังต่อไปนี้

        (1) ให้ความเห็นชอบแผนการดำเนินงานประจำปีตามมาตรา 33 วรรคหนึ่ง
        (2) รับรองรายงานประจำปีแสดงผลงานของคณะกรรมการในปีที่ล่วงมา และคำชี้แจงเกี่ยวกับ
นโยบาย พร้อมด้วยงบดุลและบัญชีรายรับและรายจ่ายประจำปี ซึ่งมีผู้สอบบัญชีรับรองตามมาตรา 33
วรรคสอง
        การประชุมสภาคราวอื่นนอกจากการประชุมตามวรรคหนึ่ง เรียกว่าประชุมวิสามัญ
        มาตรา 30 เมื่อมีเหตุจำเป็น คณะกรรมการจะเรียกประชุมวิสามัญเมื่อใดก็ได้
        สมาชิกสามัญจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิกสามัญจะทำหนังสือร้องขอ
ต่อคณะกรรมการให้เรียกประชุมวิสามัญก็ได้ ในหนังสือร้องขอนั้นต้องระบุว่าประสงค์ให้เรียกประชุม
เพื่อการใด
        ในกรณีที่สมาชิกสามัญเป็นผู้ร้องขอให้เรียกประชุมวิสามัญตามวรรคสอง ให้คณะกรรมการ
เรียกประชุมวิสามัญภายในสามสิบวันนับแต่วันที่รับหนังสือร้องขอ หากคณะกรรมการไม่เรียกประชุม
ภายในระยะเวลาดังกล่าว ให้สมาชิกสามัญจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิกสามัญ
มีสิทธิเรียกประชุมวิสามัญได้
        มาตรา 31 ในการประชุมสามัญและการประชุมวิสามัญต้องมีสมาชิกสามัญมาประชุมไม่น้อยกว่า
กึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสามัญทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม
        มติของที่ประชุมให้ถือตามเสียงข้างมากของสมาชิกสามัญที่มาประชุม
        สมาชิกสามัญคนหนึ่งมีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุม
ออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
        ในการประชุมสามัญและการประชุมวิสามัญ ให้ประธานสภาเป็นประธานในที่ประชุม และให้นำ
ความในมาตรา 21 วรรคสาม มาใช้บังคับโดยอนุโลม

        มาตรา 32 สมาชิกวิสามัญและสมาชิกกิตติมศักดิ์มีสิทธิเข้าร่วมประชุมในการประชุมสามัญ
และการประชุมวิสามัญได้ แต่ไม่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนน
        มาตรา 33 ในการดำเนินการของคณะกรรมการ ให้คณะกรรมการจัดทำแผนการดำเนินงาน
ประจำปีเสนอต่อที่ประชุมสามัญ เมื่อที่ประชุมสามัญเห็นชอบแล้วจึงจะดำเนินการได้
        ให้คณะกรรมการจัดทำรายงานประจำปีแสดงผลงานของคณะกรรมการในปีที่ล่วงมา และคำชี้แจง
เกี่ยวกับนโยบาย พร้อมด้วยงบดุลและบัญชีรายรับและรายจ่ายประจำปีซึ่งมีผู้สอบบัญชีรับรอง เสนอต่อ
ที่ประชุมสามัญภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันสิ้นปีปฏิทิน และให้ส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวไปยัง
นายกรัฐมนตรีภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ที่ประชุมสามัญรับรองแล้ว
        มาตรา 34 ผู้สอบบัญชีตามมาตรา 33 วรรคสอง ให้ที่ประชุมสามัญแต่งตั้งจากผู้สอบบัญชี
รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยผู้สอบบัญชี และต้องไม่เป็นกรรมการ ผู้อำนวยการ พนักงานลูกจ้าง
หรือพนักงานเจ้าหน้าที่
        ผู้สอบบัญชีมีอำนาจตรวจสอบสรรพสมุดบัญชี และเอกสารหลักฐานของสภาและขอคำชี้แจง
จากประธานสภา กรรมการ ผู้อำนวยการ พนักงานลูกจ้าง และพนักงานเจ้าหน้าที่ได้
        ให้ผู้สอบบัญชีได้รับประโยชน์ตอบแทนตามที่ที่ประชุมสามัญกำหนด
                                        หมวด 5
                                            การควบคุมของรัฐ
        มาตรา 35 ให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจดังต่อไปนี้
        (1) กำกับดูแลให้คณะกรรมการดำเนินการตามมาตรา 16
        (2) สั่งเป็นหนังสือให้พนักงานเจ้าหน้าที่สอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินงานของสภา
        (3) สั่งเป็นหนังสือให้กรรมการชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกิจการของสภาและจะให้ส่งเอกสาร
เกี่ยวกับการดำเนินงานหรือรายงานการประชุมของสภาหรือคณะกรรมการด้วยก็ได้

        (4) สั่งเป็นหนังสือให้สภาหรือกรรมการระงับหรือแก้ไขการกระทำใด ๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย
นโยบายของรัฐบาล มติของคณะรัฐมนตรี ข้อบังคับ หรือวัตถุประสงค์ของสภา
        มาตรา 36 ในการปฏิบัติการตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 35 ให้พนักงาน
เจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปตรวจสอบเอกสารหรือหลักฐานในสำนักงานของสภาได้ในระหว่างเวลาทำการ
หรือให้บุคคลซึ่งเกี่ยวข้องชี้แจงแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่ร้องขอ
        ในการปฏิบัติการของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง ให้บุคคลซึ่งเกี่ยวข้องอำนวยความสะดวก
ตามสมควร
        มาตรา 37 ในการปฏิบัติการตามมาตรา 36 ให้พนักงานเจ้าหน้าที่แสดงบัตรประจำตัว
ต่อบุคคลซึ่งเกี่ยวข้อง
        บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามแบบที่นายกรัฐมนตรีประกาศกำหนด
        มาตรา 38 เมื่อปรากฎว่าสภาหรือกรรมการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 35
หรือกระทำการใด ๆ อันเป็นการผิดวัตถุประสงค์ของสภาหรือเป็นภัยต่อระบบเศรษฐกิจ ความมั่นคง
ของประเทศ หรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งให้
กรรมการทั้งคณะหรือกรรมการคนใดคนหนึ่งพ้นจากตำแหน่ง
        กรรมการที่พ้นจากตำแหน่งตามวรรคหนึ่งไม่มีสิทธิเป็นกรรมการอีก เว้นแต่จะพ้นกำหนด
หกปีนับแต่วันที่นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง
        มาตรา 39 ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้กรรมการทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 38
ให้นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งบุคคลซึ่งเป็นสมาชิกของสมาชิกสามัญและสมาชิกวิสามัญหรือผู้แทนสมาชิก
วิสามัญตามจำนวนอัตราส่วนที่กำหนดไว้ในมาตรา 15 วรรคหนึ่ง เป็นคณะกรรมการชั่วคราวภายใน
สามสิบวันนับแต่วันที่นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้กรรมการทั้งคณะพ้นจากตำแหน่ง และให้นำความใน
มาตรา 15 วรรคสอง มาใช้บังคับโดยอนุโลม

        ให้คณะกรรมการชั่วคราวตามวรรคหนึ่ง มีอำนาจหน้าที่ดำเนินกิจการของสภาเพียงเท่าที่จำเป็น
และจัดให้มีการประชุมสมาชิกสามัญเพื่อเลือกตั้งกรรมการตามมาตรา 15 (2) ภายในสามสิบวัน
นับแต่วันที่นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการชั่วคราว และให้นำความในมาตรา 20 วรรคสอง
มาใช้บังคับโดยอนุโลม
        เมื่อคณะกรรมการคณะใหม่เข้ารับหน้าที่แล้ว ให้คณะกรรมการชั่วคราว ซึ่งนายกรัฐมนตรี
แต่งตั้งตามวรรคหนึ่งพ้นจากหน้าที่
                                        หมวด 6
                                         บทกำหนดโทษ
        มาตรา 40 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 10 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับตั้งแต่
หนึ่งแสนบาทถึงห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
        มาตรา 41 ผู้ใดขัดขวางหรือไม่อำนวยความสะดวกตามสมควรแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่ง
ปฏิบัติการตามมาตรา 36 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท
                                         บทเฉพาะกาล
        มาตรา 42 ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้นายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง
ผู้แทนสมาคมโรงแรมไทย จำนวนสี่คน สมาพันธ์ธุรกิจการท่องเที่ยวส่วนภูมิภาคแห่งประเทศไทย
จำนวนสี่คน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) สมาคมรถโดยสาร
ไม่ประจำทาง สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว สมาคมไทยบริการท่องเที่ยว สมาคมผู้ประกอบการ
นำเที่ยวไทย สมาคมพาต้า (ไทย) สมาคมมัคคุเทศก์อาชีพ สมาคมส่งเสริมการประชุมนานาชาติ (ไทย)
สมาคมภัตตาคารไทย สมาคมสวนสนุกและสวนพักผ่อนหย่อนใจ และสมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและ
เครื่องประดับ แห่งละหนึ่งคน เป็นคณะกรรมการก่อตั้งเพื่อทำหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 43

        มาตรา 43 ให้คณะกรรมการก่อตั้งตามมาตรา 42 มีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
        (1) ออกระเบียบชั่วคราวว่าด้วยการรับสมัครสมาชิกและค่าลงทะเบียนสมาชิกและดำเนินการ
รับสมัครสมาชิกภายในหนึ่งร้อยห้าสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้ง
        (2) จัดทำระเบียบชั่วคราวว่าด้วยจำนวนกรรมการ สัดส่วนของผู้แทนสมาชิกสามัญที่จะได้
รับเลือกตั้งเป็นกรรมการตามมาตรา 15 (2) และการแต่งตั้งกรรมการตามมาตรา 15 (3)
        (3) จัดให้มีการประชุมสมาชิกภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ครบกำหนดระยะเวลาหนึ่งร้อยห้าสิบวัน
ตาม (1) เพื่ออนุมัติระเบียบชั่วคราวตาม (2)
        (4) เลือกตั้งกรรมการตามมาตรา 15 (2) ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ที่ประชุมสมาชิก
อนุมัติระเบียบชั่วคราวตาม (3)
        (5) ปฏิบัติการอื่นเพียงเท่าที่จำเป็นเพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้
ให้คณะกรรมการก่อตั้งพ้นจากหน้าที่ เมื่อได้มีการเลือกตั้งกรรมการตาม (4) แล้ว เพื่อให้
กรรมการประเภทเลือกตั้งชุดใหม่ดำเนินการตามมาตรา 44 ต่อไป
        มาตรา 44 ให้กรรมการซึ่งได้รับเลือกตั้งตามมาตรา 43 (4) แต่งตั้งกรรมการตามมาตรา
15 (3) และจัดให้มีการประชุมคณะกรรมการภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเลือกตั้ง เพื่อให้มี
การเลือกประธานสภา รองประธานสภา และตำแหน่งอื่น ๆ ตามมาตรา 15 วรรคสอง และจัดให้มี
การประชุมสามัญครั้งแรกภายในหกสิบวัน นับแต่วันเลือกประธานสภา รองประธานสภา และตำแหน่ง
อื่น ๆ
        ในการประชุมสามัญตามวรรคหนึ่ง ให้พิจารณาค่าใช้จ่ายตามมาตรา 43 และให้ความเห็นชอบ
แผนการดำเนินงานประจำปีสำหรับปีแรกด้วย
        มาตรา 45 ให้ผู้ที่ใช้ชื่อซึ่งต้องห้ามตามมาตรา 10 อยู่แล้วในวันที่พระราชบัญญัตินี้
ใช้บังคับ เลิกใช้ชื่อดังกล่าวนั้นภายในสามสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ และในระหว่าง
เวลาดังกล่าวมิให้นำมาตรา 40 มาใช้บังคับ
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร
         นายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ : - เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรม
สำคัญที่นำรายได้เข้าสู่ประเทศ จึงสมควรให้มีการจัดตั้งสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยขึ้นเพื่อเป็นตัวแทน
ของผู้ประกอบอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งหลาย อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ในด้านการประสานงานอย่างมีระบบกับหน่วยงาน
ที่เกี่ยวข้องไม่ว่าภาครัฐหรือภาคเอกชน เสนอแนะแนวนโยบายที่สำคัญส่งเสริมให้มีระบบการรับรองคุณภาพ ระบบ
มาตรฐาน และระบบประกันคุณภาพของธุรกิจที่เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการสำหรับนักท่องเที่ยว  และส่งเสริมผู้ประกอบ
อุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้ดำเนินการอย่างมีคุณภาพ มีคุณธรรม และมีจรรยาบรรณเพื่อสร้างเสริมประสิทธิภาพของ
อุตสาหกรรมประเภทนี้ให้มีการพัฒนาก้าวหน้า จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
( รจ. เล่ม 118 ตอนที่ 112 ก หน้า 24  4 ธันวาคม 2544)