พระราชบัญญัติ
การรถไฟแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 7)
พ.ศ. 2543
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543
เป็นปีที่ 55 ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้
ประกาศว่า
        โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการรถไฟแห่งประเทศไทย
        จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา
ดังต่อไปนี้
        มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า ?พระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 7)
พ.ศ. 2543 ?
        มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป
        มาตรา 3 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (10) และ (11) ของมาตรา 9  แห่งพระราชบัญญัติ
การรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2494 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2535
        ?(10) จัดตั้งบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดเพื่อประกอบธุรกิจเกี่ยวกับกิจการการรถไฟและ
ธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการรถไฟ ทั้งนี้ บริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดดังกล่าวจะมีคนต่างด้าว
ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวถือหุ้นเกินกว่าร้อยละสี่สิบเก้าของทุนจดทะเบียน
ของบริษัทนั้นไม่ได้
        (11) เข้าร่วมกิจการกับบุคคลอื่น หรือถือหุ้นในบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด เพื่อ
ประโยชน์แก่กิจการรถไฟ?
        มาตรา 4 ให้ยกเลิกความในมาตรา  32 แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย
พ.ศ. 2494 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการถไฟแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2535
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน

        ?มาตรา 32 ผู้มีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ต้องห้ามมิให้เป็นผู้ว่าการ
        (1) ประกอบกิจการอันมีสภาพอย่างเดียวกันและเป็นการแข่งขันกับกิจการของการรถไฟ
แห่งประเทศไทย  หรือเข้าเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือเป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิด
ในห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือเป็นผู้ถือหุ้นหรือเป็นกรรมการของบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด
ที่ประกอบกิจการอันมีสภาพอย่างเดียวกันและเป็นการแข่งขันกับกิจการของการรถไฟแห่งประเทศไทย
ไม่ว่าจะทำเพื่อประโยชน์ตนหรือประโยชน์ผู้อื่น หรือมีส่วนได้เสียในสัญญากับการรถไฟแห่งประเทศไทย
หรือในกิจการที่กระทำให้แก่การรถไฟแห่งประเทศไทย ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม เว้นแต่เป็น
หุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนหรือเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทเช่นว่านั้นโดยสุจริต และได้แจ้งให้คณะกรรมการทราบ
ก่อนที่จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าการ
        (2) เป็นประธานกรรมการหรือกรรมการในกิจการร่วมลงทุนตามมาตรา 9 (5) หรือ
ในบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดตามมาตรา 9 (10) หรือ (11)
        (3) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับ
กรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ?
        มาตรา 5 ให้ยกเลิกความในมาตรา 39 แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย
พ.ศ. 2494 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2535
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
        ?มาตรา 39 การรถไฟแห่งประเทศไทยจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อน จึง
จะดำเนินกิจการดังต่อไปนี้ได้
        (1) สร้างทางรถไฟสายใหม่
        (2) เลิกสร้างทางรถไฟที่ได้เริ่มสร้างแล้วหรือเลิกกิจการในทางซึ่งเปิดเดินแล้ว

        (3) เพิ่มหรือลดทุน
        (4) กู้ยืมเงินหรือให้กู้ยืมเงินมีจำนวนเงินเกินคราวละห้าล้านบาท
        (5) ลงทุนหรือร่วมลงทุนซึ่งมีวงเงินเกินห้าสิบล้านบาท
        (6) ออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน
        (7) จำหน่ายอสังหาริมทรัพย์
        (8) จัดตั้งบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด
        (9) เข้าร่วมกิจการกับบุคคลอื่นหรือถือหุ้นในบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด?
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
        ชวน หลีกภัย
        นายกรัฐมนตรี
   (รจ. เล่ม 117 ตอนที่ 111 ก หน้า 4   29 พฤศจิกายน 2543)
หมายเหตุ:-  เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่สมควรแก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของ
การรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อให้สามารถจัดตั้งบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด เพื่อประกอบธุรกิจเกี่ยวกับ
กิจการรถไฟหรือธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการรถไฟ หรือเข้าร่วมกิจการกับบุคลอื่น หรือถือหุ้นในบริษัทจำกัด
หรือบริษัทมหาชนจำกัด เพื่อประโยชน์แก่กิจการรถไฟได้ เพื่อให้การรถไฟแห่งประเทศไทยสามารถประกอบกิจการได้
ตามความเหมาะสมในทางธุรกิจ และห้ามผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยประกอบกิจการแข่งขันกับกิจการของ
การรถไฟแห่งประเทศไทย หรือเข้าเป็นหุ้นส่วนที่ไม่จำกัดความรับผิดชอบในหุ้นส่วน หรือเป็นผู้ถือหุ้น หรือ
เป็นกรรมการในบริษัทที่ประกอบกิจการในลักษณะดังกล่าว และแก้ไขเพิ่มเติมเรื่องที่การรถไฟแห่งประเทศไทย ต้องได้รับ
ความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนที่จะดำเนินการให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน จึงจำเป็นต้องตราพระราช
บัญญัตินี้