พระราชบัญญัติ ว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างราชอาณาจักรไทย กับสาธารณรัฐเกาหลี พ.ศ. 2543 |
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2543 เป็นปีที่ 55 ในรัชกาลปัจจุบัน |
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรให้มีกฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างราชอาณาจักรไทย กับสาธารณรัฐเกาหลี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา ดังต่อไปนี้ มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า ?พระราชบัญญัติว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่าง ราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐเกาหลี พ.ศ. 2543? มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป มาตรา 3 การส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐเกาหลี ให้เป็น ไปตามสนธิสัญญาว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐเกาหลี ท้ายพระราชบัญญัตินี้ มาตรา 4 ให้นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง มหาดไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ เท่าที่เกี่ยวกับ อำนาจหน้าที่ของตน ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี
สนธิสัญญาว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ระหว่าง ราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐเกาหลี ราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐเกาหลี (ต่อไปนี้เรียกว่า ?ภาคีคู่สัญญา?) ปรารถนาที่จะเพิ่มความร่วมมือของประเทศทั้งสองให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ในการ ป้องกันและการปราบปรามอาชญากรรมโดยการจัดทำสนธิสัญญาว่าด้วยการส่งผู้กระทำผิดข้ามแดน ให้แก่กันและกันในลักษณะถ้อยทีถ้อยปฏิบัติ ได้ตกลงกันดังต่อไปนี้ ข้อ 1 ข้อผูกพันในการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ภาคีคู่สัญญาแต่ละฝ่ายตกลงจะส่งผู้ร้ายข้ามแดนให้อีกฝ่ายหนึ่ง ตามบทบัญญัติแห่ง สนธิสัญญานี้ ซึ่งบุคคลที่ถูกต้องการตัวเพื่อการฟ้องคดี การพิจารณาคดี หรือเพื่อการกำหนดโทษหรือ ดำเนินการลงโทษในดินแดนของภาคีที่ร้องขอสำหรับความผิดที่ส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ ข้อ 2 ความผิดที่ส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ 1. เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งสนธิสัญญานี้ ความผิดที่ส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ คือ ความผิด ซึ่งไม่ว่าจะระบุลักษณะความผิดไว้อย่างไรก็ตาม สามารถลงโทษได้ตามกฎหมายของภาคีคู่สัญญาทั้ง สองฝ่าย รวมทั้งกฎหมายที่เกี่ยวกับภาษีอากร ภาษีศุลกากร การควบคุมการปริวรรตเงินตราต่าง ประเทศหรือรายได้อื่น ๆ โดยการจำคุกหรือโดยการทำให้ปราศจากเสรีภาพเป็นระยะเวลาอย่างน้อย หนึ่งปี หรือโทษที่รุนแรงกว่า
2. ในกรณีคำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนเกี่ยวเนื่องกับบุคคลที่ต้องคำพิพากษาอันเป็น การทำให้ปราศจากเสรีภาพโดยศาลของภาคีที่ร้องขอสำหรับความผิดใดที่ส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้นั้น การ ส่งผู้ร้ายข้ามแดนจะได้รับการอนุมัติหากระยะเวลาต้องโทษตามคำพิพากษายังเหลืออยู่อีกไม่น้อยกว่า หก (6) เดือน 3. เพื่อวัตถุประสงค์ของข้อนี้ในการวินิจฉัยว่า ความผิดใดเป็นความผิดตามกฎหมาย ของภาคีคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายหรือไม่ นั้น (ก) ไม่จำเป็นต้องคำนึงว่ากฎหมายของภาคีคู่สัญญาได้กำหนดว่าการกระทำที่ ประกอบขึ้นเป็นความผิดนั้นไว้ในประเภทความผิดเดียวกัน หรือจะเรียกชื่อความผิดเป็นอย่างเดียวกันหรือไม่ (ข) ให้พิจารณาการกระทำทั้งหมดที่ถูกกล่าวหาของบุคคลซึ่งถูกขอให้ส่งตัว ข้ามแดนโดยไม่จำเป็นต้องคำนึงว่า ตามกฎหมายของภาคีคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย มีองค์ประกอบของความผิด แตกต่างกันหรือไม่ 4. ในกรณีที่ความผิดกระทำขึ้นนอกดินแดนของภาคีที่ร้องขอ จะให้มีการส่งผู้ร้าย ข้ามแดนก็ต่อเมื่อกฎหมายของภาคีที่ได้รับการร้องขอกำหนดการลงโทษไว้สำหรับความผิด ซึ่งกระทำ นอกดินแดนในพฤติการณ์ที่คล้ายคลึงกัน ในกรณีที่กฎหมายของภาคีที่ได้รับการร้องขอมิได้บัญญัติไว้ เช่นนั้นภาคีที่ได้รับการร้องขออาจใช้ดุลยพินิจให้มีการส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ 5. การส่งผู้ร้ายข้ามแดนอาจได้รับการอนุมัติตามบทบัญญัติแห่งสนธิสัญญานี้ในความ ผิดฐานใดฐานหนึ่งถ้าหากว่า (ก) เป็นความผิดในภาคีที่ร้องขอในเวลาที่การกระทำนั้นประกอบขึ้นเป็นความ ผิดและ (ข) การกระทำที่ถูกกล่าวหานั้น หากได้เกิดขึ้นในดินแดนของภาคีที่ได้รับการ ร้องขอในเวลาที่ทำคำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน จะประกอบขึ้นเป็นความผิดตามกฎหมายที่ใช้บังคับใน ดินแดนของภาคีที่ได้รับการร้องขอ
6. หากคำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนเกี่ยวเนื่องกับความผิดหลายความผิด ซึ่งแต่ละ ความผิดนั้นลงโทษได้ตามกฎหมายของภาคีทั้งสอง แต่มีบางความผิดไม่เป็นไปตามข้อกำหนดอื่น ๆ ของวรรค 1 และวรรค 2 ภาคีที่ได้รับการร้องขออาจอนุมัติให้มีการส่งผู้ร้ายข้ามแดนสำหรับความผิด เช่นว่านั้นได้ หากว่าบุคคลนั้นจะต้องถูกส่งตัวข้ามแดนในความผิดที่ส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้อย่างน้อยหนึ่ง ฐานความผิด ข้อ 3 การปฏิเสธไม่ส่งผู้ร้ายข้ามแดน การส่งผู้ร้ายข้ามแดนจะไม่ได้รับการอนุมัติภายใต้สนธิสัญญานี้ในสถานการณ์อย่างใด อย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ 1. เมื่อภาคีที่ได้รับการร้องขอตัดสินว่า ความผิดที่ร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนนั้นเป็น ความผิดทางการเมือง ความผิดทางการเมืองในที่นี้จะไม่รวมถึงความผิด ดังต่อไปนี้ (ก) การปลงชีวิตหรือการพยายามปลงชีวิตหรือการประทุษร้ายต่อร่างกาย ของประมุขแห่งรัฐ หรือหัวหน้ารัฐบาล หรือสมาชิกในครอบครัวของบุคคลดังกล่าว (ข) ความผิดซึ่งภาคีคู่สัญญามีพันธกรณีจะต้องดำเนินการให้มีเขตอำนาจศาล เกี่ยวกับความผิดนั้น หรือจะต้องให้มีการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ตามความตกลงพหุภาคีระหว่างประเทศ ซึ่ง ภาคีคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเป็นภาคีอยู่ด้วย และ (ค) ความผิดเกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การก่อการร้าย หรือการลักพาตัว 2. เมื่อบุคคลที่ถูกต้องการตัวกำลังถูกดำเนินคดี หรือได้มีการพิจารณาคดีและได้รับ การปล่อยตัวไป หรือได้ถูกลงโทษแล้วในดินแดนของภาคีที่ได้รับการร้องขอ ในความผิดซึ่งได้มีการร้อง ขอให้ส่งตัวบุคคลนั้นข้ามแดน
3. เมื่อการฟ้องคดี หรือการลงโทษ สำหรับความผิดที่ร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนต้อง ห้ามโดยเหตุที่บัญญัติไว้ตามกฎหมายของภาคีคู่สัญญาแต่ละฝ่าย รวมทั้งกฎหมายที่เกี่ยวกับอายุความ หรือ 4. เมื่อภาคีที่ได้รับการร้องขอมีเหตุผลหนักแน่นที่จะสันนิษฐานว่า คำร้องขอให้ส่งผู้ ร้ายข้ามแดนมุ่งประสงค์จะดำเนินคดี หรือลงโทษบุคคลที่ต้องการตัว โดยมีเหตุผลจากเชื้อชาติ ศาสนา สัญชาติ หรือความเห็นทางการเมือง หรือว่าอาจมีอคติต่อสถานภาพของบุคคลนั้นโดยเหตุผลดังกล่าว แล้ว บทบัญญัติของวรรคนี้ไม่ใช้บังคับกับความผิดที่ระบุไว้ในอนุวรรค (ก) (ข) และ (ค) ของวรรค 1 แห่งข้อนี้ ข้อ 4 การใช้ดุลยพินิจปฏิเสธการส่งผู้ร้ายข้ามแดน การส่งผู้ร้ายข้ามแดนอาจได้รับการปฏิเสธภายใต้สนธิสัญญานี้ ในสถานการณ์อย่าง หนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้ 1. เมื่อความผิดที่ร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนนั้น ตามกฎหมายของภาคีที่ได้รับการร้อง ขอถือว่าได้กระทำขึ้นทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วนในดินแดนของตน 2. เมื่อในที่สุด บุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัวได้รับการปล่อยตัว หรือถูกพิพากษาว่ากระทำผิด ในรัฐที่สามสำหรับความผิดเดียวกันกับความผิดที่ขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน และหากถูกพิพากษาว่า กระทำผิด ได้มีการลงโทษแล้วทั้งหมด หรือไม่อาจลงโทษได้อีก และ 3. ในกรณีพิเศษ ภาคีที่ได้รับการร้องขอแม้จะได้พิจารณาถึงความรุนแรงของความผิด และผลประโยชน์ของภาคีที่ร้องขอแล้ว ยังเห็นว่า เนื่องจากสภาวการณ์ส่วนบุคคลของบุคคลที่ถูกขอให้ ส่งผู้ร้ายข้ามแดนจะไม่สอดคล้องกับข้อพิจารณาด้านมนุษยธรรม
ข้อ 5 การเลื่อนการส่งมอบตัว หรือการส่งมอบตัวชั่วคราว 1. เมื่อบุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัวกำลังถูกดำเนินคดี หรือกำลังรับโทษตามคำพิพากษาอยู่ ในรัฐภาคีที่ได้รับการร้องขอในความผิดนอกเหนือจากความผิดซึ่งขอให้มีการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ภาคีที่ได้ รับการร้องขออาจส่งมอบตัวบุคคลดังกล่าว หรือเลื่อนการส่งมอบตัวออกไปจนกระทั่งการดำเนินคดีเสร็จ สิ้นลงหรือจนกระทั่งได้มีการรับโทษตามคำพิพากษาทั้งหมดหรือบางส่วนแล้ว ภาคีที่ได้รับการร้องขอ จะแจ้งให้ภาคีที่ร้องขอทราบการเลื่อนการส่งมอบตัวใด ๆ 2. ภายในขอบเขตที่อนุญาตโดยกฎหมายของภาคีที่ได้รับการร้องขอ หากเป็นกรณีที่ บุคคลอยู่ในข่ายที่จะถูกส่งตัวข้ามแดนได้ ภาคีที่ได้รับการร้องขออาจส่งมอบตัวบุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัว เป็นการชั่วคราวเพื่อวัตถุประสงค์ในการฟ้องคดีให้แก่ภาคีที่ร้องขอตามเงื่อนไขที่จะตกลงกันระหว่าง ภาคีคู่สัญญา ทั้งนี้ บุคคลที่ถูกส่งตัวกลับคืนไปยังภาคีที่ได้รับการร้องขอ ภายหลังจากได้มีการส่งมอบ ตัวชั่วคราวแล้ว อาจถูกส่งมอบตัวให้แก่ภาคีที่ร้องขอในที่สุดเพื่อรับโทษตามคำพิพากษาโดยสอดคล้อง กับบทบัญญัติของสนธิสัญญานี้ ข้อ 6 การส่งคนชาติข้ามแดน 1. ภาคีคู่สัญญาแต่ละฝ่ายไม่ถูกผูกพันที่จะส่งคนชาติของตนตามสนธิสัญญานี้ แต่ เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารของภาคีคู่สัญญาแต่ละฝ่ายมีอำนาจส่งตัวคนชาติของตนได้ หากตามดุลยพินิจเห็น ว่าเป็นการสมควรที่จะกระทำเช่นนั้น 2. หากภาคีคู่สัญญาปฏิเสธการส่งผู้ร้ายข้ามแดนตามวรรค 1 ของข้อนี้ หากพิจารณา เป็นการสมควร ภาคีฝ่ายนั้นอาจส่งเรื่องให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของตนเพื่อดำเนินการฟ้องร้องบุคคลนั้น ในความผิดทั้งมวลหรือความผิดฐานใดฐานหนึ่งซึ่งมีการขอให้ส่งตัวข้ามแดน ภาคีคู่สัญญานั้นจะแจ้งให้ ภาคีที่ร้องขอทราบการดำเนินการและผลการฟ้องคดีใด ๆ การวินิจฉัยเรื่องสัญชาติให้ถือในขณะที่ความ ผิดซึ่งขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนนั้นได้กระทำขึ้น
ข้อ 7 ช่องทางการติดต่อ คำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนและการติดต่อทางเอกสารใด ๆ ในภายหลัง ให้ส่งโดยวิถีทางการทูต ข้อ 8 กระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดนและเอกสารที่ต้องการ 1. คำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนต้องกระทำเป็นลายลักษณ์อักษร เอกสารทั้งหมดที่ยื่น ประกอบคำร้องขอจะต้องมีการรับรองความถูกต้องแท้จริงตามข้อ 10 2. คำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนจะต้องแนบ (ก) เอกสารซึ่งระบุรูปพรรณสัณฐาน และหากเป็นไปได้ ให้ระบุสัญชาติของ บุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัว (ข) บทบัญญัติของกฎหมายซึ่งระบุองค์ประกอบสำคัญ และที่กำหนดฐาน ความผิด (ค) บทบัญญัติของกฎหมายที่กำหนดโทษสำหรับความผิด และ (ง) บทบัญญัติของกฎหมายที่กำหนดอายุความในการฟ้องคดี หรือในการ ดำเนินการลงโทษสำหรับความผิดนั้น 3. เมื่อคำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนเกี่ยวกับบุคคลที่ยังไม่ถูกพิพากษาว่ากระทำ ความผิด คำร้องขอดังกล่าวจะต้องแนบ (ก) สำเนาหมายจับซึ่งออกโดยผู้พิพากษา หรือเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจอื่นของ ภาคีที่ร้องขอ (ข) ข้อสนเทศที่แสดงว่าบุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัวคือบุคคลที่หมายจับระบุไว้ และ
(ค) คำแถลงระบุการกระทำที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นความผิดซึ่งมีมูลที่น่าเชื่อถือ อันควรสงสัยว่าบุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัวได้กระทำความผิดที่ขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน 4. เมื่อคำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนเกี่ยวกับบุคคลที่ถูกพิพากษาว่าได้กระทำความผิด คำร้องขอจะต้องแนบ (ก) สำเนาคำพิพากษาที่เกี่ยวข้องของศาลของภาคีที่ร้องขอ (ข) ข้อสนเทศที่เสดงว่าบุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัวหรือบุคคลที่ถูกพิพากษาว่าได้ กระทำความผิด และ (ค) คำแถลงระบุการกระทำอันเป็นความผิดซึ่งบุคคลนั้นถูกพิพากษาว่าได้ กระทำความผิด 5. เอกสารทั้งหมดซึ่งภาคีที่ร้องขอจะยื่นตามบทบัญญัติแห่งสนธิสัญญานี้ จะต้องแนบ คำแปลเป็นภาษาของภาคีที่ได้รับการร้องขอหรือภาษาอื่นใดที่ภาคีนั้นยอมรับ ข้อ 9 ข้อสนเทศเพิ่มเติม 1. หากภาคีที่ได้รับคำร้องขอพิจารณาว่า ข้อสนเทศประกอบคำร้องขอให้ส่งผู้ร้าย ข้ามแดนยังไม่เพียงพอตามสนธิสัญญานี้ในอันที่จะพิจารณาอนุมัติการส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ ภาคีนั้น อาจขอให้จัดหาข้อสนเทศเพิ่มเติมให้ภายในระยะเวลาที่ภาคีนั้นกำหนด 2. หากบุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัวข้ามแดนถูกจับกุม และข้อสนเทศเพิ่มเติมที่จัดหาให้ยัง ไม่เพียงพอตามสนธิสัญญานี้ หรือไม่ได้รับภายในระยะเวลาที่กำหนด บุคคลนั้นอาจได้รับการปล่อยตัว จากการควบคุม การปล่อยตัวเช่นว่านั้น ไม่เป็นการตัดสิทธิภาคีที่ร้องขอในอันที่จะทำคำร้องขอใหม่ ให้ส่งตัวบุคคลนั้นข้ามแดน
3. ในกรณีที่ปล่อยตัวบุคคลจากการควบคุมตามวรรค 2 ภาคีที่ได้รับการร้องขอจะ แจ้งให้ภาคีที่ร้องขอทราบในทันทีเท่าที่จะสามารถกระทำได้ ข้อ 10 การรับรองความถูกต้องแท้จริงของเอกสารประกอบคำร้องขอ 1. เอกสารที่แนบไปกับคำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนตามข้อ 8 หากมีการรับรองความ ถูกต้องแท้จริงแล้ว ให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานในกระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ในดินแดนของภาคีที่ ได้รับการร้องขอ 2. เอกสารที่ถือว่าได้มีการรับรองความถูกต้องแท้จริงตามวัตถุประสงค์แห่งสนธิสัญญา นี้จะต้องได้รับการลงนามหรือประทับตราหรือรับรองโดยเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของภาคีที่ร้องขอ ข้อ 11 การจับกุมชั่วคราว 1. ในกรณีเร่งด่วน ภาคีคู่สัญญาแต่ละฝ่ายอาจร้องขอให้จับกุมบุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัว ไว้ชั่วคราวระหว่างรอการยื่นคำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนโดยวิถีทางการทูต คำร้องขอนั้นอาจส่งทาง ไปรษณีย์หรือโทรเลข หรือโดยวิธีการอื่นใดซึ่งมีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร 2. คำร้องขอจะต้องประกอบด้วย รูปพรรณของบุคคลที่ต้องการตัว คำแถลงระบุว่าจะ ร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนโดยวิถีทางการทูต คำแถลงระบุว่ามีเอกสารที่เกี่ยวข้องดังที่กล่าวไว้ในวรรค 3 หรือวรรค 4 ของข้อ 8 ซึ่งให้อำนาจจับกุมตัวบุคคลนั้น คำแถลงระบุโทษที่สามารถลงได้หรือโทษที่ได้ ลงไปแล้วสำหรับความผิดนั้น และหากได้รับการร้องขอจากภาคีที่ได้รับการร้องขอ จะต้องมีคำแถลง โดยย่อระบุการกระทำที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นความผิดด้วย 3. ภาคีที่ร้องขอจะได้รับแจ้งผลของการร้องขอโดยไม่ชักช้า
4. บุคคลที่ถูกจับกุมจะถูกปล่อยตัวเป็นอิสระ หากภาคีที่ร้องขอไม่สามารถยื่นคำร้อง ขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนพร้อมเอกสารแนบดังที่ระบุไว้ในข้อ 8 ภายในหกสิบ (60) วัน นับแต่วันทำการ จับกุมอย่างไรก็ตาม การปล่อยตัวจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการเริ่มกระบวนการเพื่อส่งบุคคลที่ถูกขอนั้นข้าม แดนถ้าได้รับคำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนอีกในภายหลัง ข้อ 12 การส่งผู้ร้ายข้ามแดนแบบย่อ เมื่อบุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัวแจ้งต่อศาลหรือเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจอื่น ๆ ของภาคีที่ได้รับ การร้องขอว่า ตนยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรให้ส่งตัวข้ามแดน ภาคีที่ได้รับการร้องขอจะดำเนิน มาตรการที่จำเป็นทั้งปวงที่จะเร่งรัดการส่งตัวข้ามเขตแดนภายในขอบเขตที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย ข้อ 13 คำร้องขอที่ขัดแย้งกัน 1. ในกรณีที่ได้รับคำร้องขอจากรัฐสองรัฐหรือมากกว่านั้น ให้ส่งตัวบุคคลเดียวกัน ข้ามแดนไม่ว่าในความผิดเดียวกันหรือความผิดที่ต่างกัน ภาคีที่ได้รับการร้องขอจะต้องวินิจฉัยว่า จะส่งตัวบุคคลนั้นให้แก่รัฐใดและจะต้องแจ้งคำวินิจฉัยต่อรัฐเหล่านั้น 2. ในการวินิจฉัยว่าจะส่งตัวบุคคลข้ามแดนให้แก่รัฐใด ภาคีที่ได้รับการร้องขอ จะต้องพิจารณาสถานการณ์ทั้งปวงที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะอย่างยิ่ง (ก) หากคำร้องขอเกี่ยวเนื่องกับความผิดที่ต่างกัน ควรพิจารณาเปรียบเทียบ ความร้ายแรงของความผิดเหล่านั้น (ข) เวลาและสถานที่ของการกระทำความผิดแต่ละความผิด (ค) ลำดับวันที่ของคำร้องขอ
(ง) สัญชาติของบุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัว และ (จ) ถิ่นที่อยู่เป็นปกติของบุคคลนั้น ข้อ 14 การส่งมอบตัว 1. ภาคีที่ได้รับการร้องขอจะแจ้งคำวินิจฉัยเกี่ยวกับคำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนใน ทันทีให้ภาคีที่ร้องขอทราบโดยวิถีทางการทูต การปฏิเสธคำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนทั้งหมดหรือแต่ เพียงบางส่วน จะต้องแสดงเหตุผล 2. ภาคีที่ได้รับการร้องขอจะตกลงกันในเรื่องเวลาและสถานที่ที่จะส่งมอบตัวบุคคล ที่ถูกขอให้ส่งตัวให้แก่เจ้าหน้าที่ที่เหมาะสมของภาคีที่ร้องขอในดินแดนของภาคีที่ได้รับการร้องขอ 3. ภาคีที่ร้องขอจะนำตัวบุคคลนั้นออกจากดินแดนของภาคีที่ได้รับการร้องขอ ภายในระยะเวลาอันสมควรตามที่ภาคีที่ได้รับการร้องขอกำหนด และหากบุคคลนั้นยังไม่ถูกนำตัวไป ภายในระยะเวลาดังกล่าว ภาคีที่ได้รับการร้องขออาจปล่อยตัวบุคคลนั้นเป็นอิสระและอาจปฏิเสธการ ส่งตัวข้ามแดนสำหรับความผิดเดียวกันนั้นได้ 4. หากมีสถานการณ์นอกเหนือการควบคุมทำให้ภาคีคู่สัญญาไม่อาจส่งมอบตัวหรือ นำตัวบุคคลที่จะถูกส่งข้ามแดนไปได้ ภาคีนั้นจะต้องแจ้งให้ภาคีอีกฝ่ายหนึ่งทราบ ภาคีคู่สัญญาทั้งสอง ฝ่ายจะวินิจฉัยร่วมกันเกี่ยวกับวันส่งมอบตัวหรือวันนำตัวไปครั้งใหม่ และให้นำบทบัญญัติวรรค 3 ของ ข้อนี้มาใช้บังคับ ข้อ 15 การส่งมอบทรัพย์สิน 1. ภายในขอบเขตที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายของภาคีที่ได้รับการร้องขอ และขึ้น อยู่กับสิทธิของบุคคลที่สามซึ่งจะต้องได้รับการเคารพ เมื่อได้รับคำร้องขอจากภาคีที่ร้องขอ ภาคีที่ได้รับ การร้องขอจะต้องส่งมอบทรัพย์สินทั้งปวงที่ได้พบในดินแดนของตน ซึ่งได้มาจากผลของการกระทำ ความผิด หรืออาจต้องใช้เป็นพยานหลักฐาน หากอนุมัติให้มีการส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้
2. ภายใต้บังคับวรรค 1 ของข้อนี้ ทรัพย์สินที่ระบุไว้ข้างต้นจะต้องส่งมอบให้ภาคีที่ ร้องขอหากได้รับการร้องขอ ถึงแม้ว่าการส่งผู้ร้ายข้ามแดนจะไม่สามารถดำเนินการได้เนื่องจากการตาย หรือการหลบหนีของบุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัว 3. ในกรณีที่กฎหมายของภาคีที่ได้รับการร้องขอกำหนดหรือเป็นสิทธิของบุคคลที่สาม ทรัพย์สินใด ๆ ที่ได้ส่งมอบไปแล้วนั้น จะต้องถูกส่งคืนให้ภาคีที่ได้รับการร้องขอโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เมื่อภาคีนั้นร้องขอ ข้อ 16 หลักเกณฑ์ว่าด้วยการพิจารณาความผิดเฉพาะเรื่อง 1. บุคคลที่ถูกส่งตัวข้ามแดนภายใต้สนธิสัญญานี้จะไม่ถูกควบคุม ถูกฟ้องคดี หรือถูก พิจารณาคดี สำหรับความผิดซึ่งได้กระทำก่อนการส่งตัวข้ามแดนนอกเหนือไปจากความผิดที่ได้รับ อนุมัติให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนและจะไม่ถูกส่งตัวข้ามแดนไปยังรัฐที่สามสำหรับความผิดอื่นใด ยกเว้นใน กรณีดังต่อไปนี้ (ก) เมื่อบุคคลนั้นได้ออกนอกดินแดนของภาคีที่ร้องขอ ภายหลังการส่งผู้ร้าย ข้ามแดน และได้เดินทางกลับเข้าไปใหม่โดยสมัครใจ (ข) เมื่อบุคคลนั้นมิได้เดินทางออกจากดินแดนของภาคีที่ร้องขอ ภายในระยะ เวลาสี่สิบห้า (45) วัน หลังจากที่สามารถจะกระทำเช่นนั้น หรือ (ค) เมื่อภาคีที่ได้รับการร้องขอให้ความยินยอมคำร้องสำหรับความยินยอม นี้จะต้องยื่นพร้อมแนบเอกสารที่ระบุไว้ในข้อ 8 และบันทึกถ้อยคำของบุคคลที่ถูกส่งตัวข้ามแดนในส่วน ที่เกี่ยวกับความผิดที่อ้างถึง การให้ความยินยอมอาจกระทำได้เมื่อความผิดที่ร้องขอเป็นความผิดที่ สามารถส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ตามบทบัญญัติของสนธิสัญญานี้
2. วรรค 1 ของข้อนี้จะไม่ใช้บังคับกับความผิดที่กระทำภายหลังการส่งตัวข้ามแดน 3. หากลักษณะความผิดที่ถูกกล่าวหาเปลี่ยนแปลงไปในระหว่างดำเนินกระบวนการ พิจารณา บุคคลที่ถูกส่งตัวข้ามแดนจะถูกดำเนินคดีหรือถูกพิพากษาได้เฉพาะเมื่อความผิดตามลักษณะ ความผิดใหม่แสดงองค์ประกอบที่เป็นความผิดซึ่งอาจอนุญาตให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ ข้อ 17 การผ่านแดน 1. ภายในขอบเขตที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย สิทธิในการส่งตัวบุคคลโดยรัฐที่สาม ผ่านดินแดนของคู่ภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพื่อจะส่งมอบให้คู่ภาคีอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รับอนุญาตเมื่อได้รับ คำร้องขอเป็นลายลักษณ์อักษรโดยวิถีทางการทูต 2. คำร้องอาจได้รับการปฏิเสธหากมีการคัดค้านการผ่านแดนด้วยเหตุผลในเรื่อง ความสงบเรียบร้อยของประชาชน 3. การอนุญาตให้ส่งตัวผ่านแดนบุคคลที่จะถูกส่งมอบตัว ให้รวมถึงการให้อำนาจ เจ้าหน้าที่ที่ติดตามให้สามารถควบคุมตัวบุคคลนั้น หรือร้องขอและได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ ของภาคีที่มีการผ่านแดนในการควบคุมตัวบุคคลดังกล่าวไว้ 4. ในกรณีที่มีการควบคุมตัวบุคคลตามวรรค 3 ของข้อนี้ ภาคีคู่สัญญาซึ่งมีบุคคลที่ถูก ควบคุมตัวอยู่ในดินแดนของตน อาจสั่งให้ปล่อยตัวบุคคลนั้น หากการส่งตัวไม่ได้ดำเนินต่อเนื่องไปภายใน ระยะเวลาที่สมควร 5. ในกรณีการส่งตัวโดยใช้การขนส่งทางอากาศและไม่มีกำหนดการลงจอดในดินแดน ของภาคีฝ่ายที่มีการผ่านแดนก็ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตในการส่งบุคคลผ่านแดน หากมีการลงจอดโดย ไม่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้าในดินแดนของภาคีดังกล่าว ภาคีฝ่ายนั้นอาจกำหนดให้ภาคีอีกฝ่ายหนึ่งยื่น คำร้องขอผ่านแดนตามที่กำหนดไว้ในวรรค 1 ของข้อนี้ ภาคีที่มีการผ่านแดนจะควบคุมตัวบุคคลที่ถูก ส่งตัวนั้นไว้จนกระทั่งมีการเดินทางต่อไป หากว่าได้รับคำร้องขอเช่นว่าภายในเก้าสิบหก (96) ชั่วโมง ของการลงจอดที่ไม่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้า
ข้อ 18 ค่าใช้จ่าย 1. ภาคีที่ได้รับการร้องขอจะดำเนินการที่จำเป็นทั้งปวงและรับผิดชอบค่าใช้จ่าย ในการดำเนินกระบวนการที่เกิดขึ้นจากการยื่นคำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนและจะเป็นตัวแทนรักษา ผลประโยชน์ของภาคีที่ร้องขอ 2. ภาคีที่ได้รับการร้องขอจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในดินแดนของตน ใน การจับกุมตัวบุคคลซึ่งถูกขอให้ส่งตัวข้ามแดนและในระหว่างการควบคุมตัว จนกระทั่งได้มีการส่งมอบ ตัวให้แก่บุคคลซึ่งภาคีที่ร้องขอได้แจ้งชื่อมาให้ทราบ 3. ภาคีที่ร้องขอจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการนำตัวบุคคลที่ถูกส่งตัว ข้ามแดนจากดินแดนของภาคีที่ได้รับการร้องขอ ข้อ 19 การมีผลบังคับใช้และการบอกเลิก 1. สนธิสัญญานี้จะมีผลบังคับใช้สามสิบ (30) วัน หลังจากวันที่ภาคีคู่สัญญาทั้งสอง ฝ่ายได้แจ้งให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบเป็นลายลักษณ์อักษรว่า ข้อกำหนดเพื่อให้สนธิสัญญานี้มีผลบังคับใช้ได้ รับการปฏิบัติอย่างครบถ้วนแล้ว 2. สนธิสัญญานี้ให้ใช้บังคับกับความผิดที่ระบุ ไว้ในข้อ 2 ซึ่งได้กระทำก่อนการมีผล บังคับใช้ของสนธิสัญญานี้ด้วย 3. ภาคีคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจบอกเลิกสนธิสัญญานี้ในเวลาใดก็ได้ โดยแจ้งเป็น ลายลักษณ์อักษรล่วงหน้าเป็นเวลาหก (6) เดือนแก่ภาคีคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อเป็นพยานแก่การนี้ ผู้ลงนามข้างท้ายนี้ ซึ่งได้รับมอบอำนาจจากรัฐบาลของแต่ละ ฝ่ายได้ลงนามสนธิสัญญานี้
ทำคู่กันเป็นสองฉบับที่ กรุงโซล เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2542 เป็นภาษาไทย เกาหลี และอังกฤษ ทุกภาษาถูกต้องเท่าเทียมกัน ในกรณีที่มีความแตกต่างกันในการตีความให้ใช้ภาษาอังกฤษ เป็นเกณฑ์ สำหรับราชอาณาจักรไทย สำหรับสาธารณรัฐเกาหลี (นายศุภชัย พานิชภักดิ์) (นายฮง ซุน ยอง) รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ว่าการกระทรวงพาณิชย์ การต่างประเทศและการค้า |
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐเกาหลี ได้ลงนามในสนธิสัญญาว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐเกาหลี เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2542 สมควรมีกฎหมายเพื่ออนุวัติการให้เป็นไปตามสนธิสัญญา ฯ ดังกล่าว จึงจำเป็นต้องตรา พระราชบัญญัตินี้ (รจ. เล่ม 117 ตอนที่ 99 ก หน้า 7 3 พฤศจิกายน 2543) |