พระราชบัญญัติ ว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างราชอาณาจักรไทย กับราชอาณาจักรกัมพูชา พ.ศ. 2543 |
ภูมิพลอดุลยเดช ให้ไว้ ณ วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2543 เป็นปีที่ 55 ในรัชกาลปัจจุบัน |
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรให้มีกฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างราชอาณาจักรไทย กับราชอาณาจักรกัมพูชา จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา ดังต่อไปนี้ มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า ?พระราชบัญญัติว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่าง ราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา พ.ศ. 2543 ? มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป มาตรา 3 การส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา ให้เป็นไป ตามสนธิสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนท้ายพระราช บัญญัตินี้ มาตรา 4 ให้นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่ากระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง มหาดไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ เท่าที่เกี่ยวกับ อำนาจหน้าที่ของตน ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี
สนธิสัญญา ระหว่าง ราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา (ต่อไปนี้เรียกว่า ?ภาคีคู่สัญญา) ปรารถนาที่จะส่งเสริมความร่วมมืออย่างมีประสิทธิภาพระหว่างประเทศทั้งสองในการ ปราบปรามอาชญากรรม โดยการทำสนธิสัญญาว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน บนพื้นฐานของการเคารพ อธิปไตยซึ่งกันและกัน ความเสมอภาคและผลประโยชน์ร่วมกัน ได้ตกลงกันดังต่อไปนี้ ข้อ 1 ความผิดที่ส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ 1. เพื่อความมุ่งประสงค์ของสนธิสัญญานี้ ความผิดที่ส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้คือ ความผิดซึ่ง ลงโทษได้ตามกฎหมายของภาคีคู่สัญญาโดยโทษจำคุกหรือการกักขังในรูปแบบอื่นเป็นระยะเวลามากกว่า หนึ่งปี หรือโดยโทษที่หนักกว่าใดใด 2. ในกรณีที่คำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนเกี่ยวข้องกับบุคคลที่ถูกพิพากษาให้ลงโทษ จำคุกหรือกักขังในรูปแบบอื่น โดยศาลของภาคีที่ร้องขอ สำหรับความผิดที่ส่งผู้ร้ายข้ามแดนใดใด การส่ง ผู้ร้ายข้ามแดนจะได้รับอนุมัติหากระยะเวลาของโทษที่จะต้องรับตามคำพิพากษายังเหลืออยู่อย่างน้อยหก เดือน 3. เพื่อความมุ่งประสงค์ของข้อนี้ ในการวินิจฉัยว่าความผิดใดเป็นความผิดตามกฎหมาย ของภาคีคู่สัญญา จะไม่คำนึงว่ากฎหมายของภาคีคู่สัญญาได้กำหนดให้การกระทำที่เป็นความผิดนั้นไว้ใน ความผิดประเภทเดียวกัน หรือได้เรียกชื่อความผิดเป็นอย่างเดียวกันหรือไม่
4. เมื่อการส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้รับการอนุมัติสำหรับความผิดที่ส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ความ ผิดหนึ่งแล้ว อาจมีการอนุมัติส่งผู้ร้ายข้ามแดนสำหรับความผิดอื่นซึ่งระบุไว้ในคำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้าม แดนที่เป็นไปตามเงื่อนไขอื่น ๆ สำหรับการส่งผู้ร้ายข้ามแดนโดยครบถ้วน แม้ว่าจะไม่เข้าเงื่อนไขที่เกี่ยว กับระยะเวลาของโทษหรือคำสั่งกักขังที่ระบุไว้ในวรรค 1 และ 2 ของข้อนี้ ข้อ 2 ข้อผูกพันในการส่งผู้ร้ายข้ามแดน โดยสอดคล้องกับบทบัญญัติของสนธิสัญญานี้ ภาคีคู่สัญญาตกลงที่จะส่งให้แก่กันและกัน ซึ่งบุคคลที่พบในดินแดนของภาคีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่ง ที่ถูกต้องการตัวเพื่อการฟ้อง การพิจารณาคดี หรือ เพื่อการกำหนดหรือดำเนินการลงโทษในดินแดนของภาคีคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งสำหรับการกระทำความผิด ที่ส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ ข้อ 3 เหตุสำหรับการปฏิเสธไม่ส่งผู้ร้ายข้ามแดน การส่งผู้ร้ายข้ามแดนจะไม่ได้รับการอนุมัติภายใต้สนธิสัญญานี้ในสภาพการณ์อย่างใด อย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ (1) ภาคีที่ได้รับการร้องขอพิจารณาเห็นว่าความผิดที่ขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนโดยภาคีที่ ร้องขอเป็นความผิดทางการเมือง ความผิดทางการเมืองในที่นี้จะไม่รวมถึงการปลงชีวิตหรือการพยายาม ปลงชีวิตหรือการประทุษร้ายต่อร่างกายของประมุขแห่งรัฐหรือหัวหน้ารัฐบาลหรือสมาชิกในครอบครัว ของบุคคลดังกล่าว (2) ภาคีที่ได้รับการร้องขอมีเหตุผลหนักแน่นในอันที่จะสันนิษฐานว่าคำร้องขอส่งผู้ร้าย ข้ามแดนของภาคีผู้ร้องขอมีความมุ่งประสงค์ในการที่จะดำเนินกระบวนการทางอาญา หรือดำเนินการลง โทษบุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัว โดยมีสาเหตุจากเชื้อชาติ ศาสนา สัญชาติ หรือความเห็นทางการเมืองของ บุคคลนั้น หรือว่าสถานะของบุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัวเพื่อดำเนินคดีทางศาลจะถูกทำให้เสื่อมเสียโดยสาเหตุใด ๆ ดังกล่าวข้างต้น
(3) ความผิดที่ขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนเป็นความผิดเฉพาะภายใต้กฎหมายทางทหาร ของภาคีที่ร้องขอ และไม่เป็นความผิดตามกฎหมายอาญาของภาคีคู่สัญญานั้น (4) การฟ้องคดีหรือการดำเนินการลงโทษสำหรับความผิดที่ขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน นั้นต้องห้ามโดยเหตุที่บัญญัติไว้ตามกฎหมายของภาคีคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง รวมทั้งกฎหมายที่เกี่ยวกับ อายุความ (5) ภาคีที่ได้รับการร้องขอได้มีคำพิพากษาต่อบุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัวสำหรับความผิด เดียวกันก่อนมีคำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน (6) คำพิพากษาของภาคีที่ร้องขอได้ทำลับหลังจำเลยโดยไม่ได้แจ้งให้ผู้ถูกพิพากษาลง โทษทราบอย่างเพียงพอถึงการดำเนินคดีและโดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้ถูกพิพากษาลงโทษจัดให้มีการต่อสู้คดี และให้มีการพิจารณาคดีใหม่ต่อหน้าบุคคลนั้น ข้อ 4 เหตุสำหรับการใช้ดุลยพินิจปฏิเสธการส่งผู้ร้ายข้ามแดน การส่งผู้ร้ายข้ามแดนอาจถูกปฏิเสธภายใต้สนธิสัญญานี้ในสภาพการณ์อย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้ (1) ภาคีที่ได้รับการร้องขอมีเขตอำนาจตามกฎหมายเหนือความผิดที่มีการขอให้ส่งผู้ ร้ายข้ามแดนและจะดำเนินคดีกับบุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัว (2) ในกรณีพิเศษ แม้ว่าภาคีที่ได้รับการร้องขอจะได้คำนึงถึงความรุนแรงของความผิด และผลประโยชน์ของภาคีที่ร้องขอแล้ว ยังเห็นว่า เนื่องจากสภาพการณ์ส่วนบุคคลของบุคคลที่ถูกขอให้ส่ง ตัว การส่งผู้ร้ายข้ามแดนอาจไม่สอดคล้องกับข้อพิจารณาด้านมนุษยธรรม (3) ภาคีที่ได้รับการร้องขอกำลังดำเนินคดีกับบุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัวสำหรับความผิด เดียวกัน
(4) บุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัวได้ถูกพิพากษาลงโทษหรือจะถูกดำเนินคดีหรือพิพากษาลงโทษใน รัฐที่ร้องขอโดยศาลหรือคณะตุลาการพิเศษหรือเฉพาะกิจ ข้อบทนี้ไม่ห้ามการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งเกิดจาก เขตอำนาจทางอาญาตามปกติของศาลทหารถาวร ข้อ 5 การส่งคนชาติข้ามแดน 1. ภาคีคู่สัญญาแต่ละฝ่ายมีสิทธิที่จะปฏิเสธไม่ส่งคนชาติของตนข้ามแดน 2. หากการส่งผู้ร้ายข้ามแดนไม่ได้รับการอนุมัติตามวรรค 1 ของข้อนี้ ภาคีที่ได้รับการ ร้องขอจะต้องเสนอคดีนั้นให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของตนเพื่อฟ้องคดีต่อไปตามคำร้องขอของภาคีที่ร้องขอ เพื่อความมุ่งประสงค์นี้ ภาคีที่ร้องขอจะต้องส่งเอกสารและพยานหลักฐานเกี่ยวกับคดีให้แก่ภาคีที่ได้รับการ ร้องขอ 3. โดยไม่คำนึงถึงวรรค 2 ของข้อนี้ ภาคีที่ได้รับการร้องขอไม่ต้องเสนอคดีนั้นต่อเจ้า หน้าที่ผู้มีอำนาจของตนเพื่อฟ้องคดี หากภาคีที่ได้รับการร้องขอไม่มีเขตอำนาจเหนือความผิดนั้น ข้อ 6 ช่องทางการติดต่อ เพื่อความมุ่งประสงค์ของสนธิสัญญานี้ ภาคีคู่สัญญาจะติดต่อกันผ่านช่องทางการทูต เว้น แต่จะมีการระบุไว้เป็นอย่างอื่นในสนธิสัญญานี้ ข้อ 7 คำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนและเอกสารที่ต้องการ 1. คำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษร และจะต้องแนบเอกสาร ต่อไปนี้
(ก) เอกสาร คำแถลง หรือพยานหลักฐานอื่น ๆ ซึ่งเพียงพอที่จะระบุรูปพรรณ สัณฐาน และที่อยู่ที่อาจเป็นเป็นไปได้ของบุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัว (ข) คำแถลงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดี (ค) บทบัญญัติของกฎหมายที่ระบุองค์ประกอบสำคัญและที่กำหนดฐานความผิด ที่ขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน (ง) บทบัญญัติของกฎหมายที่กำหนดโทษสำหรับความผิด และ (จ) บทบัญญัติของกฎหมายที่กำหนดอายุความในการฟ้องคดี หรือในการดำเนินการ ลงโทษสำหรับความผิด หากมี 2. คำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนเกี่ยวกับบุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัวเพื่อการฟ้องคดีจะต้องแนบ (ก) สำเนาหมายจับที่ออกโดยผู้พิพากษา หรือเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของภาคีที่ร้องขอ (ข ) พยานหลักฐานซึ่งแสดงให้เห็นว่า การจับและให้มีการดำเนินคดีบุคคลดังกล่าว เป็นไปโดยชอบ รวมถึงพยานหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่าบุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัวเป็น บุคคลเดียวกันกับที่ระบุไว้ในหมายจับ 3. เมื่อคำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนเกี่ยวข้องกับบุคคลที่ถูกพิพากษาว่ากระทำผิดแล้ว จะต้องแนบเอกสารเพิ่มเติมจากเอกสารที่ระบุไว้ในวรรค 1 ของข้อนี้ (ก) สำเนาคำพิพากษาของศาลของภาคีที่ร้องขอ (ข) พยานหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าบุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัวเป็นบุคคลเดียวกัน กับที่อ้างถึงในคำพิพากษาว่ากระทำผิด และ (ค) คำแถลงที่แสดงว่าได้มีการรับโทษตามคำพิพากษาไปแล้วเพียงใด (ช) คำแถลงเกี่ยวกับหนทางทางกฎหมายที่มีให้แก่บุคคลในอันที่จะเตรียมการ ต่อสู้คดีหรือการให้มีการพิจารณาคดีใหม่ต่อหน้าบุคคลนั้น
4. หากบุคคลถูกพิพากษาว่ากระทำความผิด แต่ยังมิได้มีการกำหนดโทษ นอกจากราย การซึ่งกำหนดไว้ตามวรรค 1 และวรรค 3 ของข้อนี้ คำขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนจะต้องประกอบด้วย คำ แถลงเกี่ยวกับความผิดซึ่งมีการขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนและคำบรรยายเกี่ยวกับการกระทำหรือการ ละเว้น การกระทำที่ก่อให้เกิดความผิดและคำแถลงยืนยันว่ามีเจตนาที่จะกำหนดโทษ 5. เอกสารทั้งหมดที่นำส่งโดยภาคีที่ร้องขอตามบทบัญญัติสนธิสัญญานี้ จะต้องมี การลงลายมือชื่อหรือตราประทับอย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งแนบคำแปลภาษาอังกฤษที่ได้รับการรับรองด้วย ข้อ 8 ข้อสนเทศเพิ่มเติม หากภาคีที่ได้รับการร้องขอพิจารณาเห็นว่า ข้อสนเทศที่เสนอมาเพื่อสนับสนุนคำร้องขอ ให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนไม่เพียงพอตามสนธิสัญญานี้ในอันที่จะพิจารณาอนุมัติการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ภาคีฝ่าย นั้นอาจขอให้จัดหาข้อสนเทศเพิ่มเติมให้ภายในระยะเวลาที่กำหนด หากภาคีที่ร้องขอไม่สามารถส่งมอบ ข้อสนเทศเพิ่มเติมภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้ถือว่าภาคีนั้นถอนคำร้องขอของตนโดยสมัครใจ อย่างไรก็ ตาม ภาคีที่ร้องขอจะไม่ถูกตัดสิทธิในการที่จะทำคำร้องขอใหม่เพื่อวัตถุประสงค์เดิม ข้อ 9 การจับกุมชั่วคราว 1. ในกรณีเร่งด่วน ภาคีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งอาจร้องขอภาคีคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งให้จับกุม บุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัวไว้ชั่วคราวได้ คำขอให้จับกุมตัวชั่วคราวอาจทำเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านช่องทาง การทูต หรือผ่านองค์การตำรวจสากล (อินเทอร์โพล) 2. คำร้องขอจะประกอบด้วย รูปพรรณของบุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัว ที่อยู่ของบุคคลนั้น หากรู้ คำแถลงย่อเกี่ยวกับข้อเท็จจริงในคดี คำแถลงว่าได้มีหมายจับหรือได้มีคำพิพากษาว่ากระทำผิด สำหรับบุคคลนั้นตามที่ระบุไว้ในข้อ 7 และคำแถลงว่าจะได้ส่งคำร้องขอให้ส่งบุคคลดังกล่าวเป็นผู้ร้ายข้าม แดนตามมา
3. ภาคีที่ร้องขอจะได้รับแจ้งผลการขอโดยไม่ชักช้า 4. การจับกุมชั่วคราวจะสิ้นสุดลง หากภายในระยะเวลาหกสิบวันหลังการจับกุมบุคคลที่ ถูกขอให้ส่งตัว เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของภาคีที่ได้รับการร้องขอยังมิได้รับคำร้องขออย่างเป็นทางการให้ส่งผู้ ร้ายข้ามแดนและเอกสารสนับสนุนที่กำหนดไว้ในข้อ 7 5. การสิ้นสุดการจับกุมชั่วคราวตามวรรค 4 ของข้อนี้ จะไม่เป็นที่เสื่อมเสียต่อการส่ง บุคคลดังกล่าวข้ามแดน หากมีการส่งคำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนและเอกสารสนับสนุนที่ระบุไว้ในข้อ 7 ตามมาในภายหลัง ข้อ 10 วิธีการส่งผู้ร้ายข้ามแดนแบบย่อ หากบุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัวยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างถอนไม่ได้ให้ส่งตนเป็นผู้ร้าย ข้ามแดน หลังจากที่เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจได้แจ้งให้ทราบเป็นการเฉพาะตัวถึงสิทธิของตนที่จะได้รับการ พิจารณาตามกระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดนอย่างเป็นทางการ และความคุ้มครองที่จะได้รับจากกระบวน การดังกล่าว ภาคีที่ได้รับคำร้องขออาจอนุมัติให้มีการส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการ ส่งผู้ร้ายข้ามแดนอย่างเป็นทางการ และให้นำบทบัญญัติข้อ 12 มาใช้บังคับ ข้อ 11 คำวินิจฉัยเกี่ยวกับคำร้องขอ 1. ภาคีที่ได้รับการร้องขอจะดำเนินการเกี่ยวกับคำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนตามวิธีการ ที่กำหนดไว้โดยกฎหมายของตน และจะแจ้งให้ภาคีผู้ร้องขอทราบถึงคำวินิจฉัยของตนโดยพลัน 2. การปฏิเสธคำร้องขอบางส่วนหรือทั้งหมดจะต้องให้เหตุผล ข้อ 12 การส่งมอบตัวบุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัว
1. ภาคีที่ได้รับการร้องขอจะแจ้งโดยไม่ชักช้าผ่านช่องทางการทูตให้ภาคีที่ร้องขอทราบถึง การวินิจฉัยของตนเกี่ยวกับคำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนและจะแจ้งให้ภาคีที่ร้องขอทราบถึงระยะเวลาซึ่ง บุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัวถูกขังก่อนการส่งมอบตัว 2. หากอนุมัติให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน ภาคีที่ได้รับการร้องขอและภาคีที่ร้องขอจะวินิจฉัยโดย การปรึกษาหารือถึงเรื่องการดำเนินการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน 3. ให้ถือว่าภาคีที่ร้องขอได้ถอนคำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน หากภาคีที่ร้องขอไม่รับตัว บุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัวภายในสิบห้าวันหลังจากวันที่ได้ตกลงกันเรื่องการดำเนินการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน เว้นแต่จะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นตามวรรค 4 ของข้อนี้ ภาคีที่ได้รับการร้องขอจะปล่อยตัวบุคคลนั้น เป็นอิสระทันทีและอาจปฏิเสธการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนสำหรับความผิดเดียวกันได้ 4. หากภาคีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งไม่ส่งมอบหรือไม่รับตัวบุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัวภายในเวลาที่ ตกลงกันด้วยเหตุที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของภาคีคู่สัญญาฝ่ายนั้น ให้แจ้งภาคีคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง ทราบ ภาคีคู่สัญญาทั้งสองจะวินิจฉัยโดยการปรึกษาหารือถึงเรื่องการดำเนินการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนอีก ครั้งหนึ่ง และให้นำข้อบทของวรรค 3 ของข้อนี้มาใช้บังคับ ข้อ 13 การเลื่อนการส่งมอบตัวและการส่งมอบตัวชั่วคราว 1. เมื่อบุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัวกำลังถูกดำเนินคดีหรือกำลังรับโทษในดินแดนของภาคีที่ ได้รับการร้องขอในความผิดนอกเหนือไปจากความผิดซึ่งขอให้มีการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ภาคีที่ได้รับการ ร้องขออาจส่งมอบตัวบุคคลดังกล่าว หรือเลื่อนการส่งมอบตัวออกไปจนกระทั่งการดำเนินคดีเสร็จสิ้นลง หรือจนกระทั่งได้มีการรับโทษตามคำพิพากษาทั้งหมดหรือบางส่วนแล้ว ภาคีที่ได้รับการร้องขอจะแจ้ง ภาคีที่ร้องขอเกี่ยวกับการเลื่อนใด ๆ
2. ภายในขอบเขตที่กฎหมายของภาคีที่ได้รับการร้องขออนุญาต หากเป็นกรณีของ บุคคลที่อยู่ในข่ายจะถูกส่งข้ามแดนได้ ภาคีที่ได้รับการร้องขออาจส่งมอบตัวบุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัวให้แก่ ภาคีที่ร้องขอเป็นการชั่วคราวเพื่อวัตถุประสงค์ในการฟ้องคดีตามเงื่อนไขที่ภาคีคู่สัญญาทั้งสองจะได้ กำหนด ทั้งนี้ บุคคลที่ถูกส่งตัวกลับมายังภาคีที่ได้รับการร้องขอหลังจากการมอบตัวชั่วคราว อาจถูกส่ง มอบตัวให้แก่ภาคีที่ร้องขอในที่สุดเพื่อรับโทษตามคำพิพากษา โดยสอดคล้องกับบทบัญญัติของสนธิ สัญญานี้ ข้อ 14 คำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนจากหลายรัฐ หากภาคีที่ได้รับคำร้องขอได้รับคำร้องขอจากภาคีคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งและจากรัฐที่สาม อีกรัฐหนึ่งหรือมากกว่า เพื่อขอให้ส่งตัวบุคคลเดียวกันข้ามแดนไม่ว่าจะในความผิดเดียวกันหรือความผิด แตกต่างกัน ภาคีที่ได้รับคำร้องขอจะตัดสินว่า จะส่งบุคคลผู้นั้นข้ามแดนให้แก่รัฐใด ในการวินิจฉัยภาคี นั้นจะพิจารณาปัจจัยที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะปัจจัยต่อไปนี้ ก) รัฐซึ่งความผิดได้กระทำขึ้น ข) ในกรณีที่เป็นความผิดแตกต่างกัน รัฐที่ขอให้ส่งบุคคลในความผิดที่มีโทษหนักที่สุด ตามกฎหมายของภาคีที่ได้รับการร้องขอ ค) ในกรณีเป็นความผิดแตกต่างกันซึ่งภาคีที่ได้รับการร้องขอเห็นว่ามีความร้ายแรง เท่ากัน ลำดับคำร้องขอที่ได้รับจากรัฐที่ร้องขอ ง) สัญชาติของผู้กระทำผิดและ จ) ความเป็นไปได้ในการส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อระหว่างรัฐที่ร้องขอเหล่านั้น ข้อ 15 หลักเกณฑ์ว่าด้วยการพิจารณาความผิดเฉพาะเรื่อง
1. บุคคลที่ถูกส่งตัวข้ามแดนภายใต้สนธิสัญญานี้ จะไม่ถูกควบคุมตัว พิจารณาคดีหรือ ลงโทษในดินแดนของภาคีที่ร้องขอสำหรับความผิดอื่นนอกเหนือจากความผิดที่อนุมัติให้ส่งผู้ร้ายข้าม แดน และจะไม่ถูกส่งตัวข้ามแดน โดยภาคีนั้นไปยังรัฐที่สาม นอกจาก ก) บุคคลนั้นได้ออกจากดินแดนของภาคีที่ร้องขอภายหลังการส่งผู้ร้ายข้ามแดน และได้ กลับเข้าไปใหม่โดยสมัครใจ ข) บุคคลนั้นมิได้ออกไปจากดินแดนของภาคีที่ร้องขอภายในสามสิบวันภายหลังจากที่มี อิสระที่จะกระทำเช่นนั้น หรือ ค) ภาคีที่ได้รับการร้องขอได้ให้ความยินยอมแก่การคุมขัง การพิจารณาคดีหรือการลง โทษบุคคลนั้นสำหรับความผิดอื่นนอกจากความผิดที่อนุมัติให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน หรือกับการส่งผู้ร้ายข้าม แดนให้แก่รัฐที่สาม เพื่อความมุ่งประสงค์นี้ ภาคีที่ได้รับการร้องขออาจขอให้มีการส่งเอกสารหรือคำแถลง ซึ่งระบุไว้ในข้อ 7 รวมถึงคำให้การใด ๆ ของบุคคลที่ถูกส่งตัวข้ามแดนในส่วนที่เกี่ยวกับความผิดนั้น 2. บทบัญญัติเหล่านี้จะไม่ใช้บังคับกับความผิดที่กระทำขึ้นภายหลังการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ข้อ 16 การส่งมอบทรัพย์สิน 1. เท่าที่กฎหมายของภาคีที่ได้รับคำร้องขออนุญาตไว้ และเมื่อได้รับการร้องขอจากภาคี ที่ร้องขอ ภาคีที่ได้รับการร้องขอจะยึดและจะส่งมอบพร้อมกับการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งทรัพย์สิน ก) ที่อาจต้องใช้เป็นพยานหลักฐาน หรือ ข) ที่ได้มาโดยผลของการกระทำความผิด และพบอยู่ในความครอบครองของบุคคลที่ ถูกขอให้ส่งตัวในขณะที่ถูกจับกุมหรือค้นพบในภายหลัง 2. ทรัพย์สินที่ระบุไว้ในวรรค 1 ของข้อนี้จะส่งมอบให้ ถึงแม้ว่าการส่งผู้ร้ายข้ามแดนซึ่งได้ อนุมัติแล้วไม่สามารถที่จะดำเนินการได้ เนื่องจากบุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัวตาย หายสาปสูญ หรือหลบหนีไป
3. เมื่อทรัพย์สินดังกล่าวจะต้องถูกยึดหรือถูกริบในดินแดนของภาคีที่ได้รับการร้องขอ ภาคีที่ได้รับการร้องขออาจยึดทรัพย์สินนั้นไว้เป็นการชั่วคราว หรือส่งมอบให้โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องส่ง ทรัพย์สินนั้นคืน ทั้งนี้ เพื่อใช้ในคดีอาญาที่กำลังดำเนินอยู่ 4. สิทธิใด ๆ ในทรัพย์สินดังกล่าวซึ่งภาคีที่ได้รับการร้องขอหรือรัฐหรือบุคคลอื่นใดอาจ ได้มานั้น จะได้รับความคุ้มครอง ในกรณีที่สิทธิดังกล่าวนี้มีอยู่ ให้คืนทรัพย์สินนั้นโดยไม่คิดค่าภาระใด ๆ ให้แก่ภาคีที่ได้รับการร้องขอเมื่อภาคีนั้นขอ โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ภายหลังการพิจารณาคดี ข้อ 17 การผ่านแดน 1. เมื่อบุคคลจะถูกส่งข้ามแดนจากรัฐที่สามไปยังภาคีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งผ่านดินแดนของ ภาคีคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง ภาคีคู่สัญญาฝ่ายแรกจะร้องขอต่อภาคีคู่สัญญาฝ่ายหลังเพื่อให้อนุญาตให้ผ่าน แดน ในกรณีที่ใช้ในการขนส่งทางอากาศและมิได้กำหนดการที่จะลงจอดในดินแดนของคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องได้รับการอนุญาตเช่นว่านั้น 2. ภาคีที่ได้รับการร้องขอจะอนุญาตให้ผ่านแดนตามคำร้องขอที่กระทำโดยภาคีคู่สัญญาอีก ฝ่ายหนึ่ง หากคำร้องขอนั้นไม่ต้องห้ามตามกฎหมายของตน ข้อ 18 การแจ้งผลการดำเนินการ ภาคีที่ร้องขอจะแจ้งให้ภาคีที่ได้รับการร้องขอทราบในเวลาอันสมควรถึงข้อสนเทศเกี่ยวกับ การฟ้อง การพิจารณาคดี และการดำเนินการลงโทษบุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัวหรือการส่งบุคคลนั้นข้ามแดน ต่อไปยังรัฐที่สาม ข้อ 19 การช่วยเหลือและค่าใช้จ่าย
1. ภาคีที่ได้รับการร้องขอจะปรากฏตัวในนามภาคีที่ร้องขอและจะดำเนินกระบวนวิธี ใด ๆ ที่เกิดจากคำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน 2. ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในดินแดนของภาคีที่ได้รับการร้องขอจากการดำเนินการส่งผู้ร้าย ข้ามแดนจนถึงเวลาส่งมอบตัวบุคคลซึ่งจะถูกส่งผู้ร้ายข้ามแดนให้เป็นภาระของภาคีนั้น ข้อ 20 ความสัมพันธ์กับอนุสัญญาพหุภาคี สนธิสัญญานี้จะไม่กระทบกระเทือนสิทธิและพันธกรณีที่ภาคีคู่สัญญามีอยู่ตามอนุสัญญา พหุภาคีใด ๆ ข้อ 21 การระงับข้อพิพาท ข้อพิพาทใดที่เกิดขึ้นจากการใช้หรือการตีความสนธิสัญญานี้ให้ระงับโดยการปรึกษา หารือหรือการเจรจา ข้อ 22 ขอบเขตของการใช้บังคับ สนธิสัญญานี้จะใช้บังคับเฉพาะกับความผิดที่ได้กระทำหลังจากที่สนธิสัญญามีผลใช้ บังคับเท่านั้น ข้อ 23 การแก้ไข สนธิสัญญานี้อาจได้รับการแก้ไขเมื่อได้รับการร้องขอจากภาคีคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง การแก้ไขใดซึ่งภาคีคู่สัญญาได้ตกลงกันแล้วจะมีผลใช้บังคับในวันที่จะตกลงร่วมกันและให้ถือว่าเป็นส่วน หนึ่งของสนธิสัญญานี้
ข้อ 24 การสัตยาบัน การมีผลใช้บังคับ และระยะเวลา 1. สนธิสัญญานี้จะต้องได้รับการสัตยาบัน สัตยาบันสารจะแลกเปลี่ยนกันที่กรุงพนมเปญ สนธิสัญญานี้จะมีผลใช้บังคับสามสิบวันหลังจากการแลกเปลี่ยนสัตยาบันสาร 2. ภาคีคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจบอกเลิกสนธิสัญญานี้เมื่อใดก็ได้ โดยแจ้งเป็นลาย ลักษณ์อักษรให้ภาคีอีกฝ่ายหนึ่งทราบโดยผ่านช่องทางการทูต สนธิสัญญานี้จะยังคงมีผลใช้บังคับต่อไปอีก หกเดือนหลังจากวันที่ภาคีคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งได้รับการแจ้งดังกล่าว การเลิกใช้สนธิสัญญานี้จะไม่เป็นที่ เสื่อมเสียต่อกระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดนใด ๆ ซึ่งได้เริ่มขึ้นก่อนที่จะมีการเลิกใช้ เพื่อเป็นพยานแก่การนี้ ผู้ลงนามข้างท้ายซึ่งได้รับมอบอำนาจโดยถูกต้องจากรัฐของตน ได้ลงนามสนธิสัญญานี้ ทำคู่กันเป็นสองฉบับ ณ กรุงเทพ เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม คริสตศักราช 1998 เป็นภาษาไทย กัมพูชาและอังกฤษ แต่ละภาษาถูกต้องเท่าเทียมกัน ในกรณีที่มีความแตกต่างกันในการตีความ ให้ใช้ ภาษาอังกฤษเป็นสำคัญ สำหรับราชอาณาจักรไทย สำหรับราชอาณาจักรกัมพูชา ( สาโรจน์ ชวนะวิรัช ) ( อุจ คิมอาน ) ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการ ต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศ |
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา ได้ลงนามในสนธิสัญญาระหหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการส่งผผู้ร้ายข้ามแดน เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2541 สมควรมีกฎหมายเพื่ออนุวัติการให้เป็นไปตามสนธิสัญญา ฯ ดังกล่าว จึงจำเป็นต้องตรา พระราชบัญญัตินี้ (รจ. เล่ม 117 ตอนที่ 99 ก หน้า 1 3 พฤศจิกายน 2543) |