พระราชบัญญัติ
สงเคราะห์ผู้ประสบภัยเนื่องจากการช่วยเหลือราชการ
การปฏิบัติงานของชาติ  หรือการปฏิบัติหน้าที่มนุษยธรรม
พ.ศ. 2543
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2543
เป็นปีที่ 55 ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช  มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้
ประกาศว่า
        โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการสงเคราะห์ผู้ประสบภัยเนื่องจากการช่วยเหลือ
ราชการ  การปฏิบัติงานของชาติ  หรือการปฏิบัติตามหน้าที่มนุษยธรรม
        จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา
ดังต่อไปนี้

        มาตรา 1  พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า  "พระราชบัญญัติสงเคราะห์ผู้ประสบภัยเนื่องจากการช่วยเหลือ
  ราชการ  การปฏิบัติงานของชาติ  หรือการปฏิบัติตามหน้าที่มนุษยธรรม  พ.ศ. 2543"

        มาตรา 2  พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป

        มาตรา 3  ให้ยกเลิก
(1)     พระราชบัญญัติสงเคราะห์ผู้ประสบภัยเนื่องจากการช่วยเหลือราชการ  การปฏิบัติงาน
ของชาติ  หรือการปฏิบัติตามหน้าที่มนุษยธรรม  พ.ศ. 2497
(2)  พระราชบัญญัติสงเคราะห์ผู้ประสบภัยเนื่องจากการช่วยเหลือราชการ  การปฏิบัติงาน
ของชาติ  หรือการปฏิบัติตามหน้าที่มนุษยธรรม  (ฉบับที่ 2)  พ.ศ. 2502
        (3)  ประกาศของคณะปฏิวัติ  ฉบับที่ 15  ลงวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2514
(4)  พระราชบัญญัติสงเคราะห์ผู้ประสบภัยเนื่องจากการช่วยเหลือราชการ  การปฏิบัติงาน
ของชาติ  หรือการปฏิบัติตามหน้าที่มนุษยธรรม  (ฉบับที่ 3)  พ.ศ. 2516

     มาตรา 4  ในพระราชบัญญัตินี้
     "เงินสงเคราะห์"  หมายความว่า  เงินชดเชยและเงินดำรงชีพ
        "เงินชดเชย"  หมายความว่า  เงินสงเคราะห์ที่จ่ายเป็นเงินก้อนให้แก่ผู้ประสบภัยหรือทายาท
        "เงินดำรงชีพ"  หมายความว่า  เงินสงเคราะห์ที่จ่ายเป็นรายเดือนให้แก่ผู้ประสบภัย
        "ทายาท"  หมายความว่า
(1)     บุตร  และให้หมายความรวมถึงบุตรซึ่งได้มีคำพิพากษาของศาลว่าเป็นบุตรชอบด้วย
กฎหมายของผู้ตายซึ่งได้มีการฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรก่อนหรือภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่บิดาตาย
หรือนับแต่วันที่ได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของบิดา
(2)     สามีหรือภรรยา  และ
(3)     บิดามารดา  หรือบิดาหรือมารดา
"คณะกรรมการ"  หมายความว่า  คณะกรรมการสงเคราะห์ผู้ประสบภัย
"กรรมการ"  หมายความว่า  กรรมการสงเคราะห์ผู้ประสบภัย

     มาตรา 5  ผู้ใดถูกประทุษร้ายหรือได้รับอันตรายถึงสูญเสียอวัยวะหรือสมรรถภาพในการทำงาน
ของอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งไป  หรือทุพพลภาพหรือป่วยเจ็บจนไม่สามารถใช้กำลังกายหรือความคิด
ประกอบอาชีพได้ตามปกติเพราะเหตุผู้นั้นได้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
(1)     ช่วยเหลือราชการ
(2)     ปฏิบัติงานของชาติตามที่ได้รับมอบหมายจากทางราชการ
(3)     ปฏิบัติการตามหน้าที่หรือช่วยเหลือบุคคลอื่นตามหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด  หรือ
(4)     ปฏิบัติการตามหน้าที่มนุษยธรรมซึ่งพลเมืองดีพึงปฏิบัติในเมื่อการปฏิบัติการนั้นไม่ขัดกับ
คำสั่งโดยชอบของเจ้าพนักงาน
        ในกรณีตามวรรคหนึ่งให้ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้ประสบภัย  และให้ได้รับเงินชดเชย  เว้นแต่การถูก
ประทุษร้าย  หรือการได้รับอันตรายหรือการป่วยเจ็บเกิดขึ้นจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง  หรือ
จากความผิดของตนเอง

        มาตรา 6  ในกรณีที่ผู้ประสบภัยถึงแก่ความตายเพราะเหตุได้กระทำการตามมาตรา 5  ให้จ่าย
เงินชดเชยแก่ทายาทตามหลักเกณฑ์การจ่ายเงินบำเหน็จตกทอดตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญ
ข้าราชการที่ใช้บังคับอยู่ในวันที่ถึงแก่ความตายโดยอนุโลม

        มาตรา 7  ในกรณีที่ผู้ประสบภัยถึงแก่ความตายเพราะเหตุได้กระทำการตามมาตรา 5  ให้จ่าย
เงินช่วยเหลือค่าจัดการศพแก่ทายาทซึ่งจัดการศพหรือผู้จัดการศพของผู้ประสบภัยตามหลักเกณฑ์  เงื่อนไข
และอัตราที่กระทรวงการคลังกำหนด
        มาตรา 8  ในกรณีที่ผู้ประสบภัยตามมาตรา 5  ต้องพิการทุพพลภาพขนาดหนักจนเป็นอุปสรรค
สำคัญยิ่งในการประกอบอาชีพหรือในการดำรงชีพ  ให้ได้รับเงินดำรงชีพด้วย
        ลักษณะของความพิการทุพพลภาพขนาดหนักจนเป็นอุปสรรคสำคัญยิ่งในการประกอบอาชีพ
หรือในการดำรงชีพตามวรรคหนึ่ง  ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง

        มาตรา 9  ผู้ประสบภัยมีสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลจากรัฐตามหลักเกณฑ์
เงื่อนไข  และอัตราที่กระทรวงการคลังกำหนด  ทั้งนี้  ไม่ว่าผู้ประสบภัยจะมีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์หรือ
ไม่ก็ตาม
        ในกรณีที่ผู้ประสบภัยผู้ใดได้รับค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลจากหน่วยงานอื่นของรัฐ
หรือบุคคลในครอบครัวของผู้นั้นได้รับค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลสำหรับผู้นั้นจากหน่วยงานอื่น
ของรัฐแล้ว  ผู้นั้นไม่มีสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลตามพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่ค่าใช้จ่าย
เกี่ยวกับการรักษาพยาบาลที่ได้รับนั้นต่ำกว่าค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลที่มีสิทธิได้รับตามพระราช
บัญญัตินี้ก็ให้มีสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลเฉพาะส่วนที่ขาดอยู่

        มาตรา 10  ในกรณีที่ผู้ประสบภัยมีสิทธิได้รับเงินทำขวัญตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วย
เงินทำขวัญข้าราชการและลูกจ้าง  หรือมีสิทธิได้รับเงินอื่นใดที่ทางราชการจ่ายให้ตามกฎหมายหรือ
ระเบียบอื่นในลักษณะเดียวกันด้วย  ถ้าผู้นั้นได้รับเงินทำขวัญหรือเงินอื่นใดสำหรับเหตุการณ์เดียวกันไปแล้ว
ให้ผู้นั้นเป็นอันหมดสิทธิที่จะได้รับเงินชดเชยตามพระราชบัญญัตินี้  เว้นแต่การได้รับเงินทำขวัญ  หรือ
เงินอื่นใดที่ได้รับนั้นมีจำนวนต่ำกว่าเงินชดเชยที่มีสิทธิจะได้รับตามพระราชบัญญัตินี้ก็ให้มีสิทธิได้รับเงินชดเชย
เฉพาะส่วนที่ขาดอยู่

        มาตรา 11  ในกรณีที่ผู้ประสบภัยมีสิทธิได้รับเงินเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยการสงเคราะห์
ผู้ประสบภัยเนื่องในการรบ  หรือมีสิทธิได้รับบำนาญพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
หรือมีสิทธิได้รับเงินอื่นใดที่ทางราชการจ่ายให้ตามกฎหมายหรือระเบียบอื่นในลักษณะเดียวกันด้วย  ถ้าผู้นั้น
ได้รับเงินเลี้ยงชีพบำนาญพิเศษ  หรือเงินอื่นใดที่ทางราชการจ่ายให้สำหรับเหตุการณ์เดียวกันไปแล้ว  ให้ผู้นั้น
เป็นอันหมดสิทธิที่จะได้รับเงินดำรงชีพตามพระราชบัญญัตินี้  เว้นแต่การได้รับเงินเลี้ยงชีพ  บำนาญพิเศษ
หรือเงินอื่นใดที่ได้รับนั้นมีจำนวนต่ำกว่าเงินดำรงชีพที่มีสิทธิจะได้รับตามพระราชบัญญัตินี้ก็ให้มีสิทธิได้รับเงิน
ดำรงชีพเฉพาะส่วนที่ขาดอยู่
        มาตรา 12  การขอรับเงินสงเคราะห์ต้องกระทำภายในระยะเวลาสองปีนับแต่วันที่ผู้มีสิทธิได้ทราบถึง
สิทธิของตน
        การยื่นคำขอรับเงินสงเคราะห์และแบบคำขอรับเงินสงเคราะห์  ให้เป็นไปตามระเบียบที่กระทรวง
การคลังกำหนด

        มาตรา 13  ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่ง  เรียกว่า  "คณะกรรมการสงเคราะห์ผู้ประสบภัย"
ประกอบด้วย  ปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการ  ผู้แทนสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
ผู้แทนกระทรวงกลาโหม  ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย  ผู้แทนกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม  และ
ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข  เป็นกรรมการ  และให้อธิบดีกรมบัญชีกลาง  เป็นกรรมการและเลขานุการ
        คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งข้าราชการในกรมบัญชีกลางเป็นผู้ช่วยเลขานุการ

        มาตรา 14  คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(1)     พิจารณาพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นว่าด้วยบุคคลใดจะพึงมีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัตินี้
หรือไม่
(2)     พิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัตินี้
(3)     กำหนดระเบียบและวิธีปฏิบัติอื่น ๆ  ตามที่เห็นสมควร

        มาตรา 15  การประชุมของคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของ
จำนวนกรรมการทั้งหมด  จึงจะเป็นองค์ประชุม
        ถ้าประธานกรรมการไม่อยู่ในที่ประชุมหรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้  ให้กรรมการซึ่งมาประชุม
เลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุมสำหรับการประชุมชั่วคราวนั้น
        การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก  กรรมการคนหนึ่งมีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน
ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด

        มาตรา 16  คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาหรือปฏิบัติการอย่างใด
อย่างหนึ่งตามที่คณะกรรมการมอบหมายก็ได้
        ให้นำมาตรา 15  มาใช้บังคับกับการประชุมของคณะอนุกรรมการโดยอนุโลม
        มาตรา 17  การจ่ายเงินสงเคราะห์ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์  เงื่อนไขและอัตราที่กำหนดใน
กฎกระทรวง
        มาตรา 18  การดำเนินการเพื่อให้มีการจ่ายเงินสงเคราะห์ให้กระทำให้แล้วเสร็จภายในเก้าสิบวัน
นับแต่วันที่ได้รับคำขอรับเงินสงเคราะห์  ในกรณีจำเป็นอาจขยายเวลาได้ไม่เกินหกสิบวัน
        การพิจารณาคำขอรับเงินสงเคราะห์และการขยายระยะเวลาการดำเนินการจ่ายเงินสงเคราะห์ให้เป็น
ไปตามระเบียบที่กระทรวงการคลังกำหนด

        มาตรา 19  ให้ผู้ซึ่งได้รับเงินสงเคราะห์เป็นรายเดือนตามพระราชบัญญัติสงเคราะห์ผู้ประสบภัย
เนื่องจากการช่วยเหลือราชการ  การปฏิบัติงานของชาติ  หรือการปฏิบัติตามหน้าที่มนุษยธรรม  พ.ศ. 2497
อยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา  ยังคงได้รับเงินสงเคราะห์เป็นรายเดือนตามหลักเกณฑ์
และวิธีการที่กำหนดในพระราชบัญญัติสงเคราะห์ผู้ประสบภัยเนื่องจากการช่วยเหลือราชการ  การปฏิบัติงาน
ของชาติ  หรือการปฏิบัติตามหน้าที่มนุษยธรรม  พ.ศ. 2497  อยู่ต่อไปจนกว่าจะหมดสิทธิ
        มาตรา 20  ให้ผู้ซึ่งมีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัติสงเคราะห์ผู้ประสบภัยเนื่องจาก
การช่วยเหลือราชการ  การปฏิบัติงานของชาติ  หรือการปฏิบัติตามหน้าที่มนุษยธรรม  พ.ศ. 2497
อยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา  แต่ยังมิได้รับเงินสงเคราะห์  คงมีสิทธิได้รับเงิน
สงเคราะห์ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในพระราชบัญญัติสงเคราะห์ผู้ประสบภัยเนื่องจากการ
ช่วยเหลือราชการ  การปฏิบัติงานของชาติ  หรือการปฏิบัติตามหน้าที่มนุษยธรรม  พ.ศ. 2497

        มาตรา 21  ผู้มีสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลตามพระราชบัญญัติสงเคราะห์
ผู้ประสบภัยเนื่องจากการช่วยเหลือราชการ  การปฏิบัติงานของชาติ  หรือการปฏิบัติตามหน้าที่มนุษยธรรม
พ.ศ. 2497  ซึ่งได้เข้ารับการรักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยภายในของสถานพยาบาลอยู่ก่อนวันที่พระราช
บัญญัตินี้ใช้บังคับและสถานพยาบาลนั้นเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลคาบเกี่ยวกับวันที่พระราช
บัญญัตินี้ใช้บังคับ  ให้ได้รับค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลตามพระราชบัญญัตินี้
        มาตรา 22  ให้บรรดาระเบียบที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยการสงเคราะห์ผู้ประสบภัยเนื่องจาก
การช่วยเหลือราชการ  การปฏิบัติงานของชาติ  หรือการปฏิบัติตามหน้าที่มนุษยธรรม  ซึ่งใช้บังคับอยู่
ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาคงใช้บังคับต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้
ทั้งนี้  จนกว่าจะได้มีการออกกฎกระทรวงหรือระเบียบตามพระราชบัญญัตินี้

        มาตรา 23  ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้  และให้มีอำนาจ
ออกกฎกระทรวงและระเบียบเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้
        กฎกระทรวงและระเบียบนั้น  เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ชวน  หลีกภัย
นายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ:-  เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้  คือ  โดยที่พระราชบัญญัติสงเคราะห์ผู้ประสบภัย
เนื่องจากการช่วยเหลือราชการ  การปฏิบัติงานของชาติ  หรือการปฏิบัติตามหน้าที่มนุษยธรรม  พ.ศ. 2497  ได้ใช้
บังคับมาเป็นเวลานาน  บทบัญญัติบางประการไม่เหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน  สมควรปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับ
เงินสงเคราะห์ที่จ่ายให้แก่ผู้ประสบภัยเนื่องจากการช่วยเหลือราชการ  การปฏิบัติงานของชาติ  หรือการปฏิบัติตามหน้าที่
มนุษยธรรม  โดยกำหนดให้ผู้ประสบภัยซึ่งสูญเสียอวัยวะอื่น ๆ  นอกจากแขน  ขา  หูหนวกทั้งสองข้าง  หรือตาบอด
ได้รับการสงเคราะห์  และในกรณีที่ผู้ประสบภัยต้องพิการทุพพลภาพขนาดหนักจนเป็นอุปสรรคสำคัญยิ่งในการประกอบ
อาชีพหรือการดำรงชีพ  สมควรให้ได้รับเงินดำรงชีพเป็นรายเดือนด้วย  นอกจากนี้สมควรปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับ
องค์ประกอบของคณะกรรมการสงเคราะห์ผู้ประสบภัยเพื่อให้ประกอบด้วยผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างแท้จริง
จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
( รจ. เล่ม 117  ตอนที่ 41ก  หน้า 43   12  พฤษภาคม  2543 )