พระราชบัญญัติ
ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน  (ฉบับที่ 4)
พ.ศ. 2543
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2543
เป็นปีที่ 55 ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช  มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ  ให้
ประกาศว่า
        โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
        จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา
ดังต่อไปนี้
        มาตรา 1  พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า  ?พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน  (ฉบับที่ 4)
พ.ศ. 2543 ?
        มาตรา 2  พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป
        มาตรา 3  ให้ยกเลิกความในมาตรา 8  แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
พ.ศ.  2534   และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
        ?มาตรา 8  การจัดตั้ง  การรวม  หรือการโอนส่วนราชการตามมาตรา 7   ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ
        การจัดตั้งทบวงโดยให้สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีหรือกระทรวง  ให้ระบุการสังกัดไว้ในพระราช
บัญญัติด้วย
        การจัดตั้งกรมหรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม  ซึ่งไม่สังกัดสำนักนายก
รัฐมนตรี  กระทรวง  หรือทบวง  ให้ระบุการไม่สังกัดไว้ในพระราชบัญญัติด้วย?
        มาตรา 4  ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา  8  ทวิ  มาตรา 8  ตรี  มาตรา 8  จัตวา
มาตรา 8  เบญจ  มาตรา 8  ฉ  มาตรา 8  สัตต  และมาตรา 8 อัฏฐ  แห่งพระราชบัญญัติระเบียบ
บริหารราชการแผ่นดิน  พ.ศ. 2534
        ?มาตรา 8  ทวิ  การรวมหรือการโอนส่วนราชการตามมาตรา 7  ไม่ว่าจะมีผลเป็นการจัดตั้ง
ส่วนราชการขึ้นใหม่หรือไม่  ถ้าไม่มีการกำหนดตำแหน่งหรืออัตราของข้าราชการหรือลูกจ้างเพิ่มขึ้น
ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา

        พระราชกฤษฎีกาตามวรรคหนึ่ง  ให้ระบุอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ  การโอนอำนาจหน้าที่ตาม
บทบัญญัติแห่งกฎหมาย  ซึ่งส่วนราชการหรือเจ้าพนักงานที่มีอยู่เดิม  การโอนข้าราชการและลูกจ้าง
งบประมาณรายจ่าย  รวมทั้งทรัพย์สินและหนี้สินเอาไว้ด้วย  แล้วแต่กรณี
        ให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนและสำนักงบประมาณมีหน้าที่ตรวจสอบดูแล
มิให้มีการกำหนดตำแหน่งหรืออัตราของข้าราชการหรือลูกจ้างของส่วนราชการที่จัดตั้งขึ้นใหม่  หรือที่ถูก
รวมหรือโอนไปตามวรรคหนึ่ง  เพิ่มขึ้นจนกว่าจะครบกำหนดสามปีนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาตาม
วรรคหนึ่งมีผลใช้บังคับ
        มาตรา 8  ตรี   การเปลี่ยนชื่อส่วนราชการตามมาตรา 7  ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา  และ
ในกรณีที่ชื่อตำแหน่งของข้าราชการในส่วนราชการนั้นเปลี่ยนไปให้ระบุการเปลี่ยนชื่อไว้ในพระราชกฤษฎีกาด้วย
        บทบัญญัติแห่งกฎหมาย  กฎ  ระเบียบ  ข้อบังคับ  เทศบัญญัติหรือข้อบัญญัติท้องถิ่นอื่น
ประกาศ  หรือคำสั่งใดที่อ้างถึงส่วนราชการหรือตำแหน่งของข้าราชการที่ได้ถูกเปลี่ยนชื่อตามวรรคหนึ่ง
ให้ถือว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมาย  กฎ  ระเบียบ  ข้อบังคับ  เทศบัญญัติหรือข้อบัญญัติท้องถิ่นอื่น  ประกาศ
หรือคำสั่งนั้นอ้างถึงส่วนราชการหรือตำแหน่งของข้าราชการที่ได้เปลี่ยนชื่อนั้น
        มาตรา 8  จัตวา  การยุบส่วนราชการตามมาตรา 7  ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
        เมื่อมีพระราชกฤษฎีกายุบส่วนราชการตามวรรคหนึ่งแล้ว  ให้งบประมาณรายจ่ายที่เหลืออยู่
ของส่วนราชการนั้นเป็นอันระงับไป  สำหรับทรัพย์สินอื่นของส่วนราชการนั้นให้โอนให้แก่ส่วนราชการอื่น
หรือหน่วยงานของรัฐ  ตามที่รัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกาตามวรรคหนึ่งกำหนด
โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี  สำหรับวิธีการจัดการกิจการ  สิทธิและหนี้สินของส่วนราชการนั้น
ให้เป็นไปตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา
        ข้าราชการหรือลูกจ้างซึ่งพ้นจากราชการเพราะเหตุยุบตำแหน่ง  อันเนื่องมาแต่การยุบ
ส่วนราชการตามวรรคหนึ่ง  นอกเหนือจากสิทธิประโยชน์ที่พึงได้รับตามกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับ
อื่นแล้ว  ให้ข้าราชการหรือลูกจ้างได้รับเงินชดเชยตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา
ตามวรรคหนึ่งด้วย

        ในกรณีส่วนราชการ  รัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานอื่นของรัฐประสงค์จะรับโอนข้าราชการหรือ
ลูกจ้างตามวรรคสามก็ให้กระทำได้โดยมิให้ถือว่าข้าราชการหรือลูกจ้างผู้นั้นได้พ้นจากราชการตามวรรคสาม
แต่ทั้งนี้ต้องกระทำภายในสามสิบวันนับแต่พระราชกฤษฎีกาตามวรรคหนึ่งมีผลใช้บังคับ
        มาตรา 8  เบญจ   พระราชกฤษฎีกาตามมาตรา 8  ทวิ  หรือมาตรา 8  จัตวา  ที่มีผลเป็น
การแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่จัดตั้งส่วนราชการ  กฎหมายว่าด้วยการปรับปรุง
กระทรวง  ทบวง  กรม  หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง  ตามมาตรา  230  วรรคห้า  ของรัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรไทย  ให้ระบุให้ชัดเจนในพระราชกฤษฎีกาว่าบทบัญญัติใดถูกแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิก
เป็นประการใดในกฎหมายนั้น
        มาตรา 8  ฉ   การแบ่งส่วนราชการภายในสำนักงานเลขานุการรัฐมนตรี  กรม  หรือส่วนราชการ
ที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม  ให้ออกเป็นกฎกระทรวงและให้ระบุอำนาจหน้าที่ของแต่ละ
ส่วนราชการไว้ในกฎกระทรวงด้วย
        ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดของส่วนราชการตามวรรคหนึ่งเป็นผู้ออกกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ
ดังกล่าว  กฎกระทรวงนั้นเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
        มาตรา 8  สัตต   ให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนและสำนักงบประมาณ
ร่วมกันเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีในการแบ่งส่วนราชการภายในและในการกำหนดอำนาจหน้าที่
ของแต่ละส่วนราชการตามมาตรา 8  ฉ   ในการเสนอความเห็นดังกล่าวให้สำนักงานคณะกรรมการ
ข้าราชการพลเรือนจัดอัตรากำลัง  และสำนักงบประมาณจัดสรรเงินงบประมาณให้สอดคล้องเสนอไป
ในคราวเดียวกัน
        มาตรา 8  อัฎฐ   การแบ่งส่วนราชการภายในมหาวิทยาลัยหรือสถาบันในทบวงมหาวิทยาลัย
ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยมหาวิทยาลัยหรือสถาบันนั้น?

        มาตรา 5  พระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการภายในส่วนราชการตามมาตรา 8  วรรคสี่
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน  พ.ศ.  2534   ที่ใช้บังคับอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้
ประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้คงใช้บังคับได้ต่อไป  จนกว่าจะมีกฎกระทรวงว่าด้วยการแบ่งส่วนราชการตาม
มาตรา 8  ฉ   แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน  พ.ศ. 2534  ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม
โดยพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
        มาตรา 6  ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ชวน  หลีกภัย
   หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 230
ได้บัญญัติให้การรวมหรือโอนกระทรวง ทบวง กรม ที่ไม่มีการกำหนดตำแหน่งหรืออัตราของข้าราชการหรือลูกจ้างเพิ่มขึ้น
หรือการยุบเลิกส่วนราชการดังกล่าว สามารถทำได้โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ดังนั้น สมควรกำหนดลักษณะของ
กรณีที่สามารถตราเป็นพระราชกฤษฎีกาและวิธีการดำเนินการของแต่ละกรณี และรูปแบบของพระราชกฤษฎีกา
ดังกล่าว รวมทั้งปรับปรุงหลักเกณฑ์การแบ่งส่วนราชการภายในสำนักงานเลขานุการรัฐมนตรีและส่วนราชการ
ระดับกรม ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญดังกล่าว จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
( รจ. เล่ม 117 ตอนที่ 37ก หน้า 22   28 เมษายน 2543)