พระราชบัญญัติ
แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
พ.ศ. 2543
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2543
เป็นปีที่ 55  ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช  มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้
ประกาศว่า
        โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
        จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ  ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา
ดังต่อไปนี้

        มาตรา 1  พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า  "พระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์  พ.ศ. 2543"

        มาตรา 2  พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป

        มาตรา 3  ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์  พ.ศ. 2534

        มาตรา 4  พระราชบัญญัตินี้เป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดเสรีภาพ
ในเคหสถาน  และการจำกัดเสรีภาพในการรวมกันเป็นสมาคม  สหภาพ  สหพันธ์  สหกรณ์  กลุ่มเกษตรกร
องค์การเอกชน  หรือหมู่คณะอื่น  ซึ่งตราขึ้นโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 35  และมาตรา 45  ของรัฐธรรมนูญ
แห่งราชอาณาจักรไทย

        มาตรา 5  พระราชบัญญัตินี้ไม่ใช้บังคับแก่รัฐวิสาหกิจตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา
        ให้รัฐวิสาหกิจทั้งหลายอยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัตินี้ไม่ว่ากฎหมายจัดตั้งรัฐวิสาหกิจนั้น
หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องจะกำหนดไว้เช่นใดก็ตาม  เว้นแต่รัฐวิสาหกิจที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาตาม
วรรคหนึ่ง

        มาตรา 6  ในพระราชบัญญัตินี้
        "รัฐวิสาหกิจ"  หมายความว่า
(1)     องค์การของรัฐบาลตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาลหรือกิจการของรัฐ
ตามกฎหมายที่จัดตั้งกิจการนั้น  และให้หมายความรวมถึงหน่วยงานธุรกิจที่รัฐเป็นเจ้าของ
(2)     บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่กระทรวง  ทบวง  กรม  หรือทบวงการเมืองที่มีฐานะ
เทียบเท่า  หรือรัฐวิสาหกิจตาม ( 1 )  มีทุนรวมอยู่ด้วยเกินร้อยละห้าสิบ
        "ลูกจ้าง"  หมายความว่า  ผู้ซึ่งตกลงทำงานให้แก่นายจ้างเพื่อรับค่าจ้าง
        "นายจ้าง"  หมายความว่า  รัฐวิสาหกิจซึ่งตกลงรับลูกจ้างเข้าทำงานโดยจ่ายค่าจ้างให้  และให้
หมายความรวมถึงผู้มีอำนาจกระทำการแทนรัฐวิสาหกิจ  หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้ที่มีอำนาจ
กระทำการแทนรัฐวิสาหกิจด้วย
        "ฝ่ายบริหาร"  หมายความว่า  ลูกจ้างระดับผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจในการจ้าง  เลิกจ้าง  ขึ้นค่าจ้าง
ตัดค่าจ้าง  หรือลดค่าจ้าง
        "สภาพการจ้าง"  หมายความว่า  หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการจ้างหรือทำงาน  กำหนดวัน
และเวลาทำงาน  ค่าจ้าง  สวัสดิการ  การเลิกจ้าง  หรือประโยชน์อื่นของนายจ้าง  หรือลูกจ้าง  อันเกี่ยวกับ
การจ้าง  หรือการทำงาน

        "ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง"  หมายความว่า  ข้อตกลงระหว่างนายจ้างกับสหภาพแรงงาน
ตามพระราชบัญญัตินี้
        "ข้อพิพาทแรงงาน"  หมายความว่า  ข้อขัดแย้งระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างเกี่ยวกับสภาพการจ้าง
        "ปิดงาน"  หมายความว่า  การที่นายจ้างปฏิเสธไม่ยอมให้ลูกจ้างทำงานชั่วคราวเนื่องจากข้อพิพาท
แรงงาน
        "นัดหยุดงาน"  หมายความว่า  การที่ลูกจ้างร่วมกันไม่ทำงาน  เฉื่อยงานหรือถ่วงงานเพื่อให้การ
ดำเนินงานบางส่วน  หรือทั้งหมดของรัฐวิสาหกิจต้องหยุดชะงักหรือช้าลง
        "สหภาพแรงงาน"  หมายความว่า  สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัตินี้
        "สหพันธ์แรงงาน"  หมายความว่า  สหพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัตินี้
        "คณะกรรมการ"  หมายความว่า  คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
        "นายทะเบียน"  หมายความว่า  อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย
        "พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงาน"  หมายความว่า  ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตาม
พระราชบัญญัตินี้
        "พนักงานเจ้าหน้าที่"  หมายความว่า  ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
        "รัฐมนตรี"  หมายความว่า  รัฐมนตรีผู้ซึ่งรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

        มาตรา 7  ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานและพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการตามพระราช
บัญญัตินี้
        การแต่งตั้งตามวรรคหนึ่งให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา

หมวด 1
คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
        มาตรา 8  ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า  "คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์"
ประกอบด้วยรัฐมนตรี  เป็นประธานกรรมการ  ปลัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม  เลขาธิการ
คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  อธิบดีกรมบัญชีกลาง  เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง
และกรรมการอื่นซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งจากฝ่ายนายจ้างห้าคนและฝ่ายลูกจ้างห้าคน  และให้อธิบดีกรมสวัสดิการ
และคุ้มครองแรงงาน  เป็นกรรมการและเลขานุการ
        ฝ่ายนายจ้างตามวรรคหนึ่ง  หมายความว่า  ผู้ว่าการ  ผู้อำนวยการ  กรรมการผู้จัดการ  หรือบุคคล
ซึ่งดำรงตำแหน่งที่มีอำนาจหน้าที่คล้ายคลึงกันแต่เรียกชื่ออย่างอื่นในรัฐวิสาหกิจ
        ฝ่ายลูกจ้างตามวรรคหนึ่ง  ให้แต่งตั้งจากผู้ซึ่งได้รับการเลือกตั้งในระหว่างประธานสหภาพแรงงาน
ด้วยกัน  การเลือกตั้งให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา

        มาตรา 9  กรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งมีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสองปี  กรรมการซึ่งพ้นจาก
ตำแหน่ง  อาจได้รับแต่งตั้งอีกได้

        มาตรา 10   นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา 9  กรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้ง
พ้นจากตำแหน่ง  เมื่อ
(1)     ตาย
(2)     ลาออก
(3)     รัฐมนตรีให้ออกเพราะมีการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตนี้
หรือมีความผิดตามพระราชบัญญัตินี้
(4)     พ้นจากการเป็นนายจ้างหรือพ้นจากการเป็นประธานสภาพแรงงานแล้วแต่กรณี
(5)     เป็นบุคคลล้มละลาย
(6)     เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ  หรือ
(7)     ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก  เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำ
โดยประมาท  หรือความผิดลหุโทษ
        ในกรณีที่กรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ  ให้รัฐมนตรีแต่งตั้งกรรมการ
แทนตำแหน่งที่ว่างและให้ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งตนแทน
        การแต่งตั้งกรรมการแทนตำแหน่งที่ว่างก่อนครบวาระของกรรมการฝ่ายลูกจ้าง  ให้แต่งตั้งจาก
ประธานสหภาพแรงงาน  ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งที่อยู่ลำดับถัดไปของการเลือกตั้งคราวที่กรรมการซึ่งพ้นจาก
ตำแหน่งก่อนครบวาระได้รับเลือกตั้ง

        มาตรา 11  ในกรณีที่กรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งดำรงตำแหน่งครบตามวาระแล้วแต่ยังมิได้
มีการแต่งตั้งกรรมการขึ้นใหม่  ให้กรรมการที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระที่ปฏิบัติหน้าที่ไปพลางก่อน  จนกว่า
กรรมการที่ได้รับแต่งตั้งใหม่จะเข้ารับหน้าที่

        มาตรา 12  การประชุมคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวน
กรรมการทั้งหมด  และต้องมีกรรมการฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้างอย่างน้อยฝ่ายละหนึ่งคน  จึงเป็นองค์ประชุม
        ในการประชุมคราวใด  ถ้าประธานกรรมการไม่อยู่ในที่ประชุม  หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม
        มติที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก  กรรมการคนหนึ่งมีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน  ถ้าคะแนนเสียง
เท่ากัน  ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
        ในการประชุมคราวใด  ถ้าไม่ได้องค์ประชุมตามที่กำหนดไว้ในวรรคหนึ่งให้จัดให้มีการประชุม
อีกครั้งหนึ่งภายในสิบห้าวันนับตั้งแต่วันที่นัดประชุมครั้งแรก  การประชุมครั้งหลังนี้  แม้จะไม่มีกรรมการ
ฝ่ายนายจ้างหรือฝ่ายลูกจ้างมาประชุม  ถ้ามีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการ
ทั้งหมด  ก็ให้ถือเป็นองค์ประชุม

        มาตรา 13  ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(1)     กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้าง
(2)     เสนอคณะรัฐมนตรีกำหนดขอบเขตสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินสำหรับรัฐวิสาหกิจ
แต่ละแห่งที่รัฐวิสาหกิจนั้นอาจดำเนินการเองได้
(3)     พิจารณาให้ความเห็นชอบเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามวรรคสาม  และมาตรา 28
(4)     พิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานตามมาตรา 31
(5)     แต่งตั้งบุคคลหรือคณะบุคคลเพื่อดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงานก่อนมีคำวินิจฉัย
ชี้ขาดตามมาตรา 31  วรรคห้า
(6)     พิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามมาตรา 38
(7)     พิจารณาวินิจฉัยและออกคำสั่งตามมาตรา 39
(8)     เสนอความเห็นและให้คำแนะนำแก่รัฐวิสาหกิจเกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมาย
(9)     ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามพระราชบัญญัตินี้  หรือตามที่รัฐมนตรีมอบหมาย
มาตราฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างตาม ( 1 )  เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว
ให้ใช้บังคับแก่รัฐวิสาหกิจทุกแห่ง
        ในกรณีที่รัฐวิสาหกิจใด  เห็นสมควรปรับปรุงสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินที่อยู่นอกเหนือ
จากที่กำหนดไว้ตามมาตรา 13 ( 2 )  จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการและคณะรัฐมนตรี
ก่อนจึงจะดำเนินการได้

        มาตรา 14  คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิไม่เกินห้าคน  เป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการ
เพื่อให้คำปรึกษาและเสนอความเห็นในเรื่องที่คณะกรรมการมอบหมาย

        มาตรา 15  คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาหรือปฏิบัติการอย่างใด
อย่างหนึ่งตามที่คณะกรรมการมอบหมาย

        มาตรา 16  ในการปฏิบัติตามหน้าที่ให้คณะกรรมการ  คณะอนุกรรมการ  หรือพนักงานเจ้าหน้าที่
ซึ่งคณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการมอบหมายมีอำนาจดังต่อไปนี้
(1)     เข้าไปในสถานที่ทำงานของนายจ้าง  สถานที่ที่ลูกจ้างทำงานอยู่หรือสำนักงานของนายจ้าง
สหภาพแรงงาน  หรือสพันธ์แรงงาน  ในระหว่างเวลาทำการเพื่อสอบถามข้อเท็จจริงหรือตรวจสอบ
เอกสารได้ตามความจำเป็น
(2)     มีหนังสือสอบถามหรือเรียกบุคคล  ซึ่งเกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำหรือให้ส่งสิ่งของหรือเอกสาร
ที่เกี่ยวข้องมาเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการ  คณะอนุกรรมการ  หรือพนักงานเจ้าหน้าที่
ที่ได้รับมอบหมาย
        ให้ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องอำนวยความสะดวก  ชี้แจงข้อเท็จจริง  ตอบหนังสือสอบถามหรือส่งสิ่งของ
หรือเอกสารที่เกี่ยวข้องแก่คณะกรรมการ  คณะอนุกรรมการ  หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
ในการปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง

        มาตรา 17  คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการจะมีหนังสือเชิญผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ทรงคุณวุฒิ
มาแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่เกี่ยวข้องก็ได้

        มาตรา 18  ให้มีสำนักงานคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ในกรมสวัสดิการและคุ้มครอง
แรงงานและให้มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(1)     ปฏิบัติงานธุรการของคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการตามพระราชบัญญัตินี้
(2)     ปฏิบัติหน้าที่ตามที่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการมอบหมาย

หมวด 2
คณะกรรมการกิจการสัมพันธ์
        มาตรา 19  ให้มีคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์ขึ้นในรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งประกอบด้วย  กรรมการ
ของรัฐวิสาหกิจนั้นคนหนึ่งซึ่งคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจแห่งนั้นกำหนด  เป็นประธานกรรมการ  ผู้แทน
ฝ่ายนายจ้างซึ่งรัฐวิสาหกิจแห่งนั้น  แต่งตั้งจากฝ่ายบริหารของรัฐวิสาหกิจนั้น  ตามจำนวนที่รัฐวิสาหกิจ
กำหนด  ซึ่งต้องไม่น้อยกว่าห้าคนแต่ไม่เกินเก้าคน  และผู้แทนฝ่ายลูกจ้างซึ่งแต่งตั้งจากสมาชิกของ
สหภาพแรงงาน  ในรัฐวิสาหกิจนั้นตามที่สหภาพแรงงานเสนอ  มีจำนวนเท่ากับจำนวนผู้แทนฝ่ายนายจ้าง
เป็นกรรมการ
        ในกรณีที่ไม่มีสหภาพแรงงานในรัฐวิสาหกิจใดหรือในระหว่างที่สหภาพแรงงานต้องเลิกไปตาม
มาตรา 65  ให้รัฐวิสาหกิจนั้นจัดให้ลูกจ้างที่มิใช่ฝ่ายบริหารเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายลูกจ้างจำนวนเท่ากับ
จำนวนผู้แทนฝ่ายนายจ้างเข้าร่วมเป็นกรรมการ
        ให้ลูกจ้างซึ่งได้รับเลือกตั้งตามวรรคสองอยู่ในตำแหน่งกรรมการจนกว่าจะสามารถเลือกตั้งผู้แทน
ของสหภาพแรงงานตามวรรคหนึ่งได้

        มาตรา 20  กรรมการกิจการสัมพันธ์มีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสองปี  กรรมการซึ่งพ้นจาก
ตำแหน่งอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้

        มาตรา  21  นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา 20  กรรมการกิจการสัมพันธ์
พ้นจากตำแหน่ง  เมื่อ
(1)     ตาย
(2)     ลาออก
(3)     เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ
(4)      พ้นจากการเป็นฝ่ายบริหารหรือเมื่อรัฐวิสาหกิจเห็นควรให้มีการเปลี่ยนผู้แทนใหม่  สำหรับ
กรณีของผู้แทนฝ่ายนายจ้าง
(5)     พ้นจากการเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานหรือเมื่อสหภาพแรงงานเห็นควรให้มีการเปลี่ยน
ผู้แทนใหม่หรือพ้นจากการเป็นลูกจ้าง  สำหรับกรณีของผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง
(6)     ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก  เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำ
โดยประมาท  หรือความผิดลหุโทษ
        ในกรณีที่กรรมการกิจการสัมพันธ์พ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ  ให้มีการแต่งตั้งกรรมการกิจการสัมพันธ์
แทนตำแหน่งที่ว่าง  และให้ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งตนแทน

        มาตรา 22  ให้คณะกรรมการกิจการสัมพันธ์จัดให้มีการประชุมอย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้ง
และให้นำความในมาตรา 12  มาใช้บังคับกับการประชุมของคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์โดยอนุโลม
        ในกรณีที่กรรมการกิจการสัมพันธ์ไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามร้องขอ  ให้คณะกรรมการกิจการสัมพันธ์
จัดให้มีการประชุมภายในสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอ

        มาตรา 23  ให้คณะกรรมการกิจการสัมพันธ์มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(1)     พิจารณาให้ความเห็นเกี่ยวกับการปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ
ตลอดจนส่งเสริมและพัฒนาการแรงงานสัมพันธ์
(2)     หาทางปรองดองและระงับข้อขัดแย้งในรัฐวิสาหกิจนั้น
(3)     พิจารณาปรับปรุงระเบียบข้อบังคับในการทำงาน  อันจะเป็นประโยชน์ต่อนายจ้าง  ลูกจ้าง
และรัฐวิสาหกิจนั้น
(4)     ปรึกษาหารือเพื่อแก้ปัญหาตามคำร้องทุกข์ของลูกจ้างหรือสหภาพแรงงาน  รวมถึงการร้องทุกข์
ที่เกี่ยวกับการลงโทษทางวินัย
(5)     ปรึกษาหารือเพื่อพิจารณาปรับปรุงสภาพการจ้าง

        มาตรา 24  ให้นายจ้างอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการกิจการสัมพันธ์
หรืองดเว้นการกระทำใด ๆ  อันเป็นผลให้กรรมการกิจการสัมพันธ์ไม่สามารถทำงานตามอำนาจหน้าที่
ต่อไปได้
        นายจ้างจะเลิกจ้าง  ลดค่าจ้าง  หรือตัดค่าจ้าง  กรรมการกิจการสัมพันธ์ได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาต
จากศาลแรงงานก่อน  เว้นแต่กรรมการกิจการสัมพันธ์ผู้นั้นจะให้ความยินยอมเป็นหนังสือ  หรือเป็นการ
เลิกจ้างเพราะเหตุเกษียณอายุ

หมวด 3
ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างและวิธีระงับข้อพิพาทแรงงาน
        มาตรา 25  ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างให้มีระยะเวลาใช้บังคับตามที่นายจ้างและสหภาพแรงงาน
ได้ตกลงกัน  แต่จะตกลงกันให้มีผลใช้บังคับเกินกว่าสามปีไม่ได้ถ้ามิได้กำหนดระยะเวลาไว้  ให้ถือว่า
ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับหนึ่งปีนับแต่วันที่นายจ้างและลูกจ้างได้ตกลงกันหรือนับแต่
วันที่นายจ้างรับลูกจ้างเข้าทำงานแล้วแต่กรณี
        ในกรณีที่ระยะเวลาที่กำหนดตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างสิ้นสุดลงถ้ามิได้มีการเจรจา
ตกลงกันใหม่  ให้ถือว่าข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างนั้นมีผลใช้บังคับต่อไปอีกคราวละหนึ่งปี
        การเรียกร้องให้มีการกำหนดข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง  หรือการแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลง
เกี่ยวกับสภาพการจ้าง  นายจ้างหรือสหภาพแรงงานต้องยื่นข้อเรียกร้องเป็นหนังสือให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบ
และให้ฝ่ายที่ยื่นข้อเรียกร้องส่งสำเนาข้อเรียกร้องให้นายทะเบียนโดยมิชักช้า
        ให้ฝ่ายยื่นข้อเรียกร้องระบุชื่อผู้ซึ่งมีอำนาจทำการแทนเป็นผู้แทนในการเจรจาซึ่งต้องมีจำนวน
ไม่เกินเจ็ดคน
        ผู้แทนในการเจรจาฝ่ายนายจ้างต้องแต่งตั้งจากฝ่ายบริหารของรัฐวิสาหกิจนั้น  และผู้แทนในการเจรจา
ฝ่ายสหภาพแรงงานต้องแต่งตั้งจากกรรมการหรือสมาชิกสหภาพแรงงานนั้น

        มาตรา 26  เมื่อได้รับข้อเรียกร้องแล้ว  ให้ฝ่ายที่รับข้อเรียกร้องแจ้งชื่อผู้แทนในการเจรจา
จำนวนไม่เกินเจ็ดคนเป็นหนังสือให้ฝ่ายที่ยื่นข้อเรียกร้องทราบโดยมิชักช้าและให้ทั้งสองฝ่ายเริ่มเจรจากัน
ภายในห้าวันนับแต่วันที่ได้รับข้อเรียกร้อง
     นายจ้างหรือสหภาพแรงงานจะแต่งตั้งที่ปรึกษาเพื่อให้คำปรึกษาแนะนำแก่ผู้แทนของตนก็ได้
แต่ต้องมีจำนวนฝ่ายละไม่เกินสองคน

        มาตรา 27  ถ้านายจ้างกับสหภาพแรงงานสามารถตกลงเกี่ยวกับข้อเรียกร้องได้แล้ว  ให้ทำ
ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างนั้นเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้แทนในการเจรจาของนายจ้างและสหภาพ
แรงงาน  ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนผู้แทนฝ่ายตนและให้นายจ้างประกาศข้อตกลงเกี่ยวกับ
สภาพการจ้างโดยเปิดเผยไว้  ณ  สถานที่ที่ลูกจ้างทำงานอยู่เป็นเวลาอย่างน้อยสามสิบวัน  โดยเริ่มประกาศ
ภายในสามวันนับแต่วันที่ได้ตกลงกัน
        ให้นายจ้างนำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามวรรคหนึ่งไปจดทะเบียนต่อนายทะเบียนหรือ
ผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้ตกลงกัน

        มาตรา 28  ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินที่อยู่นอกเหนือจากที่กำหนด
ตามมาตรา  13  ( 2 )  นายจ้างจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการและคณะรัฐมนตรีก่อนจึงจะ
ดำเนินการได้

        มาตรา 29  ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลผูกพันนายจ้างและลูกจ้างซึ่งเป็นสมาชิก
สหภาพแรงงาน
        ห้ามมิให้นายจ้างทำสัญญาจ้างแรงงานกับลูกจ้างซึ่งเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานขัดหรือแย้งกับ
ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง  เว้นแต่สัญญาจ้างแรงงานนั้นจะเป็นคุณแก่ลูกจ้างยิ่งกว่า

        มาตรา 30  ในกรณีที่ไม่มีการเจรจากันภายในกำหนดตามมาตรา 26  หรือมีการเจรจากัน
แล้วแต่ตกลงกันไม่ได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด  ให้ถือว่าได้มีข้อพิพาทแรงงานเกิดขึ้น  และให้ฝ่ายยื่นข้อเรียกร้อง
แจ้งเป็นหนังสือให้พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานทราบภายในเจ็ดสิบสองชั่วโมงนับแต่เวลาที่พ้นกำหนด
หรือนับแต่เวลาที่ตกลงกันไม่ได้แล้วแต่กรณี

        มาตรา 31  เมื่อพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานได้รับแจ้งตามมาตรา  30  แล้ว  ให้พนักงาน
ประนอมข้อพิพาทแรงงานดำเนินการประนอมข้อพิพาทภายในกำหนดสิบวันนับแต่วันที่พนักงานประนอม
ข้อพิพาทแรงงานได้รับหนังสือแจ้ง
        ถ้าได้มีการตกลงกันภายในระยะเวลาตามวรรคหนึ่ง  ให้นำมาตรา  27  มาใช้บังคับโดยอนุโลม
        ในกรณีที่ไม่อาจตกลงกันได้ภายในระยะเวลาตามวรรคหนึ่ง  ให้ถือว่าข้อพิพาทแรงงานนั้นเป็น
ข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้  และให้ฝ่ายที่แจ้งข้อเรียกร้องนำข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้  ส่งให้
คณะกรรมการภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่เป็นข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้
        เมื่อคณะกรรมการได้รับข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้  ให้พิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดภายใน
เก้าสิบวันนับแต่วันที่ได้รับข้อพิพาทแรงงานดังกล่าว
        ในกรณีที่คณะกรรมการเห็นสมควร  คณะกรรมการจะแต่งตั้งบุคคลหรือคณะบุคคลเพื่อดำเนินการ
ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงานดังกล่าวก่อนมีการวินิจฉัยชี้ขาดก็ได้

        มาตรา 32  คำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการให้เป็นที่สุด  ฝ่ายยื่นข้อเรียกร้องและฝ่ายรับ
ข้อเรียกร้องต้องปฏิบัติตาม  แต่ถ้าเป็นคำวินิจฉัยชี้ขาดที่เกี่ยวกับการเงินที่อยู่นอกเหนือกำหนดตาม
มาตรา 13  (2)  จะมีผลใช้บังคับได้ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว  และให้คำวินิจฉัย
ชี้ขาดมีผลใช้บังคับได้เป็นเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดหรือได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
แล้วแต่กรณี

        มาตรา 33  ไม่ว่ากรณีใดห้ามมิให้นายจ้างปิดงานหรือลูกจ้างนัดหยุดงาน

        มาตรา 34  เมื่อได้มีการยื่นข้อเรียกร้องตามมาตรา  25  แล้ว   ถ้าข้อเรียกร้องนั้นยังอยู่ใน
ระหว่างการเจรจา  การประนอม  การไกล่เกลี่ย  หรือการชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานตามมาตรา 26  มาตรา 27
มาตรา 28  มาตรา 29  มาตรา 30  หรือมาตรา 31  ห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้าง  หรือโยกย้ายหน้าที่การงาน
ลูกจ้าง  ผู้แทนลูกจ้าง  กรรมการ  หรืออนุกรรมการซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้อง  เว้นแต่บุคคลดังกล่าว
        (1)  ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง
        (2)  จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย
        (3)  ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบ  หรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้าง
โดยนายจ้างได้ว่ากล่าวตักเตือนเป็นหนังสือแล้วและยังไม่เกินหนึ่งปีนับแต่วันที่ลูกจ้างได้รับทราบหนังสือ
เตือนนั้น  ทั้งนี้  ข้อบังคับ  ระเบียบ  หรือคำสั่งนั้น  ต้องมิได้ออกเพื่อขัดขวางมิให้บุคคลดังกล่าวดำเนินการ
เกี่ยวกับข้อเรียกร้อง  เว้นแต่กรณีที่ร้ายแรง  นายจ้างไม่จำเป็นต้องตักเตือน
        (4)  ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกัน  โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
ห้ามมิให้ลูกจ้าง  ผู้แทนลูกจ้าง  กรรมการ  อนุกรรมการ  หรือสมาชิกสหภาพแรงงานซึ่งเกี่ยวข้องกับ
ข้อเรียกร้อง  สนับสนุน  หรือก่อเหตุการณ์นัดหยุดงาน

        มาตรา 35  ห้ามมิให้นายจ้าง
        (1)  เลิกจ้างหรือกระทำการใด ๆ  อันอาจเป็นผลให้ลูกจ้างไม่สามารถทนทำงานอยู่ต่อไปได้
เพราะเหตุที่ลูกจ้างได้ดำเนินการขอจัดตั้งสหภาพแรงงาน  สหพันธ์แรงงาน  หรือเข้าเป็นสมาชิก  หรือ
กรรมการสหภาพแรงงาน  กรรมการสหพันธ์แรงงาน  กรรมการกิจการสัมพันธ์  กรรมการแรงงาน
รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์  หรือนุกรรมการ  หรือดำเนินการฟ้องร้อง  เป็นพยาน  หรือให้หลักฐานต่อพนักงาน
เจ้าหน้าที่ทะเบียนหรือคณะกรรมการ  หรือต่อศาลแรงงาน
        (2)  ขัดขวางในการที่ลูกจ้างเป็นสมาชิก  หรือให้ลูกจ้างออกจากการเป็นสมาชิกของสหภาพ
แรงงาน  สหพันธ์แรงงาน  กรรมการกิจการสัมพันธ์  หรือให้  หรือตกลงจะให้เงิน  หรือทรัพย์สินแก่ลูกจ้าง
หรือเจ้าหน้าที่ของสหภาพแรงงาน  เพื่อมิให้สมัคร  หรือรับสมัครลูกจ้างเป็นสมาชิก  หรือเพื่อให้ออกจาก
การเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงาน
        (3)  ขัดขวางการดำเนินการของสหภาพแรงงาน  หรือสหพันธ์แรงงาน  หรือขัดขวางการใช้สิทธิ
ของลูกจ้างในการเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน  หรือ
        (4)  เข้าแทรกแซงการดำเนินการของสหภาพแรงงาน  หรือสหพันธ์แรงงานโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

        มาตรา 36  ห้ามมิให้ผู้ใด
        (1)  บังคับหรือขู่เข็ญ  ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม  ให้ลูกจ้างต้องเป็นหรือห้ามไม่ให้เป็นสมาชิก
สหภาพแรงงาน  หรือต้องออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานหรือ
        (2)  กระทำการใด ๆ  อันอาจเป็นผลให้ฝ่ายนายจ้างฝ่าฝืนมาตรา 35

        มาตรา 37  ในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามมาตรา 25 วรรคหนึ่ง   หรือคำชี้ขาด
ตามมาตรา 32  มีผลใช้บังคับ  ห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้างหรือโยกย้ายหน้าที่การงานของกรรมการ  อนุกรรมการ
หรือสมาชิกสหภาพแรงงาน  ซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้อง  เว้นแต่มีการยุบเลิกรัฐวิสาหกิจหรืองานส่วนหนึ่ง
ส่วนใดของรัฐวิสาหกิจหรือบุคคลดังกล่าวได้กระทำการดังต่อไปนี้
        (1)  ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง
        (2)  จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย
        (3)  ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน หรือระเบียบ  หรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้าง
โดยนายจ้างได้ว่ากล่าวตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว  และยังไม่เกินหนึ่งปีนับแต่วันที่ลูกจ้างได้รับทราบ
หนังสือเตือนนั้น  ทั้งนี้  ข้อบังคับ  ระเบียบ  หรือคำสั่งนั้น  ต้องมิได้ออกเพื่อขัดขวางมิให้บุคคลดังกล่าว
ดำเนินการเกี่ยวกับข้อเรียกร้อง  เว้นแต่กรณีที่ร้ายแรง  นายจ้างไม่จำต้องตักเตือน
        (4)   ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกัน  โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
        (5)  กระทำการใด ๆ  เป็นการยุยง  สนับสนุน  หรือชักชวนให้มีการฝ่าฝืนข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพ
การจ้างหรือคำชี้ขาด

        มาตรา 38  ให้ผู้เสียหายเนื่องจากการฝ่าฝืนมาตรา 35  หรือมาตรา 37  มีสิทธิยื่นคำร้องได้
ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับความเสียหายกล่าวหาผู้ฝ่าฝืนต่อคณะกรรมการ  เพื่อพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด
        ให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดและออกคำสั่งภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำร้อง  และให้
ฝ่ายนายจ้างและลูกจ้างปฏิบัติตามคำชี้ขาดนั้น  ในกรณีนี้   ให้คณะกรรมการมีอำนาจออกคำสั่งให้นายจ้าง
รับลูกจ้างกลับเข้าทำงาน  หรือให้จ่ายค่าเสียหาย  หรือให้ผู้ฝ่าฝืนปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใด
ตามที่เห็นสมควรได้

        มาตรา 39  ในกรณีที่นายทะเบียนเห็นว่า  กรรมการของสหภาพแรงงานหรือสหพันธ์แรงงาน
ผู้ใดดำเนินการผิดวัตถุประสงค์ของสหภาพแรงงาน  หรือสหพันธ์แรงงาน  แล้วแต่กรณี  และการดำเนินการนั้น
เป็นภยันตรายต่อความสงบสุขของประชาชน  หรือความมั่นคงของประเทศ  ให้ส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
เพื่อพิจารณาวินิจฉัยโดยมิชักช้า
        ให้คณะกรรมการวินิจฉัยและออกคำสั่งภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับคำขอและให้ผู้ฝ่าฝืนปฏิบัติตาม
คำสั่งนั้น

หมวด 4
สหภาพแรงงาน
        มาตรา 40  สหภาพแรงงานจะมีขึ้นได้  ก็แต่โดยอาศัยอำนาจตามบทแห่งพระราชบัญญัตินี้
        สหภาพแรงงานต้องมีวัตถุประสงค์เพื่อ
        (1)  ส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างลูกจ้างกับนายจ้าง  และระหว่างลูกจ้างด้วยกัน
        (2)  พิจารณาช่วยเหลือสมาชิกตามคำร้องทุกข์
        (3)  แสวงหาและคุ้มครองผลประโยชน์เกี่ยวกับสภาพการจ้างของลูกจ้าง
        (4)  ดำเนินการและให้ความร่วมมือเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ  และรักษาผลประโยชน์ของ
รัฐวิสาหกิจ
        ให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งมีสหภาพแรงงานได้เพียงสหภาพแรงงานเดียว

        มาตรา 41  บุคคลดังต่อไปนี้  มีสิทธิรวมตัวกันจัดตั้งสหภาพแรงงานได้
        (1)  เป็นลูกจ้างในรัฐวิสาหกิจเดียวกันที่มิใช่ฝ่ายบริหาร
        (2)  บรรลุนิติภาวะแล้ว  และ
        (3)  มีสัญชาติไทย

        มาตรา 42  สหภาพแรงงานจะตั้งขึ้นได้ต้องมีสมาชิกไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้าของลูกจ้างทั้งหมด
แต่ไม่รวมถึงลูกจ้างซึ่งทำงานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราว  เป็นการจร  เป็นไปตามฤดูกาล  หรือเป็นงานตาม
โครงการ  ต้องมีข้อบังคับ  และต้องจดทะเบียนต่อนายทะเบียน  และเมื่อได้จดทะเบียนแล้ว  ให้สหภาพแรงงาน
เป็นนิติบุคคล

        มาตรา 43  การขอจดทะเบียนสหภาพแรงงาน  ให้ลูกจ้างมีสิทธิจัดตั้งสหภาพแรงงานจำนวน
ไม่น้อยกว่าสิบคน  เป็นผู้เริ่มก่อการ  ยื่นคำขอเป็นหนังสือต่อนายทะเบียน  พร้อมด้วยร่างข้อบังคับของ
สหภาพแรงงานอย่างน้อยสามฉบับ  บัญชีรายชื่อและลายมือชื่อของผู้แสดงความจำนงเข้าเป็นสมาชิก
สหภาพแรงงานไม่น้อยกว่าร้อยละสิบของลูกจ้างทั้งหมด  แต่ไม่รวมถึงลูกจ้างซึ่งทำงานอันมีลักษณะเป็น
ครั้งคราว  เป็นการจร  เป็นไปตามฤดูกาล  หรือเป็นงานตามโครงการ
        คำขอและบัญชีรายชื่อให้เป็นไปตามแบบที่อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกำหนด
        ลูกจ้างคนหนึ่งจะเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานได้เพียงแห่งเดียว
        เมื่อนายทะเบียนรับคำขอจดทะเบียนสหภาพแรงงานแล้ว  ให้นายทะเบียนปิดประกาศโดยเปิดเผย
ณ สถานที่ทำงานของลูกจ้าง  เพื่อให้ลูกจ้างทั้งหมดทราบ

        มาตรา 44  ข้อบังคับสหภาพแรงงาน  ต้องมีข้อความดังต่อไปนี้
        (1)  ชื่อ  ซึ่งต้องมีคำว่า "สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ"  กำกับไว้หน้าชื่อนั้นด้วย
        (2)  วัตถุประสงค์
        (3)  ที่ตั้งสำนักงาน
        (4)  วิธีรับสมาชิกและการขาดจากสมาชิกภาพ
        (5)  อัตราเงินค่าสมัครและค่าบำรุงและวิธีการชำระเงิน
        (6)  ข้อกำหนดเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของสมาชิก
        (7)  ข้อกำหนดเกี่ยวกับคณะกรรมการ  ได้แก่  จำนวนกรรมการ  การเลือกตั้งกรรมการ  วาระ
ของการเป็นกรรมการ  การพ้นจากตำแหน่งของกรรมการ  และการประชุมของคณะกรรมการ
        (8)  ข้อกำหนดเกี่ยวกับการประชุมใหญ่
        (9)  ข้อกำหนดเกี่ยวกับการบริหารสหภาพแรงงาน
        (10)  ข้อกำหนดเกี่ยวกับการใช้จ่าย  การเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินอื่น  ตลอดจนการทำบัญชี
และการตรวจบัญชี
        ข้อบังคับตามวรรคหนึ่ง  ต้องมีสาระที่สามารถเอื้ออำนวยให้การดำเนินงานของสหภาพแรงงาน
เป็นไปโดยเกิดความเป็นธรรม  และรักษาผลประโยชน์ของสมาชิกและลูกจ้างในรัฐวิสาหกิจ  และต้องไม่มีสาระ
เป็นการกีดกันการเข้าเป็นสมาชิกหรือต้องขาดจากสมาชิกภาพโดยไม่มีเหตุอันควร

        มาตรา 45  เมื่อนายทะเบียนได้รับคำขอจดทะเบียนสหภาพแรงงานในรัฐวิสาหกิจใดและ
ตรวจสอบแล้วเห็นว่า  วัตถุประสงค์ถูกต้องตามขอบเขตของมาตรา 40  และไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย
หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน  ผู้ยื่นคำขอมีคุณสมบัติถูกต้องตามมาตรา 41  คำขอดังกล่าว  มีข้อความ
ตลอดจนเอกสารหลักฐานครบถ้วนถูกต้องตามมาตรา 43  และข้อบังคับถูกต้องตามมาตรา 44  มีรายชื่อ
และลายมือชื่อผู้แสดงความจำนงเข้าเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้า
ของลูกจ้างทั้งหมด  แต่ไม่รวมถึงลูกจ้างซึ่งทำงานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราว  เป็นการจร  เป็นไปตามฤดูกาล
หรือเป็นงานตามโครงการ  และยังไม่มีการจดทะเบียนสหภาพแรงงานขึ้นในรัฐวิสาหกิจนั้น  ให้นายทะเบียน
รับจดทะเบียนและออกใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนสหภาพแรงงาน  ให้แก่สหภาพแรงงานนั้น
        คำขอจดทะเบียนรายใด  มีข้อความตลอดจนเอกสารหลักฐานไม่ครบถ้วนถูกต้องอย่างใดอย่างหนึ่ง
หรือมีผู้แสดงความจำนงเข้าเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานไม่ถึงร้อยละยี่สิบห้าของลูกจ้างทั้งหมดตามวรรคหนึ่ง
ให้ผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนรายดังกล่าวดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมให้ถูกต้องครบถ้วนภายในกำหนดเวลาหนึ่งปี
นับแต่วันที่นายทะเบียนมีหนังสือแจ้งให้ทราบ  ถ้าผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนไม่ดำเนินการดังกล่าวให้แล้วเสร็จ
ภายในกำหนดเวลานั้น  ให้ถือว่าคำขอจดทะเบียนสหภาพแรงงานรายดังกล่าวเป็นอันตกไป

        มาตรา 46  ในกรณีที่มีผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนสหภาพแรงงานในรัฐวิสาหกิจใดเกินหนึ่งราย
ถ้าปรากฎว่าคำขอจดทะเบียนรายใดมีข้อความและเอกสารหลักฐานครบถ้วนถูกต้อง  ตลอดจนได้แจ้ง
จำนวนผู้แสดงความจำนงเข้าเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานถึงร้อยละยี่สิบห้าของลูกจ้างทั้งหมดตามมาตรา 45
เป็นลำดับแรก  ให้นายทะเบียนรับจดทะเบียนสหภาพแรงงานนั้น  แต่ถ้ามีคำขอที่มีลักษณะครบถ้วนดังกล่าว
เกินหนึ่งราย  ให้นายทะเบียนดำเนินการให้ผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนแต่ละรายมาร่วมพิจารณาทำความตกลง
เพื่อรวมเป็นคำขอเดียวกัน  ถ้าไม่สามารถตกลงกันได้  ให้รับจดทะเบียนสหภาพแรงงานที่มีจำนวนผู้แสดง
ความจำนงเข้าเป็นสมาชิกมากที่สุด  ถ้ายังปรากฏว่ามีคำขอจดทะเบียนสหภาพแรงงาน  โดยมีจำนวนรายชื่อ
ผู้แสดงความจำนงเข้าเป็นสมาชิกมากที่สุดเท่ากันเกินหนึ่งราย  ให้นายทะเบียนดำเนินการจับสลากโดยเปิดเผย
ระหว่างผู้ยื่นคำขอดังกล่าวและรับจดทะเบียนสหภาพแรงงานรายที่จับสลากได้

        มาตรา 47  ผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งไม่รับจดทะเบียนรัฐมนตรี  โดยทำเป็น
หนังสือยื่นต่อรัฐมนตรีภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งดังกล่าว
        ให้รัฐมนตรีวินิจฉัยอุทธรณ์  และแจ้งให้ผู้อุทธรณ์ทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือ
อุทธรณ์
        คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของรัฐมนตรีให้เป็นที่สุด

        มาตรา 48  เมื่อได้จดทะเบียนแล้ว  ให้นายทะเบียนประกาศการจดทะเบียนสหภาพแรงงานใน
ราชกิจจานุเบกษา

        มาตรา 49  ให้ผู้เริ่มก่อการจัดตั้งสหภาพแรงงานจัดให้มีการประชุมใหญ่สามัญครั้งแรกภายใน
หนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่จดทะเบียน  เพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการสหภาพแรงงานและมอบหมายการทั้งปวง
ให้แก่คณะกรรมการสหภาพแรงงานเลือกตั้งผู้สอบบัญชี  และอนุมัติร่างข้อบังคับที่ได้ยื่นต่อนายทะเบียน
ตามมาตรา 45
        เมื่อที่ประชุมใหญ่ได้เลือกตั้งคณะกรรมการสหภาพแรงงาน  และอนุมัติร่างข้อบังคับแล้ว  ให้นำ
สำเนาข้อบังคับและรายชื่อ  ที่อยู่  อาชีพ  หรือวิชาชีพของกรรมการสหภาพแรงงานไปจดทะเบียนภายใน
สิบสี่วันนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่ลงมติ
        มาตรา 50  การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของสหภาพแรงงานและการเปลี่ยนแปลงกรรมการ
สหภาพแรงงาน  จะกระทำได้โดยมติของที่ประชุมใหญ่และต้องนำไปจดทะเบียนภายในสิบสี่วันนับแต่วันที่
ที่ประชุมใหญ่ลงมติ
        การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับและการเปลี่ยนแปลงกรรมการสหภาพแรงงานตามวรรคหนึ่ง  จะมีผล
ใช้บังคับต่อเมื่อนายทะเบียนได้รับจดทะเบียนแล้ว
        ให้นำมาตรา 45  มาใช้บังคับแก่การขอแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับและการเปลี่ยนแปลงกรรมการ
สหภาพแรงงานโดยอนุโลม

        มาตรา 51  สมาชิกของสหภาพแรงงานในรัฐวิสาหกิจใดจะต้องเป็นลูกจ้างในรัฐวิสาหกิจนั้น
ตลอดเวลาที่ยังเป็นสมาชิก
        ห้ามมิให้ฝ่ายบริหารเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน

        มาตรา 52  สมาชิกของสหภาพแรงงานมีสิทธิขอตรวจสอบทะเบียนสมาชิก  เอกสาร  หรือบัญชี
เพื่อทราบการดำเนินกิจการของสหภาพแรงงานได้ในเวลาเปิดทำการ
        ในการขอตรวจสอบตามวรรคหนึ่ง  เจ้าหน้าที่ของสหภาพแรงงานต้องให้ความสะดวกตามสมควร

        มาตรา 53  สมาชิกภาพของสมาชิกสหภาพแรงงานสิ้นสุดลง  เมื่อ
        (1)  ตาย
        (2)  ลาออก
        (3)  ที่ประชุมใหญ่ให้ออก  เพราะมีเหตุตามที่กำหนดในข้อบังคับของสหภาพแรงงาน
        (4)  ขาดคุณสมบัติตามมาตรา 51

        มาตรา 54  เพื่อประโยชน์ของสมาชิกสหภาพแรงงาน  ให้สหภาพแรงงานมีสิทธิหน้าที่ดังต่อไปนี้
        (1)  ยื่นข้อเรียกร้องต่อฝ่ายนายจ้างเกี่ยวกับสภาพการจ้างแทนสมาชิก
        (2)  ยื่นคำร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์เพื่อพิจารณาตามมาตรา 23 ( 4 )
        (3)  ตั้งผู้แทนเข้าร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์
        (4)  จัดให้มีการให้บริการเพื่อสวัสดิการของสมาชิก  หรือจัดสรรเงินหรือทรัพย์สินเพื่อสาธารณ
ประโยชน์  ทั้งนี้  ตามที่ที่ประชุมใหญ่เห็นสมควร
        (5)  เรียกเก็บเงินค่าสมัครเป็นสมาชิกและเงินค่าบำรุงตามอัตราที่กำหนดในข้อบังคับของสหภาพ
แรงงาน
        (6)  ดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 40

มาตรา 55  ให้สหภาพแรงงานมีคณะกรรมการสหภาพแรงงานเป็นผู้ดำเนินกิจการและเป็นผู้แทน
ของสหภาพแรงงานในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก  เพื่อการนี้คณะกรรมการสหภาพแรงงานจะมอบหมาย
ให้กรรมการคนหนึ่งหรือหลายคนทำแทนก็ได้
        คณะกรรมการสหภาพแรงงานอาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการสหภาพแรงงานเพื่อปฏิบัติงานตามที่
มอบหมายได้
        คณะกรรมการสหภาพแรงงานประกอบด้วย  ประธานสหภาพแรงงานเป็นประธานกรรมการและมี
กรรมการอื่นตามที่กำหนดในข้อบังคับ

        มาตรา 56  กรรมการสหภาพแรงงานหรืออนุกรรมการสหภาพแรงงานตามมาตรา 55  ต้องเป็น
สมาชิกของสหภาพแรงงานนั้น
        กรรมการสหภาพแรงงานซึ่งนายทะเบียนสั่งให้ออกจากตำแหน่งตามมาตรา 63  จะดำรงตำแหน่ง
กรรมการสหภาพแรงงานใหม่ได้  ต่อเมื่อพ้นกำหนดเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่นายทะเบียนสั่งให้ออกจาก
ตำแหน่ง

        มาตรา 57  สหภาพแรงงานจะกระทำการดังต่อไปนี้ได้ก็แต่โดยมติของที่ประชุมใหญ่
        (1)  แก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับ
        (2)  เลือกตั้งกรรมการสหภาพแรงงาน  เลือกตั้งผู้สอบบัญชี  รับรองงบดุล  รายงานประจำปี
และงบประมาณ
        (3)  จัดให้มีการให้บริการเพื่อสวัสดิการของสมาชิก  หรือจัดสรรเงินหรือทรัพย์สินเพื่อสาธารณ
ประโยชน์
        (4)  ร่วมจัดตั้งหรือเข้าเป็นสมาชิกสหพันธ์แรงงาน
        (5)  รับเงินช่วยเหลือจากบุคคลซึ่งไม่มีสัญชาติไทย  หรือคนต่างด้าวตามกฎหมายว่าด้วยการ
ประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว
        (6)  เลิกสหภาพแรงงาน

        มาตรา 58  เมื่อสหภาพแรงงานปฏิบัติการดังต่อไปนี้  เพื่อประโยชน์ของสมาชิกสหภาพแรงงาน
ให้สหภาพแรงงาน  กรรมการสหภาพแรงงาน  อนุกรรมการสหภาพแรงงาน  และเจ้าหน้าที่ของสหภาพแรงงาน
ได้รับการยกเว้นไม่ต้องถูกกล่าวหา  หรือฟ้องร้องทางอาญาหรือทางแพ่ง
        (1)  เข้าร่วมเจรจาทำความตกลงกับนายจ้าง  เพื่อเรียกร้องเกี่ยวกับสภาพการจ้าง
        (2)  ชี้แจงหรือโฆษณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข้อเรียกร้อง  หรือข้อพิพาทแรงงานหรือการดำเนินงาน
ของสหภาพแรงงาน
        ทั้งนี้  เว้นแต่เป็นความผิดทางอาญาในลักษณะความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อ
ประชาชน  เกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย  เกี่ยวกับเสรีภาพ  และชื่อเสียง  เกี่ยวกับทรัพย์และความผิดในทางแพ่ง
ที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดทางอาญาในลักษณะดังกล่าว

        มาตรา 59  การให้กรรมการสหภาพแรงงานไปดำเนินงานสหภาพแรงงานหรือไปร่วมการประชุม
สหภาพแรงงานหรือสัมมนาใด ๆ  โดยถือเสมือนว่าการไปดำเนินงานดังกล่าวเป็นการทำงานให้กับนายจ้าง
ให้เป็นไปตามที่สหภาพแรงงานและนายจ้างจะได้ตกลงกัน
        ลูกจ้างซึ่งเป็นกรรมการของสหภาพแรงงานมีสิทธิลาไปร่วมประชุมสหภาพแรงงานหรือร่วมการประชุม
หรือสัมมนาอื่นได้  ทั้งนี้  ให้สหภาพแรงงานแจ้งให้นายจ้างทราบล่วงหน้า  และให้ถือว่าวันเวลาที่ลูกจ้าง
ไปดำเนินงานดังกล่าวเป็นวันทำงานให้กับนายจ้าง

        มาตรา 60  สหภาพแรงงานต้องจัดให้มีทะเบียนสมาชิกตามแบบที่อธิบดีกรมสวัสดิการและ
คุ้มครองแรงงานกำหนด  และเก็บรักษาไว้ที่สำนักงานพร้อมที่จะให้ตรวจสอบได้ในเวลาทำการ
        ให้สหภาพแรงงานประกาศวันและเวลาเปิดทำการไว้ที่สำนักงานของสหภาพแรงงาน

        มาตรา 61  สหภาพแรงงานต้องจัดให้มีการตรวจสอบบัญชีและต้องเสนองบดุลพร้อมด้วยรายงาน
การสอบบัญชีของผู้สอบบัญชีต่อที่ประชุมใหญ่
        เมื่อที่ประชุมใหญ่รับรองงบดุลและรายงานการสอบบัญชีแล้ว  ให้ส่งสำเนาหนึ่งชุดให้แก่นายทะเบียน
ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่มีมติรับรอง

        มาตรา 62  ให้นายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายมีอำนาจสั่งให้
นายจ้าง  กรรมการของสหภาพแรงงาน  หรือสมาชิกของสหภาพแรงงาน  กระทำการหรืองดเว้นการกระทำใด ๆ
เพื่อให้เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้  หรือที่กำหนดไว้ในกฎหมาย  หรือข้อบังคับของสหภาพ
แรงงานแล้วแต่กรณี  และให้มีอำนาจดังต่อไปนี้
        (1)  เข้าไปในรัฐวิสาหกิจหรือสำนักงานของสหภาพแรงงานในเวลาทำการ  เพื่อสอบข้อเท็จจริง
หรือตรวจสอบกิจการของสหภาพแรงงาน
        (2)  สั่งให้ฝ่ายนายจ้าง  กรรมการสหภาพแรงงาน  อนุกรรมการสหภาพแรงงาน  หรือเจ้าหน้าที่
ของสหภาพแรงงาน  ส่งหรือแสดงเอกสาร  หรือบัญชีของสหภาพแรงงาน  เพื่อประกอบการพิจารณากรณี
ที่มีปัญหาเกิดขึ้น
        (3)  สอบถามบุคคลใน  ( 2 )  หรือเรียกบุคคลดังกล่าวมาเพื่อสอบถามหรือให้ชี้แจงข้อเท็จจริง
เกี่ยวกับการดำเนินกิจการของสหภาพแรงงาน

        มาตรา 63  นายทะเบียนมีอำนาจสั่งให้กรรมการสหภาพแรงงานผู้ใดผู้หนึ่งหรือคณะกรรมการ
สหภาพแรงงาน  ออกจากตำแหน่งได้  เมื่อปรากฏว่า
        (1)  กระทำการอันมิชอบด้วยกฎหมายซึ่งเป็นการขัดขวางการปฏิบัติงานตามหน้าที่ของคณะกรรมการ
คณะอนุกรรมการ  นายทะเบียน  หรือพนักงานเจ้าหน้าที่
        (2)  ฝ่าฝืนมาตรา 57 ( 5 )
        (3)  ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายทะเบียน  หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ซึ่งนายทะเบียน
มอบหมายตามมาตรา 62
        (4)  ดำเนินการไม่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของสหภาพแรงงานอันเป็นการขัดต่อกฎหมาย
หรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน  หรืออาจจะเป็นภัยต่อเศรษฐกิจหรือความมั่นคง
ของประเทศ  หรือ
        (5)  ให้หรือยินยอมให้ผู้ใดผู้หนึ่งซึ่งมิใช่กรรมการสหภาพแรงงานเป็นผู้ดำเนินกิจการของสหภาพ
แรงงาน
        คำสั่งตามวรรคหนึ่งให้ทำเป็นหนังสือและแจ้งให้ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องและสหภาพแรงงานทราบโดยมิชักช้า

        มาตรา 64  ผู้ซึ่งได้รับคำสั่งให้ออกจากตำแหน่งกรรมการสหภาพแรงงานตามมาตรา 63  มีสิทธิ
อุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อรัฐมนตรีโดยทำเป็นหนังสือภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำสั่ง
        ให้รัฐมนตรีวินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์และแจ้งให้ผู้อุทธรณ์ทราบภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือ
อุทธรณ์  คำวินิจฉัยชี้ขาดของรัฐมนตรีให้เป็นที่สุด

        มาตรา 65  สหภาพแรงงานย่อมเลิกด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งดังต่อไปนี้
(1)     ถ้ามีข้อบังคับของสหภาพแรงงานกำหนดให้เลิกในกรณีใด  เมื่อมีกรณีนั้น
(2)     ที่ประชุมใหญ่มีมติให้เลิก
(3)     ล้มละลาย
(4)     นายทะเบียนมีคำสั่งให้เลิกตามมาตรา 66

        มาตรา 66  นายทะเบียนมีคำสั่งให้เลิกสหภาพแรงงานได้ในกรณีดังต่อไปนี้
        (1)  เมื่อนายทะเบียนตรวจสอบและพบภายหลังว่า  การรับจดทะเบียนและออกใบสำคัญแสดง
การจดทะเบียนสหภาพแรงงานแก่ผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนนั้นไม่เป็นไปตามมาตรา 45  หรือมาตรา 46
        (2)  เมื่อปรากฏว่าการดำเนินการของสหภาพแรงงานขัดต่อวัตถุประสงค์  ขัดต่อกฎหมาย  หรือเป็นภัย
ต่อเศรษฐกิจ  หรือความมั่นคงของประเทศ  หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
        (3)  เมื่อนายทะเบียนมีคำสั่งให้เลือกตั้งกรรมการขึ้นใหม่ทั้งคณะ  และไม่ดำเนินการเลือกตั้งภายใน
ระยะเวลาที่นายทะเบียนกำหนด  หรือภายในระยะเวลาที่นายทะเบียนขยายระยะเวลาให้จนสิ้นระยะเวลา
ดังกล่าว
        (4)  เมื่อสหภาพแรงงานไม่ดำเนินกิจการติดต่อกันเป็นเวลาเกินสองปี  หรือ
        (5)  เมื่อมีจำนวนสมาชิกเหลือน้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้าของลูกจ้างทั้งหมดแต่ไม่รวมถึงลูกจ้าง
ซึ่งเป็นฝ่ายบริหารหรือทำงานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราว  เป็นการจร  เป็นไปตามฤดูกาล  หรือเป็นงานตาม
โครงการ
        เมื่อนายทะเบียนมีคำสั่งให้เลิกสหภาพแรงงานใด  ให้แจ้งคำสั่งเป็นหนังสือให้สหภาพแรงงานนั้นทราบ
โดยมิชักช้า

        มาตรา 67  คำสั่งให้เลิกสหภาพแรงงานตามมาตรา 66  กรรมการเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการ
ทั้งหมดซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันที่ถูกสั่งให้เลิก  มีสิทธิเข้าชื่อกันอุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อรัฐมนตรี  โดยทำเป็น
หนังสือยื่นต่อนายทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง
        การอุทธรณ์คำสั่งต่อรัฐมนตรีตามวรรคหนึ่ง  ไม่เป็นเหตุทุเลาการบังคับตามคำสั่งของนายทะเบียน
        ให้รัฐมนตรีวินิจฉัยอุทธรณ์และแจ้งให้ผู้อุทธรณ์ทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่รับอุทธรณ์
คำวินิจฉัยชี้ขาดของรัฐมนตรีให้เป็นที่สุด
        คำสั่งเลิกสหภาพแรงงานให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา  เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการยื่นอุทธรณ์
หรือเมื่อรัฐมนตรีวินิจฉัยชี้ขาด แล้วแต่กรณี

        มาตรา 68  เมื่อสหภาพแรงงานต้องเลิกตามมาตรา 65  ให้แต่งตั้งผู้ชำระบัญชีและให้นำ
บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยการชำระบัญชีห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน
ห้างหุ้นส่วนจำกัด  และบริษัทจำกัด  มาใช้บังคับแก่การชำระบัญชีสหภาพแรงงานโดยอนุโลม

        มาตรา 69  เมื่อชำระบัญชีแล้ว  ถ้ามีทรัพย์สินเหลืออยู่  ห้ามมิให้นำไปแบ่งให้แก่สมาชิกของ
สหภาพแรงงาน  แต่ให้โอนทรัพย์สินนั้นไปให้แก่สหภาพแรงงานอื่นตามที่ได้ระบุไว้ในข้อบังคับว่าด้วยวิธีการ
จัดการของสหภาพแรงงาน  หรือตามมติของที่ประชุมใหญ่
        ในกรณีที่ในข้อบังคับหรือที่ประชุมใหญ่  มิได้ระบุให้สหภาพแรงงานใดเป็นผู้รับทรัพย์สินที่เหลือนั้น
ให้ผู้ชำระบัญชีมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่มูลนิธิหรือสมาคมที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการสงเคราะห์ช่วยเหลือ
หรือส่งเสริมสวัสดิการของผู้ใช้แรงงาน

หมวด 5
สหพันธ์แรงงาน
        มาตรา 70  สหภาพแรงงานตั้งแต่สิบสหภาพแรงงานขึ้นไป  อาจรวมกันจัดตั้งสหพันธ์แรงงานได้
เพื่อปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์เกี่ยวกับสภาพการจ้างและเพื่อส่งเสริมการศึกษาและส่งเสริมความสัมพันธ์
อันดีในรัฐวิสาหกิจ
        สหพันธ์แรงงานต้องมีข้อบังคับและต้องจดทะเบียนต่อนายทะเบียน  เมื่อได้จดทะเบียนแล้วให้สหพันธ์
แรงงานเป็นนิติบุคคล

        มาตรา 71  ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยสหภาพแรงงานในหมวด 4  มาใช้บังคับแก่สหพันธ์แรงงาน
โดยอนุโลม

        มาตรา 72  สหพันธ์แรงงานอาจเข้าเป็นสมาชิกสภาองค์การลูกจ้างตามกฎหมายว่าด้วยแรงงาน
สัมพันธ์ได้

หมวด 6
บทกำหนดโทษ
        มาตรา 73  ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 13  วรรคสอง   หรือมาตรา 24  ต้องระวางโทษ
จำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน  หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ

        มาตรา 74  ผู้ใดไม่อำนวยความสะดวก  ไม่ตอบหนังสือสอบถาม  ไม่ชี้แจงข้อเท็จจริง  หรือ
ไม่ส่งสิ่งของหรือเอกสารที่เกี่ยวข้องแก่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการตามมาตรา 16  หรือฝ่าฝืน
หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายตามมาตรา 62
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน  หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ

        มาตรา 75  ผู้แทนฝ่ายนายจ้างหรือผู้แทนฝ่ายสหภาพแรงงานตามมาตรา 25  หรือที่ปรึกษา
ฝ่ายนายจ้างหรือฝ่ายสหภาพแรงงานตามมาตรา 26  ผู้ใดรับหรือยอมจะรับเงินหรือทรัพย์สินจากผู้ใดผู้หนึ่ง
เพื่อกระทำการอันเป็นเหตุให้รัฐวิสาหกิจหรือสหภาพแรงงานต้องเสียผลประโยชน์ที่ควรได้  ต้องระวางโทษ
จำคุกไม่เกินห้าปี  หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ

        มาตรา 76  ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงตามมาตรา 27  วรรคสอง  หรือฝ่าฝืน
มาตรา 29  วรรคสอง  หรือไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการตามมาตรา 32  ต้องระวางโทษ
จำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน  หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ

        มาตรา 77  ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 33  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี  หรือปรับไม่เกิน
สองหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ
        ผู้ใดยุยงปลุกปั่นเพื่อให้มีการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี
หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ

        มาตรา 78  ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการตามมาตรา 39  วรรคสอง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี  หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ

        มาตรา 79  ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 34  หรือมาตรา 36  หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการ
ตามมาตรา 38  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน  หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ

        มาตรา 80  ผู้ใดเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานโดยรู้อยู่ว่าสหภาพแรงงานนั้นยังไม่ได้จดทะเบียน
ตามมาตรา 45  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน  หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ
        ผู้ใดเป็นผู้ดำเนินการสหภาพแรงงานที่ยังไม่ได้จดทะเบียน  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี
หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ

        มาตรา 81  ผู้เริ่มก่อการจัดตั้งสหภาพแรงงานผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 49  หรือกรรมการสหภาพ
แรงงานผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 50  ต้องระวางโทษปรับไม่เกินวันละห้าสิบบาทตลอดระยะเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่

        มาตรา 82  สหภาพแรงงานใดรับบุคคลเข้าเป็นสมาชิกโดยฝ่าฝืนมาตรา 51  ต้องระวางโทษ
ปรับไม่เกินห้าพันบาท

        มาตรา 83  สหภาพแรงงานใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 60  หรือมาตรา  61  ต้องระวางโทษ
ปรับไม่เกินสองพันบาท
        กรรมการสหภาพแรงงานผู้ใดรู้เห็นเป็นใจให้สหภาพแรงงานกระทำการตามวรรคหนึ่ง  ต้องระวางโทษ
จำคุกไม่เกินสามเดือน  หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ

        มาตรา 84  ผู้ใดเป็นสมาชิกสหพันธ์แรงงานโดยรู้อยู่ว่าสหพันธ์แรงงานนั้นยังไม่ได้จดทะเบียน
ตามมาตรา 70  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน  หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ
        ผู้ใดดำเนินการสหพันธ์แรงงานที่ยังไม่ได้จดทะเบียน  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี  หรือปรับ
ไม่เกินสองหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ

        มาตรา 85  สหพันธ์แรงงานใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 71  ประกอบด้วยมาตรา 60
หรือมาตรา 61  ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองพันบาท
     กรรมการสหพันธ์แรงงานผู้ใดรู้เห็นเป็นใจให้สหพันธ์แรงงานเข้ากระทำการตามวรรคหนึ่ง  ต้องระวางโทษ
จำคุกไม่เกินสามเดือน  หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ

        มาตรา 86  ผู้เริ่มก่อการจัดตั้งสหพันธ์แรงงานผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 71  ประกอบด้วย
มาตรา 49  หรือกรรมการสหพันธ์แรงงานผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา  71  ประกอบด้วยมาตรา  50
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินวันละห้าสิบบาทตลอดระยะเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่

        มาตรา 87  สหพันธ์แรงงานใดรับบุคคลเข้าเป็นสมาชิกโดยฝ่าฝืนมาตรา 71  ประกอบด้วย
มาตรา 51  ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท

        มาตรา 88  ผู้ใดใช้คำว่า  "สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ"  หรือ  "สหพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจ"
หรืออักษรต่างประเทศซึ่งมีความหมายทำนองเดียวกัน  ประกอบกับชื่อในดวงตรา  ป้ายชื่อ  จดหมาย
ใบแจ้งความ  หรือเอกสารอย่างอื่นเกี่ยวกับกิจการธุรกิจโดยมิได้เป็นสหภาพแรงงานหรือสหพันธ์แรงงาน
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาทและปรับอีกเป็นรายวันไม่เกินวันละห้าร้อยบาทจนกว่าจะเลิกใช้

        มาตรา 89  เมื่อสหภาพแรงงานหรือสหพันธ์แรงงานได้เลิกตามพระราชบัญญัตินี้  กรรมการ
อนุกรรมการ  หรือสมาชิกของสหภาพแรงงาน  หรือสหพันธ์แรงงานผู้ใดขัดขวางการดำเนินการของ
ผู้ชำระบัญชี  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน  หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ

        มาตรา 90  ผู้ใดยังคงดำเนินกิจการของสหภาพแรงงานหรือสหพันธ์แรงงานซึ่งได้เลิกไปแล้ว
ตามพระราชบัญญัตินี้  เว้นแต่การชำระบัญชีของสหภาพแรงงานหรือสหพันธ์แรงงาน  ต้องระวางโทษ
จำคุกไม่เกินสามเดือน  หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ

        มาตรา 91  บรรดาความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ที่มีโทษปรับสถานเดียวหรือมีโทษปรับ
หรือโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน  หรือมีโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  ให้นายทะเบียน
มีอำนาจเปรียบเทียบได้
        ภายใต้บังคับของบทบัญญัติตามวรรคหนึ่งในการสอบสวนถ้าพนักงานสอบสวนพบว่าบุคคลใด
กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้  และบุคคลนั้นยินยอมให้เปรียบเทียบให้พนักงานสอบสวนส่งเรื่อง
มายังนายทะเบียนภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ผู้นั้นแสดงความยินยอมให้เปรียบเทียบ
        เมื่อผู้กระทำผิดได้ชำระเงินค่าปรับตามจำนวนที่เปรียบเทียบภายในสามสิบวันแล้วให้ถือว่าคดี
เลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
        ถ้าผู้กระทำผิดไม่ยินยอมให้เปรียบเทียบ  หรือเมื่อยินยอมแล้วไม่ชำระเงินค่าปรับภายในกำหนดเวลา
ตามวรรคสามให้ดำเนินคดีต่อไปได้
บทเฉพาะกาล

        มาตรา 92  ให้ถือว่าสมาคมพนักงานรัฐวิสาหกิจซึ่งได้จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติ
พนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์  พ.ศ. 2534  เป็นสหภาพแรงงานตามพระราชบัญญัตินี้  และมีสิทธิหน้าที่
ดำเนินการได้เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้
        เมื่อครบกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ  ถ้าสหภาพแรงงานตามวรรคหนึ่ง
แห่งใดมีสมาชิกไม่ครบตามที่กำหนดในมาตรา 42  ให้ถือว่าสหภาพแรงงานนั้นเป็นอันสิ้นสุดและให้นำ
บทบัญญัติตามมาตรา 68  และมาตรา 69  มาใช้บังคับโดยอนุโลม

        มาตรา 93  เมื่อครบกำหนดตามมาตรา 92  วรรคสอง  ให้สหภาพแรงงานตามมาตรา 92
วรรคหนึ่ง  ที่มีสมาชิกครบตามที่กำหนดในมาตรา 42  จัดให้มีการเลือกตั้งกรรมการสหภาพแรงงาน
ขึ้นใหม่โดยมิชักช้า
        ให้กรรมการสมาคมพนักงานรัฐวิสาหกิจซึ่งเป็นกรรมการสหภาพแรงงานตามมาตรา 92  พ้นจาก
ตำแหน่ง  เมื่อจัดให้มีการเลือกตั้งกรรมการสหภาพแรงงานขึ้นใหม่แล้ว  หรือเมื่อพ้นหนึ่งร้อยห้าสิบวันนับแต่
วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ  ทั้งนี้  ไม่ว่าข้อบังคับของสหภาพแรงงานนั้นจะกำหนดไว้อย่างไร

        มาตรา 94  ให้ถือว่าคำขอจัดตั้งสมาคมพนักงานรัฐวิสาหกิจที่ได้ยื่นไว้ตามพระราชบัญญัติ
พนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์  พ.ศ.  2534  ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับเป็นคำขอจัดตั้งสหภาพ
แรงงานตามพระราชบัญญัตินี้

        มาตรา 95  บรรดาระเบียบ  ประกาศ  มติ  คำวินิจฉัยชี้ขาด  หรือคำสั่งของคณะกรรมการ
รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ที่ถึงที่สุดแล้วตามพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์  พ.ศ. 2534  ซึ่งมีอยู่
ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ  ให้ยังคงใช้บังคับต่อไป
        ให้ถือว่าบรรดาสภาพการจ้างที่มีอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ  เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพ
การจ้างตามพระราชบัญญัตินี้

        มาตรา 96  บรรดาคำร้อง  คำร้องทุกข์  และข้อเสนอเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ที่ได้ยื่นไว้ตาม
พระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์  พ.ศ. 2534  และยังมิได้มีการพิจารณาวินิจฉัยถึงที่สุด
ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ  ให้ดำเนินการต่อไปตามพระราชบัญญัตินี้

        มาตรา 97  บทบัญญัติกฎหมายใด  อ้างถึงกฎหมายว่าด้วยกฎหมายพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
ให้ถือว่าอ้างถึงพระราชบัญญัตินี้  และคำว่า  "พนักงาน"  ตามกฎหมายดังกล่าวให้หมายถึง  "ลูกจ้าง"
ตามพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
     ชวน  หลีกภัย
     นายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ :-  เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้  คือ  โดยเป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วย
พนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์  เพื่อให้ฝ่ายบริหารกับพนักงานและลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจมีสิทธิ  หน้าที่  และความรับผิดชอบ
ในขอบเขตที่เหมาะสมและสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาและส่งเสริมเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสังคมตลอดจน
ความมั่นคงของประเทศ  และสอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พุทธศักราช  2540
( รจ. เล่ม 117  ตอนที่ 31 ก  หน้า 1  7 เมษายน 2543 )