พระราชบัญญัติ
แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  ( ฉบับที่ 19 )
พ.ศ. 2543
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้  ณ  วันที่  29  กุมภาพันธ์  พ.ศ. 2543
เป็นปีที่  55  ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช  มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ  ให้
ประกาศว่า
        โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
        จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ  ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา
ดังต่อไปนี้

        มาตรา 1  พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า  "พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความแพ่ง ( ฉบับที่ 19 )  พ.ศ. 2543"

        มาตรา 2  พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป
        มาตรา 3  ให้ยกเลิกความในหมวด 2  การพิจารณาโดยขาดนัด  มาตรา 197  ถึงมาตรา 209
ในลักษณะ  2  วิธีพิจารณาวิสามัญในศาลชั้นต้น  ภาค 2  วิธีพิจารณาในศาลชั้นต้นแห่งประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความแพ่ง  และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน

"หมวด 2
การพิจารณาโดยขาดนัด
ส่วนที่ 1
การขาดนัดยื่นคำให้การ
        มาตรา 197  เมื่อจำเลยได้รับหมายเรียกให้ยื่นคำให้การแล้ว  จำเลยมิได้ยื่นคำให้การภายในระยะ
เวลาที่กำหนดไว้ตามกฎหมายหรือตามคำสั่งศาล  ให้ถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
        มาตรา 198  ถ้าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ  ให้โจทก์มีคำขอต่อศาลภายในสิบห้าวันนับแต่
ระยะเวลาที่กำหนดให้จำเลยยื่นคำให้การได้สิ้นสุดลง  เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้ตนเป็นฝ่าย
ชนะคดีโดยขาดนัด
        ถ้าโจทก์ไม่ยื่นคำขอต่อศาลภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าวแล้ว   ให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีนั้นเสีย
จากสารบบความ
        ถ้าโจทก์ยื่นคำขอต่อศาลภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าวแล้ว  ให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง
ชี้ขาดคดีโดยขาดนัดไปตามมาตรา 198 ทวิ  แต่ถ้าศาลมีเหตุสงสัยว่าจำเลยจะไม่ทราบหมายเรียก
ให้ยื่นคำให้การ  ก็ให้ศาลมีคำสั่งให้มีการส่งหมายเรียกใหม่  โดยวิธีส่งหมายธรรมดาหรือโดยวิธีอื่นแทน
และจะกำหนดเงื่อนไขอย่างใดตามที่เห็นสมควรเพื่อให้จำเลยได้ทราบหมายเรียกนั้นก็ได้

        มาตรา 198 ทวิ  ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยจำเลย
ขาดนัดยื่นคำให้การมิได้  เว้นแต่ศาลเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย  ในการนี้
ศาลจะยกขึ้นอ้างโดยลำพังซึ่งข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนก็ได้
        เพื่อประโยชน์ในการพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีตามวรรคหนึ่ง  ศาลอาจสืบพยานเกี่ยวกับ
ข้ออ้างของโจทก์หรือพยานหลักฐานอื่นไปฝ่ายเดียวตามที่เห็นว่าจำเป็นก็ได้  แต่ในคดีเกี่ยวด้วยสิทธิ
แห่งสภาพบุคคล  สิทธิในครอบครัวหรือคดีพิพาทเกี่ยวด้วยกรรมสิทธ์ในอสังหาริมทรัพย์  ให้ศาล
สืบพยานหลักฐานโจทก์ไปฝ่ายเดียว  และศาลอาจเรียกพยานหลักฐานอื่นมาสืบได้เองตามที่เห็นว่าจำเป็น
เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
        ในการกำหนดจำนวนเงินตามคำขอบังคับของโจทก์  ให้ศาลปฏิบัติดังนี้
(1)     ในกรณีที่โจทก์มีคำขอบังคับให้จำเลยชำระหนี้เป็นเงินจำนวนแน่นอนให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์
ส่งพยานเอกสารตามที่ศาลเห็นว่าจำเป็นแทนการสืบพยาน
(2)     ในกรณีที่โจทก์มีคำขอบังคับให้จำเลยชำระหนี้เป็นเงินอันไม่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน
ให้ศาลสืบพยานหลักฐานโจทก์ไปฝ่ายเดียว  และศาลอาจเรียกพยานหลักฐานอื่นมาสืบได้เองตามที่เห็นว่า
จำเป็น
        ถ้าจำเลยที่ขาดนัดยื่นคำให้การไม่มาศาลในวันสืบพยานตามมาตรานี้  มิให้ถือว่าจำเลยนั้นขาด
นัดพิจารณา
        ถ้าโจทก์ไม่นำพยานหลักฐานมาสืบตามความในมาตรานี้ภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด  ให้ถือว่า
คดีของโจทก์ไม่มีมูล  และให้ศาลยกฟ้องของโจทก์

        มาตรา 198 ตรี  ในคดีที่จำเลยบางคนขาดนัดยื่นคำให้การ  ให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง
ชี้ขาดคดีโดยขาดนัดยื่นคำให้การระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ขาดนัดยื่นคำให้การนั้นไปก่อนและดำเนินการ
พิจารณาคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ยื่นคำให้การต่อไป  แต่ถ้ามูลความแห่งคดีนั้นเป็นการชำระหนี้
ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้  ให้ศาลรอการพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีโดยขาดนัดยื่นคำให้การไว้ก่อน
เมื่อศาลดำเนินการพิจารณาสำหรับจำเลยที่ยื่นคำให้การเสร็จสิ้นแล้ว  ก็ให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง
ชี้ขาดคดีไปตามรูปคดีสำหรับจำเลยทุกคน
        ในกรณีที่จำเลยที่ขาดนัดยื่นคำให้การไม่มาศาลในวันสืบพยานของคู่ความอื่นมิให้ถือว่าจำเลยนั้น
ขาดนัดพิจารณา

        มาตรา 199  ถ้าจำเลยที่ขาดนัดยื่นคำให้การมาศาลก่อนศาลวินิจฉัยชี้ขาดคดีและแจ้งต่อศาล
ในโอกาสแรกว่าตนประสงค์จะต่อสู้คดี  เมื่อศาลเห็นว่าการขาดนัดยื่นคำให้การนั้นมิได้เป็นไปโดยจงใจ
หรือมีเหตุอันสมควร  ให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การภายในกำหนดเวลาตามที่ศาลเห็นสมควร
และดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ตั้งแต่เวลาที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
        ในกรณีตามวรรคหนึ่ง  ถ้าจำเลยที่ขาดนัดยื่นคำให้การมิได้แจ้งต่อศาลก็ดี  หรือศาลเห็นว่า
การขาดนัดยื่นคำให้การนั้นเป็นไปโดยจงใจหรือไม่มีเหตุอันสมควรก็ดี  ให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป
ในกรณีเช่นนี้  จำเลยอาจถามค้านพยานโจทก์ที่อยู่ระหว่างการสืบได้  แต่จะนำสืบพยานหลักฐานของตนไม่ได้
        ในกรณีที่จำเลยมิได้ยื่นคำให้การภายในกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง  หรือศาลไม่อนุญาตให้จำเลย
ยื่นคำให้การตามวรรคสอง  หรือศาลเคยมีคำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่  ตามคำขอของจำเลยที่ขาดนัดยื่น
คำให้การตามมาตรา 199  ตรี  มาก่อน  จำเลยนั้นจะขอยื่นคำให้การตามมาตรานี้อีกหรือจะร้องขอให้
พิจารณาคดีใหม่ไม่ได้

        มาตรา 199 ทวิ  เมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยที่ขาดนัดยื่นคำให้การแพ้คดี  ศาลอาจกำหนดการ
อย่างใด  ตามที่เห็นสมควรเพื่อส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลยที่ขาดนัดยื่นคำให้การ
โดยวิธีส่งหมายธรรมดาหรือโดยวิธีอื่นแทน  หรือศาลจะให้เลื่อนการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง
เช่นว่านั้นไปภายในระยะเวลาที่ศาลเห็นสมควรก็ได้
        การบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งแก่จำเลยที่ขาดนัดยื่นคำให้การนั้นให้บังคับตามมาตรา 273
มาตรา 292  และมาตรา 317
        มาตรา 199 ตรี  จำเลยซึ่งศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้แพ้คดีโดยขาดนัดยื่นคำให้การ
ถ้ามิได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น  จำเลยนั้นอาจมีคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้  เว้นแต่
(1)     ศาลเคยมีคำสั่งให้พิจารณาคดีนั้นใหม่มาครั้งหนึ่งแล้ว
(2)     คำขอให้พิจารณาคดีใหม่นั้นต้องห้ามตามกฎหมาย
มาตรา 199 จัตวา  คำขอให้พิจารณาคดีใหม่นั้น  ให้ยื่นต่อศาลภายในสิบห้าวันนับจากวันที่ได้ส่ง
คำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลยที่ขาดนัดยื่นคำให้การ  แต่ถ้าศาลได้กำหนดการอย่างใด ๆ
เพื่อส่งคำบังคับเช่นว่านี้โดยวิธีส่งหมายธรรมดาหรือโดยวิธีอื่นแทน  จะต้องได้มีการปฏิบัติตามข้อกำหนด
นั้นแล้ว  ในกรณีที่จำเลยที่ขาดนัดยื่นคำให้การไม่สามารถยื่นคำขอภายในระยะเวลาที่กำหนดโดยพฤติการณ์
นอกเหนือไม่อาจบังคับได้  จำเลยนั้นอาจยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้ภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่
พฤติการณ์นั้นได้สิ้นสุดลง  แต่กรณีจะเป็นอย่างไรก็ตามห้ามมิให้ยื่นคำขอเช่นว่านี้เมื่อพ้นกำหนดหกเดือน
นับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์หรือได้มีการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งโดยวิธีอื่น
        คำขอตามวรรคหนึ่งให้กล่าวโดยชัดแจ้งซึ่งเหตุที่จำเลยได้ขาดนัดยื่นคำให้การและข้อคัดค้าน
  คำตัดสินชี้ขาดของศาลที่แสดงให้เห็นว่าหากศาลได้พิจารณาคดีนั้นใหม่ตนอาจเป็นฝ่ายชนะ  และในกรณี
ที่ยื่นคำขอล่าช้า  ให้แสดงเหตุแห่งการที่ล่าช้านั้นด้วย

        มาตรา 199 เบญจ  เมื่อศาลได้รับคำขอให้พิจารณาคดีใหม่แล้ว  หากเห็นสมควรศาลจะมีคำสั่ง
ให้งดการบังคับคดีไว้ก่อนก็ได้  ในกรณีเช่นนี้  ให้ศาลแจ้งคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบ
        ในการพิจารณาคำขอให้พิจารณาคดีใหม่  ถ้ามีเหตุควรเชื่อว่าการขาดนัดยื่นคำให้การนั้นมิได้เป็นไป
โดยจงใจหรือมีเหตุอันสมควร  และศาลเห็นว่าเหตุผลที่อ้างมาในคำขอนั้นผู้ขออาจมีทางชนะคดีได้
ทั้งในกรณีที่ยื่นคำขอล่าช้านั้นผู้ขอได้ยื่นภายในระยะเวลาที่กำหนด  ให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตตามคำขอ
ในกรณีเช่นนี้  ถ้ามีการอุทธรณ์หรือฏีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ให้คู่ความฝ่ายที่ขาดนัดยื่นคำให้การแพ้คดี
ให้ศาลแจ้งคำสั่งดังกล่าวให้ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา  แล้วแต่กรณี  ทราบด้วย
        เมื่อศาลได้มีคำสั่งอนุญาตตามคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ตามวรรคสอง  คำพิพากษาหรือคำสั่ง
ของศาลโดยจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและคำพิพากษาหรือคำสั่งอื่นๆ  ของศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา
ในคดีเดียวกันนั้น  และวิธีการบังคับคดีที่ได้ดำเนินไปแล้ว  ให้ถือว่าเป็นอันเพิกถอนไปในตัว  และให้ศาล
แจ้งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบ  แต่ถ้าเป็นการพ้นวิสัยที่จะให้คู่ความกลับคืนสู่ฐานะเดิมดังเช่นก่อน
บังคับคดีได้  หรือเมื่อศาลเห็นว่าไม่จำเป็นที่จะบังคับเช่นนั้น  เพื่อประโยชน์แก่คู่ความหรือบุคคลภายนอก
ให้ศาลมีอำนาจสั่งอย่างใด ๆ  ตามที่เห็นสมควร  แล้วให้ศาลพิจารณาคดีนั้นใหม่ตั้งแต่เวลาที่จำเลยขาดนัด
ยื่นคำให้การ  โดยให้จำเลยยื่นคำให้การภายในกำหนดเวลาตามที่ศาลเห็นสมควร
        คำสั่งศาลที่อนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ให้เป็นที่สุด  แต่ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตผู้ขออาจ
อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวได้  คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด
        ถ้าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การโดยจงใจหรือไม่มีเหตุอันสมควรเป็นเหตุให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง
ต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมมากกว่าที่ควรจะต้องเสีย  ค่าฤชาธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นให้ถือว่าเป็นค่าฤชา
ธรรมเนียมอันไม่จำเป็นตามความหมายแห่งมาตรา 166

        มาตรา 199 ฉ  ในกรณีที่โจทก์มิได้ให้การแก้ฟ้องแย้งของจำเลยภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้
ให้นำบทบัญญัติในส่วนที่ 1  นี้มาใช้บังคับเพียงเท่าที่เกี่ยวกับฟ้องแย้งเช่นว่านั้นโดยอนุโลม
ส่วนที่ 2
การขาดนัดพิจารณา

        มาตรา 200  ภายใต้บังคับมาตรา 198 ทวิ  และมาตรา 198 ตรี  ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ไม่มาศาลในวันสืบพยาน  และไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้เลื่อนคดี  ให้ถือว่าคู่ความฝ่ายนั้นขาดนัดพิจารณา

        ถ้าคู่ความฝ่ายใดไม่มาศาลในวันนัดอื่นที่มิใช่วันสืบพยาน  ให้ถือว่าคู่ความฝ่ายนั้นสละสิทธิ
การดำเนินกระบวนพิจารณาของตนในนัดนั้น  และทราบกระบวนพิจารณาที่ศาลได้ดำเนินไปในนัดนั้น
ด้วยแล้ว

        มาตรา 201  ถ้าคู่ความทั้งสองฝ่ายขาดนัดพิจารณา  ให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีนั้นเสียจาก
สารบบความ

        มาตรา 202  ถ้าโจทก์ขาดนัดพิจารณา  ให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีนั้นเสียจากสารบบความ
เว้นแต่จำเลยจะได้แจ้งต่อศาลในวันสืบพยานขอให้ดำเนินการพิจารณาคดีต่อไป  ก็ให้ศาลพิจารณาและ
ชี้ขาดตัดสินคดีนั้นไปฝ่ายเดียว

        มาตรา 203  ห้ามมิให้โจทก์อุทธรณ์คำสั่งจำหน่ายคดีตามมาตรา 201  และมาตรา 202
แต่ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยอายุความ  คำสั่งเช่นว่านี้ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะเสนอ
คำฟ้องของตนใหม่

        มาตรา 204  ถ้าจำเลยขาดนัดพิจารณา  ให้ศาลพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีนั้นไปฝ่ายเดียว

        มาตรา 205  ในกรณีดังกล่าวมาในมาตรา 202  และมาตรา 204  ถ้ายังไม่เป็นที่พอใจ
ของศาลว่าได้ส่งหมายกำหนดวันนัดสืบพยานไปให้คู่ความฝ่ายที่ขาดนัดทราบโดยชอบแล้ว  ให้ศาลมีคำสั่ง
เลื่อนวันสืบพยานไป  และกำหนดวิธีการอย่างใดตามที่เห็นสมควร  เพื่อให้มีการส่งหมายกำหนดวันนัด
สืบพยานใหม่แก่คู่ความฝ่ายที่ขาดนัดพิจารณาโดยวิธีส่งหมายธรรมดาหรือโดยวิธีอื่นแทน  ถ้าได้กระทำ
ดังเช่นว่ามาแล้ว  คู่ความฝ่ายนั้นยังไม่มาศาลก่อนเริ่มสืบพยานในวันที่กำหนดไว้ในหมายนั้น  ก็ให้ศาล
ดำเนินคดีนั้นไปดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 202  หรือมาตรา 204  แล้วแต่กรณี

        มาตรา 206  คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะร้องต่อศาลให้วินิจฉัยชี้ขาดคดีให้ตนเป็นฝ่ายชนะโดยอาศัย
เหตุแต่เพียงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งขาดนัดพิจารณานั้นหาได้ไม่  ให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดคดีให้คู่ความที่มาศาล
เป็นฝ่ายชนะต่อเมื่อศาลเห็นว่าข้ออ้างของคู่ความเช่นว่านี้มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย  ในการนี้  ศาลจะ
ยกขึ้นอ้างโดยลำพัง  ซึ่งข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนก็ได้
        เพื่อประโยชน์ในการวินิจฉัยชี้ขาดคดีตามวรรคหนึ่ง  ให้นำบัญญัติมาตรา 198  ทวิ  วรรคสอง
และวรรคสาม  มาใช้บังคับแก่คดีของคู่ความฝ่ายที่มาศาลโดยอนุโลม
        ในระหว่างการพิจารณาคดีฝ่ายเดียว  ถ้าคู่ความฝ่ายที่ขาดนัดพิจารณามาศาลภายหลังที่เริ่มต้น
สืบพยานไปบ้างแล้ว  และแจ้งต่อศาลในโอกาสแรกว่าตนประสงค์จะดำเนินคดี  เมื่อศาลเห็นว่าการ
ขาดนัดพิจารณานั้นมิได้เป็นไปโดยจงใจหรือมีเหตุอันสมควรและศาลไม่เคยมีคำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่
ตามคำขอของคู่ความฝ่ายนั้นมาก่อนตามมาตรา 199 ตรี  ซึ่งให้นำมาใช้บังคับกับการขาดนัดพิจารณา
ตามมาตรา 207 ด้วย  ให้ศาลมีคำสั่งให้พิจารณาคดีนั้นใหม่  ในกรณีเช่นนี้  หากคู่ความนั้นขาดนัด
พิจารณาอีก  จะขอให้พิจารณาคดีใหม่ตามมาตรานี้ไม่ได้

        ในกรณีตามวรรคสาม  ถ้าคู่ความฝ่ายที่ขาดนัดพิจารณามิได้แจ้งต่อศาลก็ดีหรือศาลเห็นว่า
การขาดนัดพิจารณานั้นเป็นไปโดยจงใจหรือไม่มีเหตุอันสมควรก็ดี  หรือคำขอให้พิจารณาคดีใหม่นั้น
ต้องห้ามตามกฎหมายก็ดี  ให้ศาลดำเนินกระบวนการพิจารณาต่อไป  แต่
(1)     ห้ามไม่ให้ศาลอนุญาตให้คู่ความที่ขาดนัดพิจารณานำพยานเข้าสืบถ้าคู่ความนั้นมาศาล
เมื่อพ้นเวลาที่จะนำพยานของตนเข้าสืบแล้ว
(2)     ถ้าคู่ความที่ขาดนัดพิจารณามาศาลเมื่อคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งได้นำพยานหลักฐานเข้าสืบไปแล้ว
ห้ามไม่ให้ศาลยอมให้คู่ความที่ขาดนัดพิจารณาคัดค้านพยานหลักฐานเช่นว่านั้น  โดยวิธีถามค้านพยาน
ของคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งที่ได้สืบไปแล้วหรือโดยวิธีคัดค้านการระบุเอกสารหรือคัดค้านคำขอที่ให้ศาล
ไปทำการตรวจหรือให้ตั้งผู้เชี่ยวชาญของศาล  แต่ถ้าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งนำพยานหลักฐานเข้าสืบยังไม่บริบูรณ์
ให้ศาลอนุญาตให้คู่ความที่ขาดนัดพิจารณาหักล้างได้แต่เฉพาะพยานหลักฐานที่นำสืบภายหลังที่ตนมาศาล
(3)     ในกรณีเช่นนี้  คู่ความที่ขาดนัดพิจารณาไม่มีสิทธิที่จะร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่
มาตรา 207  เมื่อศาลพิพากษาให้คู่ความฝ่ายที่ขาดนัดพิจารณาแพ้คดี  ให้นำบทบัญญัติ
มาตรา 199 ทวิ  มาใช้บังคับโดยอนุโลม  และคู่ความฝ่ายนั้นอาจมีคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้  ทั้งนี้
ให้นำบทบัญญัติมาตรา 199 ตรี  มาตรา 199 จัตวา  และมาตรา 199 เบญจ  มาใช้บังคับโดยอนุโลม"

        มาตรา 4  บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่อ้างถึงบทบัญญัติในหมวด 2  การพิจารณาโดยขาดนัด
แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  ให้ถือว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวนั้นอ้างถึง
บทบัญญัติในหมวด 2  การพิจารณาโดยขาดนัด  แห่งประมวลกฎหมายวิธีความพิจารณาความแพ่งซึ่งได้
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้  ในบทมาตราที่มีนัยเช่นเดียวกัน

        มาตรา 5  พระราชบัญญัตินี้ไม่ใช้บังคับแก่คดีที่ได้ยื่นฟ้องไว้แล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้
ใช้บังคับ  และให้ใช้กฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในวันที่ยื่นฟ้องนั้นบังคับแก่คดีดังกล่าวจนกว่าคดีจะถึงที่สุด

        มาตรา 6  ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
     ชวน  หลีกภัย
     นายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ :-  เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้  คือ  เนื่องจากบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความแพ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการพิจารณาโดยขาดนัดที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีความล้าสมัยและไม่สอดคล้องกับ
สภาวการณ์ปัจจุบัน  อีกทั้งมีบทบัญญัติที่ขาดความชัดเจนในหลายประการ  เป็นเหตุให้การดำเนินคดีในกรณีที่คู่ความ
ขาดนัดยื่นคำให้การหรือขาดนัดพิจารณาเป็นไปโดยล่าช้า  และมีข้อโต้แย้งที่คู่ความอาจใช้เป็นช่องทางในการประวิงคดีได้
สมควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการพิจารณาโดยขาดนัด
ให้เหมาะสมและชัดเจนยิ่งขึ้น  เพื่อให้ศาลสามารถพิพากษาให้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายชนะคดีไปได้  เมื่อคู่ความ
อีกฝ่ายหนึ่งขาดนัดยื่นคำให้การ  และเพื่อให้กระบวนพิจารณาพิพากษาคดีที่คู่ความขาดนัดยื่นคำให้การ หรือขาดนัด
พิจารณาเป็นไปด้วยความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย  รวมทั้งรวดเร็ว  ประหยัด  และชัดเจนแน่นอนยิ่งขึ้น  อันจะเป็น
หลักประกันการใช้สิทธิเรียกร้องของโจทก์และการคุ้มครองสิทธิของจำเลย  ตลอดจนทำให้คดีที่ค้างการพิจารณาในศาล
ลดน้อยลง  จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
( รจ. เล่ม 117  ตอนที่ 19 ก  หน้า 1   14 มีนาคม 2543 )