พระราชบัญญัติ
ศุลกากร  ( ฉบับที่ 17 )
พ.ศ. 2543
   ภูมิพลอดุลยเดช  ป.ร.
ให้ไว้  ณ  วันที่  25  กุมภาพันธ์  พ.ศ. 2543
เป็นปีที่  55  ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช  มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า  ฯ  ให้
ประกาศว่า
        โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยศุลกากร
        พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล  ซึ่ง
มาตรา 29  ประกอบกับมาตรา 31  มาตรา 35  มาตรา 37  และมาตรา 48  ของรัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรไทย  บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
        จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ  ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา
ดังต่อไปนี้
        มาตรา 1  พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า  ?พระราชบัญญัติศุลกากร  ( ฉบับที่ 17 )  พ.ศ. 2543?
        มาตรา 2  พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2543  เป็นต้นไป
        มาตรา 3  ให้ยกเลิกบทนิยามคำว่า  ?ราคาอันแท้จริงในท้องตลาด?  หรือ  ?ราคา?  ในมาตรา 2
แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร  พระพุทธศักราช  2469  ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติศุลกากร
( ฉบับที่ 9 )  พุทธศักราช  2482  และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
        ?คำว่า  ?ราคาศุลกากร?  หรือ  ?ราคา?  แห่งของอย่างใดนั้น
        (1) ในกรณีส่งของออก  หมายความว่า  ราคาขายส่งเงินสดซึ่งจะพึงขายของประเภทและ
ชนิดเดียวกันได้โดยไม่ขาดทุด  ณ  เวลา  และที่ที่ส่งของออก โดยไม่มีหักทอนหรือลดหย่อนราคาอย่างใด  หรือ
        (2) ในกรณีนำของเข้า  หมายความว่า  ราคาของของเพื่อความมุ่งหมายในการจัดเก็บอากร
ตามราคาอย่างใดอย่างหนึ่ง  ดังต่อไปนี้
        (ก) ราคาซื้อขายของที่นำเข้า
        (ข) ราคาซื้อขายของที่เหมือนกัน

        (ค) ราคาซื้อขายของที่คล้ายกัน
        (ง) ราคาหักทอน
        (จ) ราคาคำนวณ
        (ฉ) ราคาย้อนกลับ
        ทั้งนี้  หลักเกณฑ์  วิธีการ  และเงื่อนไขในการใช้ราคาและการกำหนดราคาตาม ( ก )  ( ข )  ( ค )
( ง )  ( จ )  และ  ( ฉ )  ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง?
        มาตรา 4  ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 11  แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร  พระพุทธศักราช
2469 ซึ่งถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติศุลกากร  ( ฉบับที่ 9 )  พุทธศักราช 2482
        ?มาตรา 11  การกำหนดราคาศุลกากรในกรณีนำของเข้าจะต้องรวมค่าประกันภัย  ค่าขนส่งของ
ที่นำเข้ามายังท่าหรือที่ที่นำของเข้า  ค่าขนของลง  ค่าขนของขึ้นและค่าจัดการต่าง ๆ  ที่เกี่ยวเนื่องกับ
การขนส่งที่นำเข้ามายังท่าหรือที่ที่นำของเข้า
        ในกรณีที่ไม่มีมูลค่าของรายการค่าประกันภัย  หรือค่าขนส่งของที่นำเข้ามายังท่าหรือที่ที่นำของเข้า
หรือไม่มีค่าขนของลง  ค่าขนของขึ้น  หรือค่าจัดการต่าง ๆ  ที่เกี่ยวเนื่องกับการขนส่งของที่นำเข้ามายังท่า
หรือที่ที่นำของเข้า  การกำหนดมูลค่าของรายการดังกล่าวให้เป็นไปตามที่อธิบดีกำหนด?
        มาตรา 5  ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 11 ทวิ  แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร  พระพุทธศักราช
2469
        ?มาตรา 11  ทวิ  ในกรณีที่พิจารณาเห็นว่า  ราคาสำแดงของของที่นำเข้ามีราคาต่ำอย่างปรากฏชัด
หรือไม่น่าจะเป็นมูลค่าอันแท้จริง  และหากได้มีการกำหนดราคาศุลกากรตามหลักเกณฑ์  วิธีการ  และ
เงื่อนไขในการใช้ราคาและการกำหนดราคาศุลกากรตามความใน  ( 2 ) ( ก ) ( ข ) ( ค ) ( ง )  และ  ( จ )
ของบทนิยามคำว่า  ?ราคาศุลกากร?  หรือ  ?ราคา?  ในมาตรา 2  แล้วยังคงมีราคาต่ำอย่างปรากฏชัดหรือ
ไม่น่าจะเป็นมูลค่าอันแท้จริงของของนั้นอีก  ให้อธิบดีมีอำนาจกำหนดราคาศุลกากรของของดังกล่าวได้?

        มาตรา 6  ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา 12  แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร  พระพุทธศักราช
2469 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
        ?มาตรา 12  ถ้าไม่ตกลงในเรื่องราคาศุลกากรสำหรับของอย่างใด ๆ  ให้อธิบดีมีอำนาจที่จะ
รับของนั้นไว้เป็นค่าภาษี  หรือจะซื้อของนั้นไว้ทั้งหมดหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด  หรือกองหนึ่งกองใด
ในของชนิดหนึ่ง  หรือประเภทหนึ่ง  เต็มทั้งส่วนหรือทั้งกองตามราคาที่สำแดงไว้เพิ่มขึ้นอีกร้อยละสองกึ่ง
หรือถ้าไม่รับของไว้เป็นค่าภาษีหรือรับซื้อไว้ดังว่านี้  อธิบดีและเจ้าของต่างมีอำนาจตั้งอนุญาโตตุลาการมีจำนวน
เท่ากัน  แต่ไม่เกินฝ่ายละสองคน  เพื่อช่วยให้ตกลงกันในข้อโต้เถียง?
        มาตรา 7  ให้ยกเลิกวรรคสามของมาตรา 112  ทวิ  แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร  พระพุทธศักราช
2469 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ  ฉบับที่ 329  ลงวันที่  13  ธันวาคม  พ.ศ. 2515
        มาตรา 8  ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 112 ฉ   มาตรา 112  สัตต   มาตรา 112  อัฎฐ
มาตรา 112  นว   มาตรา 112  ทศ   มาตรา 112  เอกาทศ   มาตรา 112  ทวาทศ   มาตรา 112
เตรส   มาตรา 112  จตุทศ   มาตรา 112  ปัณรส   มาตรา 112  โสฬส   มาตรา 112   สัตตรส
มาตรา 112  อัฎฐารส   และมาตรา 112  เอกูนวีสติ   แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร  พระพุทธศักราช
2469
        ?มาตรา 112 ฉ   ผู้นำของเข้าหรือผู้ส่งออกมีสิทธิอุทธรณ์การประเมินอากรของพนักงาน
เจ้าหน้าที่ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์  ตามแบบที่อธิบดีกำหนดได้  ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่
ได้รับแจ้งการประเมิน  โดยในกรณีที่เป็นการนำของเข้าหรือส่งออกของในจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานคร
อาจอุทธรณ์โดยยื่นผ่านด่านศุลกากรหรือสำนักงานศุลกากรภาคก็ได้  โดยต้องปฏิบัติตามระเบียบที่อธิบดี
กำหนด
        มาตรา 112  สัตต   ให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ประกอบด้วยอธิบดีเป็นประธานกรรมการ
ผู้แทนกระทรวงการคลัง  ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา  และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งอธิบดีแต่งตั้งอีก
จำนวนไม่น้อยกว่าห้าคนแต่ไม่เกินเจ็ดคน  เป็นกรรมการ

        ให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์แต่งตั้งข้าราชการสังกัดกรมศุลกากรเป็นเลขานุการและเป็น
ผู้ช่วยเลขานุการ  โดยให้เลขานุการเป็นกรรมการด้วย
        มาตรา 112 อัฎฐ   ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งอธิบดีแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งคราวละสามปี
        เมื่อครบกำหนดตามวาระในวรรคหนึ่ง  หากยังมิได้มีการแต่งตั้งกรรมการขึ้นใหม่  ให้กรรมการ
ที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระนั้นอยู่ในตำแหน่งเพื่อดำเนินการต่อไปจนกว่ากรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งใหม่
เข้ารับหน้าที่
        การแต่งตั้งกรรมการใหม่ให้แต่งตั้งภายในสามสิบวันนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระ
        กรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้  แต่ต้องไม่เกินสองวาระติดต่อกัน
        มาตรา 112  นว   นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ  กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งอธิบดี
แต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งเมื่อ
        (1) ตาย
        (2) ลาออก
        (3) เป็นบุคคลล้มละลาย
        (4) เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
        (5) อธิบดีมีคำสั่งให้ออกเนื่องจากมีเหตุบกพร่องอย่างยิ่งต่อหน้าหรือมีความประพฤติเสื่อมเสีย
อย่างร้ายแรง
        (6) ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก  เว้นแต่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท
หรือความผิดลหุโทษ
        ในกรณีที่กรรมการพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ  ให้อธิบดีแต่งตั้งผู้อื่นเป็นกรรมการแทน  และให้
ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทนอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งตนแทน

        มาตรา 112  ทศ   การประชุมคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต้องมีกรรมการมาประชุมอย่างน้อย
กึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด  จึงจะเป็นองค์ประชุม
        ถ้าประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้  ให้กรรมการที่มาประชุมเลือก
กรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม
        การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก  กรรมการคนหนึ่งให้มีหนึ่งเสียงในการลงคะแนน
ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
        มาตรา 112  เอกาทศ   ถ้ากรรมการผู้ใดมีส่วนได้เสียในเรื่องที่วินิจฉัยจะเข้าร่วมประชุมหรือ
ลงมติในเรื่องนั้นมิได้
        มาตรา 112  ทวาทศ   เพื่อประโยชน์ในการวินิจฉัยอุทธรณ์  ให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
หรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจออกหนังสือเรียกผู้อุทธรณ์หรือบุคคลซึ่งเกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำ หรือ
ให้ส่งบัญชี  เอกสาร  หลักฐาน  หรือข้อมูล  ไม่ว่าในสื่อรูปแบบใด  ๆ  หรือสิ่งของอย่างอื่นที่เกี่ยวข้องกับ
เรื่องที่อุทธรณ์มาแสดงได้   โดยให้เวลาบุคคลดังกล่าวไม่น้อยกว่าสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้ส่งหนังสือเรียก
        ผู้อุทธรณ์ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามหนังสือเรียกตามวรรคหนึ่ง  หรือไม่ยอมให้ถ้อยคำโดยไม่มีเหตุผล
อันสมควร  ให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ยกอุทธรณ์นั้นเสีย
        มาตรา 112  เตรส   ให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อ
ปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่จะมอบหมายและรายงานต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
        ให้นำความในมาตรา 112  ทศ  และมาตรา 112  เอกาทศ   มาใช้บังคับแก่การประชุมของ
คณะอนุกรรมการที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์แต่งตั้งโดยอนุโลม
        มาตรา 112  จตุทศ   ให้กรรมการในคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์  และอนุกรรมการใน
คณะอนุกรรมการที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์แต่งตั้ง  เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา

        มาตรา 112  ปัณรส   คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด  และในกรณี
ที่มีการเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยในภายหลัง  คำวินิจฉัยที่เปลี่ยนแปลงนั้นมิให้มีผลใช้บังคับย้อนหลัง  เว้นแต่
ในกรณีที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดมีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัย  ก็ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจ
ดำเนินการตามคำพิพากษาในส่วนที่เป็นโทษย้อนหลังได้เฉพาะบุคคลซึ่งเป็นคู่ความในคดีนั้น
        มาตรา 112  โสฬส   ในกรณีที่จะต้องชำระอากรเพิ่มหรือเงินประกันไม่คุ้มค่าอากร  การอุทธรณ์
ตามมาตรา 112  ฉ  ไม่เป็นเหตุทุเลาการชำระเงินอากรตามจำนวนที่พนักงานเจ้าหน้าที่ประเมินไว้  เว้นแต่
กรณีที่ผู้อุทธรณ์ได้รับอนุมัติจากอธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายให้รอคำวินิจฉัยอุทธรณ์หรือคำพิพากษาได้
ก็ให้มีหน้าที่ชำระภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์หรือได้รับทราบคำพิพากษาถึงที่สุด
แล้วแต่กรณี
        ในกรณีที่คำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสียอากรเพิ่มขึ้น  ผู้อุทธรณ์จะต้องชำระภายในกำหนดเวลาเช่นเดียวกับ
วรรคหนึ่ง
        มาตรา 112  สัตตรส   คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ให้ทำเป็นหนังสือ
และให้ส่งไปยังผู้อุทธรณ์
        มาตรา 112  อัฎฐารส   ผู้อุทธรณ์มีสิทธิอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
โดยฟ้องเป็นคดีต่อศาลภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์  เว้นแต่ในกรณีที่
คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ยกอุทธรณ์ตามมาตรา 112  ทวาทศ
        มาตรา 112  เอกูนวีสติ   ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามหนังสือเรียกของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 112  ทวาทศ   ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน  หรือปรับไม่เกิน
ห้าหมื่นบาท   หรือทั้งจำทั้งปรับ?
        มาตรา 9  ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 113 ทวิ   แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร  พระพุทธศักราช
2469

        ?มาตรา 113  ทวิ  ให้ผู้นำของเข้า  ผู้ส่งของออก  ตัวแทนของเรือ  ตัวแทนของบุคคล
ดังกล่าวหรือบุคคลซึ่งเกี่ยวข้องตามที่อธิบดีกำหนด  มีหน้าที่เก็บและรักษาบัญชี  เอกสาร  หลักฐาน
และข้อมูล  ไม่ว่าในสื่อรูปแบบใด ๆ  ที่บุคคลดังกล่าวใช้อยู่ซึ่งเกี่ยวข้องกับของใด  ๆ  ที่กำลังผ่านหรือ
ได้ผ่านศุลกากรไว้ ณ  สถานที่ประกอบการหรือสถานที่อื่นที่อธิบดีกำหนด  เป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปี
นับแต่วันที่นำของเข้าหรือส่งของออก
        ในกรณีที่บุคคลหรือนิติบุคคลตามวรรคหนึ่งเลิกประกอบกิจการ  ให้บุคคลหรือนิติบุคคลหรือ
ผู้ชำระบัญชีของนิติบุคคลนั้น  เก็บและรักษาบัญชี  เอกสาร  หลักฐานและข้อมูลดังกล่าว  ณ  สถานที่
ที่อธิบดีกำหนด  ต่อไปอีกสองปีนับแต่วันเลิกประกอบกิจการ
        ให้อธิบดีมีอำนาจประกาศกำหนดชนิดของเอกสารที่บุคคลตามวรรคหนึ่งมีหน้าที่เก็บและรักษา
รวมทั้งหลักเกณฑ์  วิธีการ  และเงื่อนไขในการเก็บและรักษาบัญชี  เอกสาร  หลักฐานและข้อมูลดังกล่าวได้
ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง  หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์  วิธีการ
และเงื่อนไขตามวรรคสาม  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน  หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำ
ทั้งปรับ?
        มาตรา 10   ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 115 ทวิ  มาตรา 115 ตรี  มาตรา 115
จัตวา  มาตรา 115 เบญจ  และมาตรา 115 ฉ  แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร  พระพุทธศักราช 2469
        ?มาตรา 115  ทวิ   ในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าได้มีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติ
ของพระราชบัญญัตินี้หรือบทกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับศุลกากร  ให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย
หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งอธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายมีคำสั่งเป็นหนังสือให้เป็นผู้มีหน้าที่ตรวจสอบ
มีอำนาจดังต่อไปนี้
        (1) เข้าไปในสถานที่ประกอบการของผู้นำขาเข้า  ผู้ส่งของออก  ตัวแทนของเรือ  ตัวแทน
ของบุคคลดังกล่าว  หรือบุคคลซึ่งเกี่ยวข้อง  หรือสถานที่อื่นที่เกี่ยวข้องของบุคคลดังกล่าว  ในระหว่าง
เวลาพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตกหรือในเวลาทำการ  ในการนี้ให้มีอำนาจสั่งบุคคลดังกล่าวหรือ
บุคคลที่อยู่ในสถานที่นั้นให้ปฏิบัติเท่าที่จำเป็นเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบ

        (2) สอบถามข้อเท็จจริงหรือเรียกบัญชี  เอกสาร  หลักฐาน  หรือข้อมูล  ไม่ว่าในสื่อรูปแบบใด ๆ
หรือสิ่งของอื่นที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด  จากผู้นำของเข้า  ผู้ส่งของออก  ตัวแทนของเรือ
ตัวแทนของบุคคลดังกล่าว  หรือบุคคลซึ่งเกี่ยวข้องกับการนำเข้าหรือการส่งออก
        (3) ยึดหรืออายัดบัญชี  เอกสาร  หลักฐาน  หรือข้อมูล  ไม่ว่าในสื่อรูปแบบใด ๆ  หรือสิ่งของอื่น
ที่อาจใช้พิสูจน์ตามความผิดตามพระราชบัญญัตินี้หรือบทกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการศุลกากร
        ผู้ใดขัดขวางหรือไม่ปฎิบัติตามคำสั่งของอธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายหรือพนักงานเจ้าหน้าที่
ตามความในวรรคหนึ่ง  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี  หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ
        มาตรา 115  ตรี   ในกรณีที่เหตุอันควรสงสัยหรือพบว่ามีการกระทำความผิดตามพระราช
บัญญัตินี้หรือบทกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับศุลกากร  เพื่อประโยชน์ในการไต่สวนเกี่ยวกับการกระทำ
ความผิดนั้น  ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจสั่งให้ผู้นำของเข้า  ผู้ส่งของออก  ตัวแทนของเรือ  ตัวแทน
ของบุคคลดังกล่าวหรือบุคคลอื่นซึ่งเกี่ยวกับข้องกับการนำเข้าหรือการส่งออก  ให้ถ้อยคำหรือแจ้งข้อเท็จจริง
หรือทำคำชี้แจงเป็นหนังสือหรือสั่งให้บุคคลดังกล่าวส่งบัญชี  เอกสาร  หลักฐาน  หรือข้อมูล  ไม่ว่า
ในสื่อรูปแบบใด ๆ  หรือสิ่งของอื่นที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดมาตรวจสอบ  โดยให้เวลาแก่บุคคล
ดังกล่าวไม่น้อยกว่าเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับคำสั่ง
        ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามวรรคหนึ่ง  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี  หรือปรับไม่เกิน
หนึ่งแสนบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ
        มาตรา 115  จัตวา   ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดซึ่งต้องรับโทษตามพระราชบัญญัตินี้เป็น
นิติบุคคล  ให้กรรมการผู้จัดการ  หุ้นส่วนผู้จัดการ  หรือผู้ซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
ต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ  ด้วย  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการกระทำนั้นได้กระทำ
โดยตนมิได้รู้เห็นหรือยินยอมหรือตนได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องกันมิให้เกิดความผิดนั้นแล้ว

        มาตรา 115  เบญจ   ในการปฏิบัติหน้าที่ของอธิบดี  ผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย  หรือพนักงาน
เจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้  ให้บุคคลซึ่งเกี่ยวข้องอำนวยความสะดวกตามสมควร
        ผู้ใดไม่อำนวยความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง  ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน
สองหมื่นบาท
        มาตรา 115 ฉ   ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้  อธิบดี  ผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย  หรือ
พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวต่อบุคคลซึ่งเกี่ยวข้อง
        บัตรประจำตัวให้เป็นไปตามแบบที่อธิบดีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา?
        มาตรา 11  ให้ยกเลิกความในมาตรา 10  แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร  ( ฉบับที่ 9 )  พุทธศักราช
2482 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
        ?มาตรา 10  เมื่อนำของใด ๆ  เข้ามาหรือส่งของใด ๆ  ออกไปและของนั้นต้องเสียอากร
หรือไม่ก็ตาม  ให้ผู้นำของเข้าหรือผู้ส่งของออกแสดงรายการต่อไปนี้ในใบขนสินค้า  คือ  ชนิดของ
คุณภาพ  ปริมาณ  น้ำหนัก  ราคาศุลกากร  และรายการอย่างอื่นๆ  ตามแต่อธิบดีจะต้องการ  และให้ลงนาม
รับรองในใบขนสินค้าหรือใช้วิธีการอื่นใดตามที่อธิบดีกำหนดเพื่อรับรองใบขนสินค้าว่าข้อความที่ได้แสดงไว้นั้น
เป็นความสัตย์จริง
        ถ้าไม่พึงสอบทราบราคาศุลกากรได้  ให้ผู้นำของเข้าหรือผู้ส่งของออกแสดงค่าแห่งของประเภท
และชนิดเดียวกันซึ่งจะพึงส่งมอบได้  ณ  ที่ที่นำของเข้าหรือส่งของออกแล้วแต่กรณี  แต่ในส่วนของขาเข้า
ไม่รวมค่าอากร?
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ชวน  หลีกภัย
นายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ:-  เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ  เนื่องจากประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิกขององค์การ
การค้าโลก  จึงมีพันธกรณีที่จะต้องนำความในมาตรา 7  ของความตกลงกันทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้า 1994
มาถือปฏิบัติ  และโดยที่ความตกลงดังกล่าวได้กำหนดให้ใช้ราคาศุลกากรเป็นเกณฑ์ในการประเมินอากรสำหรับ
ของนำเข้า  ซึ่งแตกต่างจากกฎหมายว่าด้วยศุลกากรที่ให้ใช้ราคาอันแท้จริงในท้องตลาดเป็นเกณฑ์ประเมินเงินอากร
สำหรับของนำเข้า  ดังนั้น  เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 7  ของความตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้า 1994
จึงต้องยกเลิกการใช้ราคาอันแท้จริงในท้องตลาดเป็นเกณฑ์การประเมินเงินอากรสำหรับของนำเข้าโดยให้ใช้ราคาศุลกากรแทน
นอกจากนั้น  สมควรกำหนดให้มีคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และกระบวนการในการพิจารณาอุทธรณ์เพื่อให้ผู้นำของเข้า
หรือผู้ส่งของออกที่ไม่พอใจในการประเมินอากรของพนักงานเจ้าหน้าที่สามารถอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณา
อุทธรณ์แทนการอุทธรณ์ต่ออธิบดีกรมศุลกากรหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย  ทั้งนี้  เพื่อให้การพิจารณาอุทธรณ์เป็นต้นไป
อย่างถูกต้องและโปร่งใสมากขึ้น  และสมควรกำหนดให้บุคคลซึ่งเกี่ยวข้องกับการนำของเข้าหรือส่งของออกมีหน้าที่
เก็บรักษาบัญชี  เอกสาร  หลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการนำของเข้าหรือส่งของออกเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบ
และกำหนดให้อธิบดี  ผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายหรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจกระทำการต่าง ๆ  ในกรณีที่มีเหตุอันควร
สงสัยว่ามีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยศุลกากร  หรือมีการตรวจสอบพบว่ามีการกระทำผิด
เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ในการไต่สวนการกระทำความผิดนั้น  รวมทั้งกำหนดความรับผิดของกรรมการผู้จัดการ  หุ้นส่วน
ผู้จัดการ  หรือผู้ซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลในกรณีที่นิติบุคคลได้กระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วย
ศุลกากร  ทั้งนี้  เพื่อให้สามารถลงโทษผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินการของนิติบุคคลได้อย่างแท้จริง  จึงจำเป็น
ต้องตราพระราชบัญญัตินี้
( รจ. เล่ม 117  ตอนที่ 17 ก  หน้า 1   8 มีนาคม 2543 )
 ..BOOK
117