พระราชบัญญัติ เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลห้วยทราย อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑ สายกรุงเทพมหานคร - แม่สาย (เขตแดน) ตอนทางแยกต่างระดับหินกอง พ.ศ. ๒๕๔๒ |
โดยที่เป็นการสมควรให้เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลห้วยทราย อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑ สายกรุงเทพมหานคร - แม่สาย (เขตแดน) ตอนทางแยกต่างระดับหินกอง พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๔๙ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัย อำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและ ยินยอมของรัฐสภาดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลห้วยทราย อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข ๑ สายกรุงเทพมหานคร - แม่สาย (เขตแดน) ตอนทางแยกต่างระดับหินกอง พ.ศ. ๒๕๔๒"
มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศใน ราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้อธิบดีกรมทางหลวงเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๔ ให้เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลห้วยทราย อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชบัญญัตินี้ ซึ่งปรากฏรายชื่อเจ้าของ หรือผู้ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัตินี้ ให้แก่กรมทางหลวง เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑ สายกรุงเทพมหานคร - แม่สาย (เขตแดน) ตอนทางแยกต่างระดับหินกอง
มาตรา ๕ ให้เจ้าหน้าที่เวนคืนเข้าใช้อสังหาริมทรัพย์ที่เวนคืนตามมาตรา ๔ ภายในระยะเวลาสองปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๖ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี |
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากกรมทางหลวง ได้ทำการสำรวจที่ที่จะต้องเวนคืนเพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข๑สายกรุงเทพมหานคร -แม่สาย (เขตแดน) ตอนทางแยกต่างระดับหินกอง ตามที่ได้มีการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณ ที่ที่จะเวนคืนไว้แล้วตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวง แผ่นดินหมายเลข ๑ สายกรุงเทพฯ - เชียงราย ตอนทางแยกต่างระดับหินกอง พ.ศ. ๒๕๓๖ เสร็จแล้ว สมควรเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวต่อไป จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ (ร.จ. เล่ม ๑๑๖ ตอนที่ ๘๒ ก หน้า ๗ วันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๔๒) |