พระราชบัญญัติ
                          ทางหลวงสัมปทาน
                            พ.ศ. ๒๕๔๒
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
                  ให้ไว้ ณ วันที่ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๔๒
                     เป็นปีที่ ๕๔ ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรด
เกล้า ฯ ให้ประกาศว่า
          โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยทางหลวงที่ได้รับสัมประทาน
          พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพ
ของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๔๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
          จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและ
ยินยอมของรัฐสภาดังต่อไปนี้

          มาตรา ๑  พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติทางหลวงสัมปทาน
พ.ศ. ๒๕๔๒"

          มาตรา ๒  พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศ
ในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

          มาตรา ๓  ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติทางหลวงที่ได้รับสัมประทาน
พุทธศักราช ๒๔๗๓

          มาตรา ๔  ในพระราชบัญญัตินี้
          "ทางหลวงสัมปทาน" หมายความว่า ทางที่รัฐให้สัมปทานแก่บุคคลใด ๆ
ในการสร้างหรือบำรุงรักษา โดยเก็บค่าใช้ทาง ไม่ว่าในระดับพื้นดิน ใต้หรือเหนือพื้นดิน
หรือใต้หรือเหนืออสังหาริมทรัพย์อย่างอื่น และให้หมายความรวมถึงอุโมงค์ สะพาน
เรือหรือพาหนะสำหรับขนส่งข้ามฟาก และท่าเรือสำหรับขึ้นหรือลงรถ ที่จัดไว้เพื่อประโยชน์
แก่ทางหลวงสัมปทานด้วย
          "สร้าง" หมายความว่า การก่อสร้าง ขยาย หรือบูรณะ
          "บำรุงรักษา" หมายความว่า การดูแลรักษาหรือซ่อมแซมทางหลวงสัมปทาน
และอุปกรณ์ทางหลวงสัมปทานเพื่อให้คงสภาพใช้งานได้ดีตามปกติ รวมทั้งการเสริม
ความแข็งแรง การยืดอายุการใช้งานของทางหลวงสัมปทานและอุปกรณ์ทางหลวงสัมปทาน
การติดตั้งและเสริมแต่งอุปกรณ์ทางหลวงสัมปทานหรือสิ่งที่ไม่ได้ก่อสร้างหรือติดตั้งไว้
เพื่อให้ทางหลวงสัมปทานมีสภาพสมบูรณ์ยิ่งขึ้นหรือมีความสะดวกและปลอดภัยแก่ผู้ใช้
แต่ไม่หมายความรวมถึงการบูรณะ
          "อุปกรณ์ทางหลวงสัมปทาน" หมายความว่า อาคาร สิ่งปลูกสร้าง หรือสิ่งอื่น
ที่ต้องมีเพื่อการบำรุงรักษาและการประกอบกิจการทางหลวงสัมปทาน รวมทั้งเครื่องมือ
เครื่องใช้ในระบบควบคุมการเก็บเงินค่าใช้ทาง ระบบการสื่อสาร และระบบการควบคุม
การจราจรของทางหลวงสัมปทาน เพื่อประโยชน์ในการบริหารทางหลวงสัมปทานและเพื่อ
อำนวยความสะดวกแก่การจราจร
          "อธิบดี" หมายความว่า อธิบดีกรมทางหลวง
          "พนักงานเจ้าหน้าที่" หมายความว่า เจ้าหน้าที่ของกรมทางหลวงซึ่งอธิบดี
แต่งตั้งให้มีอำนาจและหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้
          "รัฐมนตรี" หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

          มาตรา ๕  ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
          กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้

          มาตรา ๖  การให้สัมปทานรายใดถ้าอยู่ในหลักเกณฑ์ที่กำหนดในกฎหมายว่าด้วย
การให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ ให้ปฏิบัติตามกฎหมายนั้นด้วย
          ให้นำกฎหมายว่าด้วยทางหลวงมาใช้บังคับกับทางหลวงสัมปทานโดยอนุโลม
เว้นแต่ที่ได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะในพระราชบัญญัตินี้

          มาตรา ๗  ในกรณีที่รัฐประสงค์จะให้สัมปทานในการสร้างหรือบำรุงรักษา
ทางสายใด ให้อธิบดีออกประกาศเชิญชวนให้มีการยื่นข้อเสนอตามหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขที่กำหนด
          การให้สัมปทานในการสร้างหรือบำรุงรักษาทางที่มีขนาดเล็กหรือเป็นการ
ต่อเติมโครงการเดิมตามลักษณะที่กำหนดในกฎกระทรวงจะดำเนินการโดยไม่ต้องออก
ประกาศเชิญชวนตามวรรคหนึ่งก็ได้
          การยื่นคำขอรับสัมปทานและการให้สัมปทาน ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง
          ผู้ยื่นคำขอรับสัมปทานต้องมีคุณสมบัติตามที่กำหนดในกฎกระทรวง

          มาตรา ๘  เมื่อรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่าผู้ยื่นคำขอรับสัมปทานรายใดสมควร
ได้รับสัมปทาน ให้รัฐมนตรีรายงานความเห็นในเรื่องการขอรับสัมปทานไปยังคณะรัฐมนตรี
เพื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ

          มาตรา ๙  ผู้รับสัมปทานจะโอนสัมปทานได้ต่อเมื่อมีเหตุอันสมควรและ
รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาแล้วเห็นว่าผู้รับโอนมีคุณสมบัติตาม
มาตรา ๗ วรรคสี่ และอนุญาตให้โอนสัมปทานได้
          ผู้รับโอนสัมปทานตามวรรคหนึ่งต้องรับไปซึ่งสิทธิ หน้าที่ และความรับผิด
ทั้งหมดของผู้รับสัมปทานรายเดิม

          มาตรา ๑๐  ในกรณีที่ผู้รับสัมปทานสิ้นสภาพนิติบุคคลหรือตกเป็นบุคคลล้มละลาย
ให้ผู้ชำระบัญชีหรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ แล้วแต่กรณี เป็นผู้มีสิทธิแสดงเจตนาในการโอน
สัมปทานตามมาตรา ๙
          การแสดงเจตนาในการโอนสัมปทานตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามวิธีการที่กำหนด
ในกฎกระทรวง

          มาตรา ๑๑  การโอนสัมปทานตามมาตรา ๙ และมาตรา ๑๐ ให้เป็นไป
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง

          มาตรา ๑๒  ในกรณีที่ผู้รับสัมปทานไม่ได้รับอนุญาตให้โอนสัมปทาน ให้อธิบดี
มีหนังสือแจ้งให้ผู้รับสัมปทานทราบพร้อมทั้งเหตุผล ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่รัฐมนตรีมีคำสั่ง

          มาตรา ๑๓  เพื่อประโยชน์ในการสร้างหรือบำรุงรักษาทางหลวงสัมปทาน
ให้พนักงานเจ้าหน้าที่หรือพนักงานของผู้รับสัมปทานซึ่งผู้รับสัมปทานแต่งตั้งด้วยความเห็นชอบ
ของอธิบดี มีอำนาจเข้าไปใช้สอยหรือครอบครองอสังหาริมทรัพย์ซึ่งมิใช่ที่อยู่อาศัยของบุคคลใด
เป็นการชั่วคราวได้ภายใต้เงื่อนไข ดังต่อไปนี้
          (๑) การใช้สอยหรือครอบครองนั้นให้กระทำได้เท่าที่จำเป็นสำหรับการสำรวจ
เพื่อสร้างทางหลวงสัมปทาน หรือเท่าที่จำเป็นสำหรับการป้องกันอันตรายหรือความเสียหาย
ที่จะเกิดแก่ทางหลวงสัมปทาน
          (๒) ผู้รับสัมปทานได้แจ้งเป็นหนังสือให้เจ้าของหรือผู้ครอบครอง
อสังหาริมทรัพย์ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสิบห้าวันก่อนวันเริ่มกระทำการนั้น ถ้าไม่อาจ
ติดต่อกับเจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ได้ให้ประกาศให้เจ้าของหรือผู้ครอบครอง
อสังหาริมทรัพย์นั้นทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามสิบวัน การประกาศให้ทำเป็นหนังสือปิดไว้
ณ ที่ซึ่งอสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ และ ณ ที่ทำการเขตหรืออำเภอ ที่ทำการกำนัน และ
ที่ทำการผู้ใหญ่บ้านซึ่งอสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ ทั้งนี้ ให้แจ้งกำหนดวัน เวลา และการที่จะ
กระทำนั้นไว้ด้วย
          ในกรณีที่การปฏิบัติตามมาตรานี้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของ
หรือผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์หรือผู้ทรงสิทธิอื่น บุคคลนั้นย่อมเรียกค่าทดแทนจาก
ผู้รับสัมปทานได้ และถ้าไม่สามารถตกลงกันในจำนวนค่าทดแทน ให้มอบข้อพิพาทให้
อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย

          มาตรา ๑๔  ในระหว่างการสร้างทางหลวงสัมปทานถ้าผู้รับสัมปทาน
ประสงค์จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงแบบรูปและรายการละเอียดทางเทคนิคในการก่อสร้าง
ให้แตกต่างไปจากที่กำหนดไว้ในสัมปทาน แต่ยังคงอยู่ในขอบเขตการดำเนินการตาม
สัมปทานและไม่เป็นการเพิ่มค่าใช้ทางตามสัมปทาน ให้ผู้รับสัมปทานยื่นคำขอต่ออธิบดี
ในกรณีเช่นนี้ให้เป็นอำนาจของอธิบดีที่จะอนุมัติได้เมื่อปรากฏว่าการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น
เป็นความจำเป็นโดยไม่ทำให้ทางราชการต้องเสียประโยชน์หรือเป็นการแก้ไขเพื่อ
ประโยชน์แก่ทางราชการ

          มาตรา ๑๕  ในการสร้างทางหลวงสัมปทานผู้รับสัมปทานจะเปลี่ยนแปลง
ร่องน้ำ ท่อน้ำ ย้ายสายไฟฟ้า สายโทรศัพท์ หรือรื้อถอนสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่กีดขวางการสร้างนั้น
ก็ได้ แต่การเปลี่ยนแปลงหรือรื้อถอนนั้นจะกระทำได้ต่อเมื่อได้แจ้งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครอง
ทราบก่อนล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสิบห้าวันก่อนวันเริ่มกระทำการนั้น และต้องจัดทำไปในทางที่จะ
ทำให้เกิดความเสียหายและทำความไม่สะดวกน้อยที่สุด ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้นผู้รับสัมปทาน
ต้องชดใช้ค่าเสียหายนั้น
          ถ้าสิ่งที่กีดขวางตามวรรคหนึ่งเป็นของส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจอื่น
การเปลี่ยนแปลงหรือรื้อถอนนั้นจะต้องกระทำภายใต้การกำกับดูแลของส่วนราชการหรือ
รัฐวิสาหกิจนั้น

          มาตรา ๑๖  ถ้าทางหลวงสัมปทานจะต้องตัดผ่านทางรถไฟ ทางหลวง
ประเภทอื่น ทางส่วนบุคคล หรือทางน้ำที่มีอยู่เดิม ผู้รับสัมปทานจะต้องจัดให้มีทางชั่วคราว
ตามสภาพไม่น้อยกว่าที่เป็นอยู่เดิมเพื่อให้ใช้ได้ในระหว่างการสร้าง ถ้ามีความเสียหาย
เกิดขึ้นผู้รับสัมปทานต้องชดใช้ค่าเสียหายนั้น และเมื่อหมดความจำเป็นในการสร้างแล้ว
ให้จัดทำทางดังกล่าวให้กลับคืนสู่สภาพเดิมโดยเร็วซึ่งต้องไม่เกินสามสิบวันนับแต่เมื่อ
หมดความจำเป็น
          ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแนวของทางดังกล่าวให้ต่างไปจากเดิม
ผู้รับสัมปทานต้องจัดให้มีทางขึ้นใหม่ตามสภาพไม่น้อยกว่าที่เป็นอยู่เดิมเพื่อให้ใช้ไปมาได้
ทดแทนทางเดิมด้วย
          ในกรณีที่ผู้รับสัมปทานไม่ดำเนินการตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง ถ้ามีเหตุ
อันสมควร อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายจะดำเนินการดังกล่าวแทน โดยผู้รับสัมปทาน
ต้องเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ทางราชการต้องรับภาระจ่ายจริงเพื่อการนั้นพร้อมเงิน
เพิ่มอีกร้อยละยี่สิบของเงินจำนวนดังกล่าวด้วยก็ได้

          มาตรา ๑๗  ห้ามมิให้ผู้ใดสร้างทางหรือสิ่งอื่นใดเพื่อเป็นทางเข้าออก
เชื่อม หรือผ่านทางหลวงสัมปทาน เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากอธิบดี ในกรณีเช่นนี้ให้อธิบดี
อนุญาตได้เมื่อได้รับฟังความเห็นของผู้รับสัมปทานเพื่อประกอบการพิจารณาแล้วปรากฏว่า
การกระทำดังกล่าวจะไม่มีผลกระทบจนเป็นเหตุให้เกิดภยันตรายกับผู้ใช้ทาง ในการอนุญาต
อธิบดีจะกำหนดเงื่อนไขอย่างใดก็ได้ รวมทั้งกำหนดมาตรการเพื่อประโยชน์ในการ
จราจร การป้องกันอุบัติภัย และการรักษาสิ่งแวดล้อม และเมื่ออธิบดีมีหนังสืออนุญาตแล้ว
ผู้รับสัมปทานต้องให้ความสะดวกเพื่อการนั้นตามสมควร
          ถ้าผู้ได้รับอนุญาตกระทำผิดเงื่อนไขที่กำหนดในการอนุญาต หรือมีเหตุอื่น
ที่จำเป็นเพื่อประโยชน์แก่งานทางหรือประโยชน์ของรัฐ อธิบดีจะเพิกถอนการอนุญาตนั้น
เสียก็ได้

          มาตรา ๑๘  ทางหรือสิ่งอื่นใดที่สร้างขึ้นโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ปฏิบัติ
ตามเงื่อนไขที่กำหนด หรือที่อธิบดีได้มีคำสั่งให้เพิกถอนการอนุญาต ให้อธิบดีมีอำนาจ
สั่งให้ผู้กระทำการดังกล่าวรื้อถอนหรือทำลายภายในกำหนดเวลาอันสมควร ถ้าไม่ปฏิบัติ
ตามให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายรื้อถอนหรือทำลาย โดยผู้นั้นจะเรียกร้องค่าเสียหาย
มิได้และต้องเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการนั้นด้วย ทั้งนี้ ให้นำความในมาตรา ๑๖
วรรคสาม มาใช้บังคับโดยอนุโลม

          มาตรา ๑๙  ผู้ยื่นคำขอหรือผู้รับสัมปทานที่ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของอธิบดี
ตามมาตรา ๑๗ มีสิทธิอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ทราบคำสั่ง
          คำวินิจฉัยของรัฐมนตรีให้เป็นที่สุด

          มาตรา ๒๐  เมื่อสร้างทางหลวงสัมปทานหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของทางหลวง
สัมปทานเสร็จแล้ว ผู้รับสัมปทานจะเปิดการจราจรได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี
          ให้ผู้รับสัมปทานซึ่งประสงค์จะเปิดการจราจรตามวรรคหนึ่งยื่นคำขอต่อรัฐมนตรี
และให้รัฐมนตรีมีหนังสือแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้รับสัมปทานทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่
ได้รับคำขอ

          มาตรา ๒๑  ทางหลวงสัมปทานและอุปกรณ์ทางหลวงสัมปทานใดจะตกเป็น
ของรัฐเมื่อใด ให้เป็นไปตามที่กำหนดในสัมปทาน

          มาตรา ๒๒  ในกรณีมีเหตุจำเป็นเพื่อประโยชน์สาธารณะ รัฐมีอำนาจเข้า
ยึดถือครอบครองทางหลวงสัมปทานก่อนสัมปทานสิ้นอายุได้ และในกรณีเช่นนี้รัฐมีอำนาจ
เข้ายึดถือครอบครองบรรดาอุปกรณ์ทางหลวงสัมปทานทั้งหมดได้ด้วย
          การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง ต้องได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี

          มาตรา ๒๓  ในการยึดถือครอบครองทางหลวงสัมปทานและอุปกรณ์ทางหลวง
สัมปทานตามมาตรา ๒๒ รัฐจะต้องใช้ค่าทดแทนให้แก่ผู้รับสัมปทานตามที่กำหนดในสัมปทาน
ในกรณีที่สัมปทานมิได้กำหนดเรื่องค่าทดแทนไว้ ให้ใช้ค่าทดแทนโดยคำนึงถึงประโยชน์ที่ผู้รับ
สัมปทานควรได้รับตามความเป็นธรรม
          ให้อธิบดีมีหนังสือแจ้งให้ผู้รับสัมปทานมารับเงินค่าทดแทนภายในเวลาที่กำหนด
ถ้าผู้รับสัมปทานไม่มารับเงินภายในกำหนดเวลาที่ได้รับแจ้ง ให้อธิบดีนำเงินค่าทดแทนไปฝาก
ไว้กับธนาคารออมสินในชื่อของผู้รับสัมปทาน

          มาตรา ๒๔  ในทางหลวงสัมปทานที่เปิดการจราจรแล้ว ถ้าผู้รับสัมปทาน
ประสงค์จะซ่อมแซมอย่างใหญ่ ซึ่งไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงอันเป็นการสำคัญ และไม่ทำให้
เสื่อมประโยชน์ของรัฐและประชาชน ให้ยื่นรายงานการนั้น ๆ พร้อมแบบรูปและรายการ
ละเอียด และประมาณการค่าใช้จ่ายต่ออธิบดี เมื่อได้รับความเห็นชอบจากอธิบดีแล้วผู้รับ
สัมปทานจึงจะกระทำการนั้นได้ ในการอนุญาตอธิบดีจะกำหนดเงื่อนไขอย่างใดก็ได้
          การดำเนินการใดเป็นการซ่อมแซมอย่างใหญ่ ซึ่งไม่เป็นการเปลี่ยนแปลง
อันเป็นการสำคัญให้เป็นไปตามที่อธิบดีกำหนด และแจ้งให้ผู้รับสัมปทานทราบแล้ว

          มาตรา ๒๕  นอกจากที่กำหนดไว้แล้วในพระราชบัญญัตินี้ ให้อธิบดีหรือ
ผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
          (๑) ตรวจตราดูแลการสร้างทางหลวงสัมปทาน และถ้าผู้รับสัมปทาน
ไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้หรือกระทำผิดข้อกำหนดในสัมปทานก็ให้แจ้งผู้รับสัมปทาน
ดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องภายในเวลาที่กำหนด
          (๒) พิจารณาและเสนอความเห็นต่อรัฐมนตรีเกี่ยวกับทางหลวงสัมปทาน
ที่ผู้รับสัมปทานแจ้งว่าได้สร้างสำเร็จบริบูรณ์แล้ว
          (๓) ตรวจตราการประกอบกิจการทางหลวงสัมปทาน และถ้าผู้รับสัมปทาน
ไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้หรือกระทำผิดข้อกำหนดในสัมปทานก็ให้แจ้งผู้รับสัมปทาน
ดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องภายในเวลาที่กำหนด
          (๔) สืบสวนในเรื่องอุบัติเหตุใด ๆ ที่เกิดขึ้นในกรณีที่ต้องการทราบว่าผู้รับ
สัมปทานมีส่วนรับผิดชอบตามพระราชบัญญัตินี้หรือตามข้อกำหนดในสัมปทานหรือไม่
          (๕) แจ้งให้ผู้รับสัมปทานซ่อมแซมทางหลวงสัมปทานหรือส่วนใด
ส่วนหนึ่งของทางนั้น
          (๖) แจ้งให้ผู้รับสัมปทานปฏิบัติการใด ๆ อันเกี่ยวด้วยความปลอดภัยของ
ประชาชนได้ โดยกำหนดให้ผู้รับสัมปทานมีเวลาปฏิบัติการเกี่ยวกับความปลอดภัยดังกล่าว

          มาตรา ๒๖  อธิบดีมีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษาห้ามมิให้ผู้ใด
เปลี่ยนแปลงสภาพที่ดินริมเขตทางหลวงสัมปทานทั้งสายหรือบางส่วนในลักษณะที่จะก่อให้เกิด
ความเสียหายแก่ทางหลวงสัมปทาน เช่น มิให้ขุดหรือถมร่อง คู บ่อน้ำ สระ หรือหลุมใด ๆ
ภายในระยะอันสมควรจากเขตทางหลวงสัมปทาน เว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากอธิบดี
หรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย และในการอนุญาตอธิบดีจะกำหนดเงื่อนไขอย่างใดก็ได้
          ผู้ยื่นคำขอซึ่งไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของอธิบดีตามวรรคหนึ่งมีสิทธิอุทธรณ์ต่อ
รัฐมนตรีภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ทราบคำสั่ง
          คำวินิจฉัยของรัฐมนตรีให้เป็นที่สุด

          มาตรา ๒๗  ในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจ
หน้าที่ดังต่อไปนี้
          (๑) เข้าตรวจทางหลวงสัมปทานและเข้าไปในโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้าง
ของผู้รับสัมปทานที่ใช้ในการดำเนินการทางหลวงสัมปทานนั้น
          (๒) เรียกให้ผู้รับสัมปทานส่งเอกสารตลอดจนอุปกรณ์อื่นใดที่ใช้บันทึกข้อมูล
ต่าง ๆ ให้ตรวจสอบตามความจำเป็น
          (๓) เรียกผู้รับสัมปทานหรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้รับสัมปทานมาสอบถาม
และให้ข้อเท็จจริง
          (๔) ตรวจสอบและรวบรวมข้อเท็จจริงแล้วรายงานต่ออธิบดีในกรณีที่
ผู้รับสัมปทาน ผู้แทนหรือลูกจ้างของผู้รับสัมปทานกระทำผิดหรือทำให้เกิดความเสียหาย
เพราะเหตุที่ไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้หรือตามข้อกำหนดในสัมปทาน

          มาตรา ๒๘  ถ้าผู้รับสัมปทานไม่กระทำการใด ๆ ตามที่อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดี
มอบหมายได้สั่งให้ทำตามมาตรา ๒๕ อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายมีอำนาจเข้ากระทำการ
โดยผู้รับสัมปทานเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ทางราชการต้องรับภาระจ่ายจริงเพื่อการนั้น
พร้อมเงินเพิ่มอีกร้อยละยี่สิบของเงินจำนวนดังกล่าวด้วย

          มาตรา ๒๙  ในกรณีที่ผู้รับสัมปทานไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ ไม่ปฏิบัติตาม
ข้อกำหนดในสัมปทาน ไม่บำรุงรักษาทางหลวงสัมปทานจนอาจเป็นเหตุให้เกิดภยันตรายต่อชีวิต
และทรัพย์สินของประชาชน หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายอันเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ
หรือการรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน ให้อธิบดีมีหนังสือเตือนให้ผู้รับสัมปทานปฏิบัติ
ให้ถูกต้องภายในเวลาที่กำหนด
          ในกรณีที่ได้มีหนังสือเตือนตามวรรคหนึ่งแล้ว แต่ผู้รับสัมปทานยังคงฝ่าฝืนหรือ
ไม่ปฏิบัติตาม ให้รัฐมนตรีเพิกถอนสัมปทานดังกล่าว
          เมื่อได้เพิกถอนสัมปทานแล้วให้อุปกรณ์ทางหลวงสัมปทานทั้งหมดตกเป็นของรัฐ

          มาตรา ๓๐  ในกรณีที่ผู้รับสัมปทานมีความจำเป็นที่จะต้องได้มาซึ่ง
อสังหาริมทรัพย์ใด เพื่อสร้างทางหลวงสัมปทานตามที่กำหนดไว้ในสัมปทาน และผู้รับ
สัมปทานไม่สามารถดำเนินการให้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์เพื่อการนั้นโดยวิธีอื่นได้
ให้กรมทางหลวงเป็นผู้ดำเนินการเวนคืนตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์
โดยผู้รับสัมปทานเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายและค่าทดแทน เว้นแต่ในสัมปทานจะได้กำหนดไว้
เป็นอย่างอื่น

          มาตรา ๓๑  ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๗ หรือขัดขวาง
การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๒๗ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน
หกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

          มาตรา ๓๒  ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๒๖ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี
หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

          มาตรา ๓๓  ผู้ใดหลีกเลี่ยงไม่เสียค่าใช้ทางที่กำหนดในสัมปทาน
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสิบเท่าของค่าใช้ทางนั้น

                           บทเฉพาะกาล

          มาตรา ๓๔  การปฏิบัติตามพระราชบัญญัติทางหลวงที่ได้รับสัมประทาน
พุทธศักราช ๒๔๗๓ ที่ได้ปฏิบัติไปแล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับ ให้เป็นอันใช้ได้
          บรรดาสัมประทานตามพระราชบัญญัติทางหลวงที่ได้รับสัมประทาน
พุทธศักราช ๒๔๗๓ ให้ถือว่าเป็นสัมปทานตามพระราชบัญญัตินี้ แต่ให้ใช้บังคับตาม
พระราชบัญญัติทางหลวงที่ได้รับสัมประทาน พุทธศักราช ๒๔๗๓ จนกว่าสัมประทานนั้น
จะสิ้นสุดลง

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

     ชวน  หลีกภัย
     นายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติ
ทางหลวงที่ได้รับสัมปทานพุทธศักราช ๒๔๗๓ ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้ว บทบัญญัติ
บางมาตราไม่เหมาะสมกับสภาพการที่เอกชนจะเข้ามาลงทุนในกิจการรอันเป็นสาธารณูปโภค
และบทกำหนดโทษไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน ประกอบกับบทบัญญัติของกฎหมายอื่น
ที่พระราชบัญญัติฉบับนี้ให้นำมาใช้บังคับได้ถูกยกเลิกไปแล้ว สมควรปรับปรุงให้เหมาะสมกับ
ภาวะเศรษฐกิจและสภาพสังคมปัจจุบัน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
(ร.จ. เล่ม ๑๑๖  ตอนที่ ๒๕ ก  หน้า ๑ วันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๔๒)