พระราชบัญญัติ เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลมิตรภาพ อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๐๑ สายสีคิ้ว - เชียงคาน ตอนแยกเข้าอำเภอสีคิ้ว พ.ศ. ๒๕๓๘ |
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๘ เป็นปีที่ ๕๐ ในรัชกาลปัจจุบัน |
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรด เกล้า ฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรให้เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลมิตรภาพ อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๐๑ สายสีคิ้ว - เชียงคาน ตอนแยกเข้าอำเภอสีคิ้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและ ยินยอมของรัฐสภาดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลมิตรภาพ อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข ๒๐๑ สายสีคิ้ว - เชียงคาน ตอนแยกเข้าอำเภอสีคิ้ว พ.ศ. ๒๕๓๘"
มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศใน ราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้อธิบดีกรมทางหลวงเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๔ ให้เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลมิตรภาพ อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชบัญญัตินี้ ซึ่งปรากฏรายชื่อ เจ้าของหรือผู้ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัตินี้ ให้แก่ กรมทางหลวงเพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๐๑ สายสีคิ้ว - เชียงคาน ตอนแยกเข้าอำเภอสีคิ้ว
มาตรา ๕ ให้เจ้าหน้าที่เวนคืนเข้าใช้อสังหาริมทรัพย์ที่เวนคืนตามมาตรา ๔ ภายในระยะเวลาสองปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๖ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ บรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรี (แผนที่ท้ายพระราชบัญญัติ กรุณาดูจาก ร.จ. เล่ม ๑๑๒ ตอน ๕๒ ก หน้า ๑) |
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากกรมทางหลวง ได้ทำการสำรวจที่ที่จะต้องเวนคืนเพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๐๑ สายสีคิ้ว- เชียงคาน ตอนแยกเข้าอำเภอสีคิ้ว ตามที่ได้มีการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ไว้แล้ว ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวง แผ่นดินหมายเลข ๒๐๑ สายสีคิ้ว-เชียงคาน ตอนแยกเข้าอำเภอสีคิ้ว พ.ศ. ๒๕๓๖ เสร็จแล้ว สมควรดำเนินการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวต่อไป จึงจำเป็นต้องตรา พระราชบัญญัตินี้ (ร.จ. เล่ม ๑๑๒ ตอนที่ ๕๒ ก หน้า ๑ วันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๓๘) |