พระราชบัญญัติ
                 ระเบียบข้าราชการการเมือง (ฉบับที่ ๒)
                            พ.ศ. ๒๕๓๘
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
                  ให้ไว้ ณ วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๘
                     เป็นปีที่ ๕๐ ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรด
เกล้า ฯ ให้ประกาศว่า
         โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการการเมือง
          จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและ
ยินยอมของรัฐสภาดังต่อไปนี้

         มาตรา ๑  พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ
การเมือง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๘"

         มาตรา ๒  พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๗
เป็นต้นไป

         มาตรา ๓  ให้ยกเลิกความในมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบ
ข้าราชการการเมือง พ.ศ. ๒๕๓๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
         "มาตรา ๖  ให้ข้าราชการการเมืองได้รับเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง
ตามกฎหมายว่าด้วยเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง
         บทบัญญัติตามมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
พ.ศ. ๒๔๙๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ๔)
พ.ศ. ๒๔๙๙ มิให้ใช้บังคับแก่การรับบำเหน็จบำนาญของข้าราชการการเมืองผู้กลับเข้ารับ
ราชการใหม่ตามพระราชบัญญัตินี้
         ข้าราชการการเมืองซึ่งดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วย
ถ้าได้รับเงินประจำตำแหน่ง หรือเงินเพิ่มสำหรับสมาชิกสภาดังกล่าวแล้ว ไม่มีสิทธิได้รับเงิน
เดือนและเงินประจำตำแหน่งในฐานะข้าราชการการเมืองอีก
         การจ่ายเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งข้าราชการการเมือง ให้เป็นไป
ตามระเบียบที่กระทรวงการคลังกำหนด"

         มาตรา ๔  ให้ยกเลิกบัญชีอัตราตำแหน่ง เงินเดือน และเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่ง
ข้าราชการการเมืองท้ายพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. ๒๕๓๕
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ชวน  หลีกภัย
นายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ได้มีการแยกบัญชี
อัตราเงินเดือนและบัญชีอัตราเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการการเมืองไปบัญญัติไว้ใน
กฎหมายว่าด้วยเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะแล้ว สมควรแก้ไข
เพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการการเมืองให้สอดคล้องกัน จึงจำเป็นต้อง
ตราพระราชบัญญัตินี้
(ร.จ. เล่ม ๑๑๒  ตอนที่ ๑ ก  หน้า ๔๙   วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๓๘)