พระราชบัญญัติ
                       มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
                            พ.ศ. ๒๕๓๗
                         --------------
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
                 ให้ไว้ ณ วันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๗
                     เป็นปีที่ ๔๙ ในราชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรด
เกล้า ฯ ให้ประกาศว่า
         โดยที่เป็นการสมควรจัดตั้งมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
          จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและ
ยินยอมของรัฐสภาดังต่อไปนี้

         มาตรา ๑  พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
พ.ศ. ๒๕๓๗"

         มาตรา ๒  พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

         มาตรา ๓  ในพระราชบัญญัตินี้
         "มหาวิทยาลัย" หมายความว่า มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
         "สภามหาวิทยาลัย" หมายความว่า สภามหาวิทยาลัยมหาสารคาม
         "วิทยาเขต" หมายความว่า เขตการศึกษาของมหาวิทยาลัยที่มีคณะ สถาบัน
สำนัก วิทยาลัย ศูนย์ หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ ตั้งแต่
สองส่วนราชการขึ้นไปตั้งอยู่ในเขตนั้น ตามที่สภามหาวิทยาลัยกำหนด
         "สภาคณาจารย์" หมายความว่า สภาคณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

         มาตรา ๔  ให้รัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัยรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
และให้มีอำนาจออกประกาศเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
         ประกาศนั้นเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้

         มาตรา ๕  ให้จัดตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นมหาวิทยาลัยหนึ่งเรียกว่า "มหาวิทยาลัย
มหาสารคาม" เป็นสถานศึกษาและวิจัย มีวัตถุประสงค์ให้การศึกษา ส่งเสริมวิชาการและ
วิชาชีพชั้นสูง ทำการสอน ทำการวิจัย ให้บริการทางวิชาการแก่สังคมและทะนุบำรุง
ศิลปวัฒนธรรม
         ให้มหาวิทยาลัยเป็นนิติบุคคล มีฐานะเป็นกรมในทบวงมหาวิทยาลัย

         มาตรา ๖  มหาวิทยาลัยอาจแบ่งส่วนราชการ ดังนี้
         (๑) สำนักงานอธิการบดี
         (๒) สำนักงานวิทยาเขต
         (๓) บัณฑิตวิทยาลัย
         (๔) คณะ
         (๕) สถาบัน
         (๖) สำนัก
         มหาวิทยาลัยอาจให้มีวิทยาลัย ศูนย์ และหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มี
ฐานะเทียบเท่าคณะ เพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ในมาตรา ๕ เป็นส่วนราชการ
ในมหาวิทยาลัยอีกได้
         สำนักงานอธิการบดี อาจแบ่งส่วนราชการเป็นกอง หรือหน่วยงานที่เรียกชื่อ
อย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่ากอง
         คณะและวิทยาลัย อาจแบ่งส่วนราชการเป็นสำนักงานเลขานุการ ภาควิชา
กอง หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าภาควิชาหรือกอง
         บัณฑิตวิทยาลัย สถาบัน สำนัก ศูนย์ และหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มี
ฐานะเทียบเท่าคณะ อาจแบ่งส่วนราชการเป็นสำนักงานเลขานุการ กอง หรือ
หน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่ากอง
         สำนักงานเลขานุการ กอง และหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะ
เทียบเท่ากอง อาจแบ่งส่วนราชการเป็นแผนก หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มี
ฐานะเทียบเท่าแผนก

         มาตรา ๗  การจัดตั้ง การรวม และการยุบเลิกสำนักงานวิทยาเขต
บัณฑิตวิทยาลัย คณะ สถาบัน สำนัก วิทยาลัย และศูนย์ หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่น
ที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
         การแบ่งส่วนราชการเป็นภาควิชา หน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะ
เทียบเท่าภาควิชา สำนักงานเลขานุการ กอง และแผนก หรือหน่วยงานที่เรียกชื่อ
อย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่ากองหรือแผนก ให้ทำเป็นประกาศทบวงมหาวิทยาลัย

         มาตรา ๘  ภายใต้วัตถุประสงค์ตามมาตรา ๕ มหาวิทยาลัยจะรับสถาบัน
การศึกษาชั้นสูงหรือสถาบันวิจัยอื่นเข้าสมทบในมหาวิทยาลัยก็ได้ และมีอำนาจให้ปริญญา
อนุปริญญา หรือประกาศนียบัตรชั้นหนึ่งชั้นใดแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันสมทบนั้นได้
         การรับเข้าสมทบหรือยกเลิกการสมทบซึ่งสถาบันการศึกษาชั้นสูงหรือสถาบันวิจัย
ให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัยและให้ทำเป็นประกาศทบวงมหาวิทยาลัย
         การควบคุมสถาบันการศึกษาชั้นสูงหรือสถาบันวิจัยที่เข้าสมทบในมหาวิทยาลัย
ให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย

         มาตรา ๙  นอกจากเงินที่กำหนดไว้ในงบประมาณแผ่นดิน มหาวิทยาลัย
อาจมีรายได้ ดังนี้
         (๑) เงินผลประโยชน์ ค่าธรรมเนียม ค่าปรับ และค่าบริการต่าง ๆ ของ
มหาวิทยาลัย
         (๒) เงินและทรัพย์สินซึ่งมีผู้อุทิศให้แก่มหาวิทยาลัย
         (๓) รายได้หรือผลประโยชน์ที่ได้มาจากการใช้ที่ราชพัสดุซึ่งมหาวิทยาลัย
ปกครองดูแลหรือใช้ประโยชน์
         (๔) รายได้หรือผลประโยชน์อื่น ๆ
         ให้มหาวิทยาลัยมีอำนาจในการปกครอง ดูแล บำรุงรักษา ใช้และจัดหา
ผลประโยชน์จากทรัพย์สินของมหาวิทยาลัย ทั้งที่เป็นที่ราชพัสดุตามกฎหมายว่าด้วยที่
ราชพัสดุและที่เป็นทรัพย์สินอื่น
         รายได้ของมหาวิทยาลัยรวมทั้งเบี้ยปรับที่เกิดจากการดำเนินการตาม
วัตถุประสงค์ของมหาวิทยาลัยไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมาย
ว่าด้วยเงินคงคลังและกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ เว้นแต่เบี้ยปรับที่เกิดจาก
การผิดสัญญาลาศึกษาและเบี้ยปรับที่เกิดจากการผิดสัญญาซื้อทรัพย์สินหรือสัญญาจ้างทำ
ของที่ดำเนินการโดยใช้เงินงบประมาณ

         มาตรา ๑๐  บรรดาอสังหาริมทรัพย์ที่มหาวิทยาลัยได้มาโดยมีผู้ยกให้
หรือได้มาโดยการซื้อหรือแลกเปลี่ยนจากเงินและทรัพย์สินซึ่งมีผู้อุทิศให้แก่มหาวิทยาลัย
ตั้งแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ไม่ถือเป็นที่ราชพัสดุ และให้เป็นกรรมสิทธิ์ของ
มหาวิทยาลัย

         มาตรา ๑๑  บรรดารายได้และทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยจะต้องจัดการ
เพื่อประโยชน์ภายในขอบวัตถุประสงค์ของมหาวิทยาลัยตามมาตรา ๕
         เงินและทรัพย์สินซึ่งมีผู้อุทิศให้แก่มหาวิทยาลัยจะต้องจัดการตามเงื่อนไข
ที่ผู้อุทิศให้กำหนดไว้ และต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของมหาวิทยาลัย

         มาตรา ๑๒  ให้มีสภามหาวิทยาลัย ประกอบด้วย
         (๑) นายกสภามหาวิทยาลัย ซึ่งจะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง
         (๒) กรรมการสภามหาวิทยาลัยโดยตำแหน่ง ได้แก่ อธิการบดี
ประธานสภาคณาจารย์ และประธานกรรมการส่งเสริมกิจการมหาวิทยาลัย
         (๓) กรรมการสภามหาวิทยาลัยจำนวนแปดคน ซึ่งเลือกจากผู้ดำรงตำแหน่ง
รองอธิการบดี คณบดี ผู้อำนวยการสถาบัน ผู้อำนวยการสำนัก ผู้อำนวยการวิทยาลัย
และผู้อำนวยการศูนย์ หรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ
         (๔) กรรมการสภามหาวิทยาลัยจำนวนแปดคน ซึ่งเลือกตั้งจากคณาจารย์
ประจำของมหาวิทยาลัยซึ่งมิใช่ผู้ดำรงตำแหน่งตาม (๓) จำนวนหกคน และเลือกตั้งจาก
ข้าราชการของมหาวิทยาลัยจำนวนสองคน
         (๕) กรรมการและเลขานุการสภามหาวิทยาลัยจำนวนหนึ่งคน ซึ่งอธิการบดี
เลือกจากผู้ดำรงตำแหน่งรองอธิการบดี
         (๖) กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนสิบสี่คน ซึ่งทรงพระกรุณา
โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งจากบุคคลภายนอกมหาวิทยาลัย
         ให้สภามหาวิทยาลัยเลือกกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิคนหนึ่ง
เป็นอุปนายกสภามหาวิทยาลัย และให้อุปนายกสภามหาวิทยาลัยทำหน้าที่แทนนายกสภา
มหาวิทยาลัย เมื่อนายกสภามหาวิทยาลัยไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ หรือเมื่อไม่มีผู้ดำรง
ตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัย
         หลักเกณฑ์ วิธีการได้มา และคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัย
และกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ ตลอดจนคุณสมบัติของผู้รับเลือก ผู้เลือก
และวิธีการเลือกกรรมการสภามหาวิทยาลัยตาม (๓) และ (๔) ให้เป็นไปตามข้อบังคับ
ของมหาวิทยาลัย และให้ทำเป็นประกาศทบวงมหาวิทยาลัย

         มาตรา ๑๓  นายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการสภามหาวิทยาลัยตาม
มาตรา ๑๒ (๓) (๔) (๕) และ (๖) มีวาระการดำรงตำแหน่งสองปี แต่จะทรง
พระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งหรืออาจได้รับเลือกหรือได้รับเลือกตั้งใหม่อีกได้
         นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระในวรรคหนึ่ง นายกสภามหาวิทยาลัย
และกรรมการสภามหาวิทยาลัยตามมาตรา ๑๒ (๓) (๔) (๕) และ (๖) พ้นจาก
ตำแหน่ง เมื่อ
         (๑) ตาย
         (๒) ลาออก
         (๓) มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ถอดถอน เพราะขาดคุณสมบัติ
ของการเป็นนายกสภามหาวิทยาลัย หรือกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ
         (๔) ขาดคุณสมบัติของการเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยในประเภทนั้น
         ในกรณีที่นายกสภามหาวิทยาลัยหรือกรรมการสภามหาวิทยาลัยตามมาตรา ๑๒
(๓) (๔) (๕) และ (๖) พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
แต่งตั้ง หรือได้มีการเลือกหรือเลือกตั้งผู้ดำรงตำแหน่งแทนแล้ว ให้ผู้ที่ได้ทรงพระกรุณา
โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง หรือได้รับเลือกหรือได้รับเลือกตั้งอยู่ในตำแหน่งเพียงเท่ากับ
วาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งตนแทน
         ในกรณีที่นายกสภามหาวิทยาลัยหรือกรรมการสภามหาวิทยาลัยพ้นจากตำแหน่ง
ตามวาระ แต่ยังมิได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกสภามหาวิทยาลัยหรือ
กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ หรือยังมิได้เลือกหรือเลือกตั้งกรรมการสภา
มหาวิทยาลัยอื่นขึ้นใหม่ ให้นายกสภามหาวิทยาลัยหรือกรรมการสภามหาวิทยาลัยซึ่งพ้น
จากตำแหน่งปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกสภา
มหาวิทยาลัยหรือกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ หรือได้มีการเลือกหรือเลือกตั้ง
กรรมการสภามหาวิทยาลัยอื่นขึ้นใหม่แล้ว
         ในกรณีที่กรรมการสภามหาวิทยาลัยที่ได้รับเลือกหรือเลือกตั้งตามมาตรา ๑๒
(๓) (๔) และ (๕) พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระไม่เกินเก้าสิบวัน สภามหาวิทยาลัย
จะไม่เลือกหรือเลือกตั้งกรรมการสภามหาวิทยาลัยขึ้นแทนตำแหน่งที่ว่างก็ได้

         มาตรา ๑๔  สภามหาวิทยาลัยมีอำนาจและหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการทั่วไป
ของมหาวิทยาลัย และโดยเฉพาะให้มีอำนาจและหน้าที่ ดังนี้
         (๑) วางนโยบายของมหาวิทยาลัยเกี่ยวกับการศึกษา การวิจัย การให้
บริการทางวิชาการแก่สังคม และการทะนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม
         (๒) วางระเบียบและออกข้อบังคับของมหาวิทยาลัย และอาจมอบให้ส่วน
ราชการใดในมหาวิทยาลัยเป็นผู้วางระเบียบและออกข้อบังคับสำหรับส่วนราชการนั้น
เป็นเรื่อง ๆ ไปก็ได้
         (๓) อนุมัติให้ปริญญา ประกาศนียบัตรบัณฑิต อนุปริญญา และประกาศนียบัตร
         (๔) พิจารณาการจัดตั้ง การรวม และการยุบเลิกสำนักงานวิทยาเขต
บัณฑิตวิทยาลัย คณะ สถาบัน สำนัก วิทยาลัย และศูนย์ หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่น
ที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ รวมทั้งการแบ่งส่วนราชการของหน่วยงานดังกล่าว
         (๕) อนุมัติการรับสถาบันการศึกษาชั้นสูงและสถาบันวิจัยเข้าสมทบหรือการ
ยกเลิกการสมทบ
         (๖) พิจารณาให้ความเห็นชอบหลักสูตรการศึกษาให้สอดคล้องกับมาตรฐาน
ที่ทบวงมหาวิทยาลัยกำหนด
         (๗) พิจารณาเสนอเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง และพิจารณา
ถอดถอนนายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ อธิการบดี
ศาสตราจารย์ และศาสตราจารย์พิเศษ
         (๘) แต่งตั้งและถอดถอนรองอธิการบดี คณบดี ผู้อำนวยการสถาบัน
ผู้อำนวยการสำนัก ผู้อำนวยการวิทยาลัย ผู้อำนวยการศูนย์ หรือหัวหน้าหน่วยงานที่
เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ รองศาสตราจารย์พิเศษ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเศษ และอาจารย์พิเศษ
         (๙) แต่งตั้งและถอดถอนประธานกรรมการหรือกรรมการส่งเสริมกิจการ
มหาวิทยาลัย
        (๑๐) อนุมัติงบประมาณรายจ่ายจากเงินรายได้ของมหาวิทยาลัย
        (๑๑) วางระเบียบและออกข้อบังคับต่าง ๆ เกี่ยวกับการเงินและทรัพย์สินของ
มหาวิทยาลัย
        (๑๒) แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาและเสนอความเห็นในเรื่องหนึ่ง
เรื่องใด หรือเพื่อมอบหมายให้ปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดอันอยู่ในอำนาจหน้าที่ของ
สภามหาวิทยาลัย
        (๑๓) พิจารณาและให้ความเห็นชอบในเรื่องที่เกี่ยวกับกิจการของมหาวิทยาลัย
ตามที่อธิการบดีเสนอ และอาจมอบหมายให้อธิการบดีดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดอันอยู่
ในอำนาจหน้าที่ของสภามหาวิทยาลัยก็ได้
        (๑๔) พิจารณาให้ความเห็นชอบและอนุมัติในเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับกิจการ
ของมหาวิทยาลัยซึ่งมิได้ระบุให้เป็นหน้าที่ของผู้หนึ่งผู้ใดโดยเฉพาะ

         มาตรา ๑๕  การประชุมของสภามหาวิทยาลัย ให้เป็นไปตามข้อบังคับของ
มหาวิทยาลัย

         มาตรา ๑๖  ให้มีคณะกรรมการส่งเสริมกิจการมหาวิทยาลัยขึ้นคณะหนึ่ง
ประกอบด้วยประธานกรรมการ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนหนึ่งซึ่งสภามหาวิทยาลัยแต่งตั้ง
         คณะกรรมการส่งเสริมกิจการมหาวิทยาลัยมีหน้าที่ให้คำปรึกษาและข้อแนะนำแก่
มหาวิทยาลัย และสนับสนุนการดำเนินกิจการของมหาวิทยาลัย
         จำนวนและคุณสมบัติของกรรมการส่งเสริมกิจการมหาวิทยาลัย วาระการ
ดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง ตลอดจนการประชุม ให้เป็นไปตามข้อบังคับของ
มหาวิทยาลัย

         มาตรา ๑๗  ให้มีอธิการบดีเป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบการบริหารงาน
ของมหาวิทยาลัย และอาจมีรองอธิการบดีหรือผู้ช่วยอธิการบดี หรือจะมีทั้งรองอธิการบดี
และผู้ช่วยอธิการบดี เพื่อทำหน้าที่และรับผิดชอบตามที่อธิการบดีมอบหมายก็ได้
         เพื่อประโยชน์ในการบังคับบัญชา ให้ถือว่าอธิการบดีเป็นอธิบดี และ
รองอธิการบดีเป็นรองอธิบดี ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
และกฎหมายอื่น

         มาตรา ๑๘  อธิการบดีนั้นจะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง
โดยคำแนะนำของสภามหาวิทยาลัยจากบุคคลผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา ๑๙
         อธิการบดีมีวาระการดำรงตำแหน่งสี่ปี และจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
แต่งตั้งใหม่อีกก็ได้ แต่จะดำรงตำแหน่งเกินสองวาระติดต่อกันมิได้
         นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามวรรคสอง อธิการบดีพ้นจาก
ตำแหน่งเมื่อ
         (๑) ตาย
         (๒) ลาออก
         (๓) ถูกลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรง
         (๔) กระทำความผิดอาญาจนได้รับโทษโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก
เว้นแต่ความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
         (๕) ถูกให้ออกจากราชการเพราะเหตุมีมลทินหรือมัวหมองในกรณีที่
ถูกสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรง
         รองอธิการบดี ให้สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้งโดยคำแนะนำของอธิการบดี
จากบุคคลผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา ๑๙ และต้องเป็นข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย
         ผู้ช่วยอธิการบดี ให้อธิการบดีเป็นผู้แต่งตั้งจากบุคคลผู้มีคุณสมบัติตาม
มาตรา ๑๙ และต้องเป็นข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย
         เมื่ออธิการบดีพ้นจากตำแหน่ง ให้รองอธิการบดี และผู้ช่วยอธิการบดี
พ้นจากตำแหน่งด้วย

         มาตรา ๑๙  อธิการบดี รองอธิการบดี และผู้ช่วยอธิการบดี ต้องมีคุณสมบัติ
ดังนี้ คือ
         (๑) ได้ปริญญาเอกหรือเทียบเท่าจากมหาวิทยาลัยหรือสถาบันอุดมศึกษาอื่นที่
สภามหาวิทยาลัยรับรอง และได้ทำการสอนหรือมีประสบการณ์ด้านการบริหารมาแล้ว
ไม่น้อยกว่าสามปีในมหาวิทยาลัยหรือสถาบันอุดมศึกษาอื่นที่สภามหาวิทยาลัยรับรอง หรือ
         (๒) ได้ปริญญาชั้นหนึ่งชั้นใดหรือเทียบเท่าจากมหาวิทยาลัยหรือสถาบัน
อุดมศึกษาอื่นที่สภามหาวิทยาลัยรับรอง และได้ทำการสอนหรือมีประสบการณ์ด้านการบริหาร
มาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปีในมหาวิทยาลัยหรือสถาบันอุดมศึกษาอื่นที่สภามหาวิทยาลัยรับรอง
หรือเคยดำรงตำแหน่งกรรมการสภามหาวิทยาลัยมาแล้วรวมเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสี่ปี

         มาตรา ๒๐  อธิการบดีมีอำนาจและหน้าที่ ดังนี้
         (๑) บริหารกิจการของมหาวิทยาลัยให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ
ข้อบังคับของทางราชการ รวมทั้งนโยบายและวัตถุประสงค์ของมหาวิทยาลัย
         (๒) ควบคุมดูแลบุคลากร การเงิน การพัสดุ สถานที่ และทรัพย์สินอื่นของ
มหาวิทยาลัย ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับของมหาวิทยาลัย
         (๓) จัดทำแผนพัฒนามหาวิทยาลัย และปฏิบัติตามนโยบายและแผนงาน
รวมทั้งติดตามประเมินผลการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย
         (๔) รักษาระเบียบวินัย จรรยาบรรณและมรรยาทแห่งวิชาชีพของ
ข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย และส่งเสริมกิจการนิสิต
         (๕) เป็นผู้แทนของมหาวิทยาลัยในกิจการทั่วไป
         (๖) เสนอรายงานประจำปีเกี่ยวกับกิจการด้านต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย
ต่อสภามหาวิทยาลัย
         (๗) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามระเบียบและข้อบังคับของมหาวิทยาลัย หรือตามที่
สภามหาวิทยาลัยมอบหมาย

         มาตรา ๒๑  ในกรณีที่ผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีไม่อาจปฏิบัติราชการได้
ให้รองอธิการบดีเป็นผู้รักษาราชการแทน ถ้ามีรองอธิการบดีหลายคน ให้รองอธิการบดีที่
อธิการบดีมอบหมายเป็นผู้รักษาราชการแทน ถ้าอธิการบดีมิได้มอบหมาย ให้รองอธิการบดี
ที่มีอาวุโสสูงสุดเป็นผู้รักษาราชการแทน
         ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีหรือไม่มีผู้รักษาราชการแทนอธิการบดี
ตามความในวรรคหนึ่ง หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้ง
ผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา ๑๙ เป็นผู้รักษาราชการแทนอธิการบดี และให้นำความใน
วรรคสองของมาตรา ๓๗ มาใช้บังคับโดยอนุโลม

         มาตรา ๒๒  ให้มีสภาคณาจารย์ ประกอบด้วยกรรมการซึ่งคณาจารย์ประจำ
ของมหาวิทยาลัยเลือกจากคณาจารย์ประจำของมหาวิทยาลัย
         สภาคณาจารย์มีหน้าที่ให้คำปรึกษาและข้อแนะนำในกิจการของมหาวิทยาลัย
ต่ออธิการบดี และหน้าที่อื่นตามที่อธิการบดีมอบหมาย
         องค์ประกอบ จำนวนกรรมการ หลักเกณฑ์และวิธีการเลือก วาระการ
ดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง และการดำเนินงานของสภาคณาจารย์ ให้เป็นไป
ตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย

         มาตรา ๒๓  ในวิทยาเขตหนึ่ง ให้มีสำนักงานวิทยาเขต โดยมีรองอธิการบดี
คนหนึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบงานของวิทยาเขตนั้นแทนอธิการบดีตามที่ได้รับ
มอบหมาย และจะให้มีผู้ช่วยอธิการบดีคนหนึ่งหรือหลายคนก็ได้
         สำนักงานวิทยาเขตอาจแบ่งส่วนราชการเป็นกอง หรือหน่วยงานที่เรียกชื่อ
อย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่ากอง
         การแบ่งส่วนราชการของสำนักงานวิทยาเขตตามวรรคสอง ให้ทำเป็น
ประกาศทบวงมหาวิทยาลัย

         มาตรา ๒๔  ในวิทยาเขตหนึ่ง ให้มีคณะกรรมการประจำวิทยาเขต
ประกอบด้วย รองอธิการบดีประจำวิทยาเขตเป็นประธานกรรมการ คณบดี
ผู้อำนวยการสถาบัน ผู้อำนวยการสำนัก ผู้อำนวยการวิทยาลัย ผู้อำนวยการศูนย์
และหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะในวิทยาเขตนั้น
เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง และกรรมการซึ่งสภามหาวิทยาลัยแต่งตั้งจากคณาจารย์
ประจำในวิทยาเขตนั้นมีจำนวนไม่เกินกึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการโดยตำแหน่ง
แต่ไม่น้อยกว่าสามคน
         ให้คณะกรรมการประจำวิทยาเขตแต่งตั้งบุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นเลขานุการ
ของคณะกรรมการ
         กรรมการซึ่งสภามหาวิทยาลัยแต่งตั้งมีวาระการดำรงตำแหน่งสองปีแต่
อาจได้รับแต่งตั้งใหม่อีกได้
         การประชุมของคณะกรรมการประจำวิทยาเขต ให้เป็นไปตามข้อบังคับ
ของมหาวิทยาลัย

         มาตรา ๒๕  คณะกรรมการประจำวิทยาเขต มีอำนาจและหน้าที่ ดังนี้
         (๑) ให้คำปรึกษาและข้อแนะนำเกี่ยวกับการดำเนินกิจการต่าง ๆ ของวิทยาเขต
แก่อธิการบดี
         (๒) ประสานงานระหว่างบัณฑิตวิทยาลัย คณะ สถาบัน สำนัก วิทยาลัย ศูนย์
และหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะภายในวิทยาเขต
         (๓) พิจารณาเสนอการออกระเบียบปฏิบัติของวิทยาเขตต่ออธิการบดี
และวางระเบียบหรือออกข้อบังคับอื่นตามที่สภามหาวิทยาลัยมอบหมาย
         (๔) พิจารณาเสนอแผนพัฒนา แผนงานและงบประมาณประจำปีของ
หน่วยงานต่าง ๆ ของวิทยาเขต ต่อรองอธิการบดีประจำวิทยาเขต
         (๕) ปฏิบัติงานอื่นตามที่อธิการบดีมอบหมาย

         มาตรา ๒๖  ในบัณฑิตวิทยาลัย ให้มีคณบดีเป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบ
งานของบัณฑิตวิทยาลัย และจะให้มีรองคณบดีคนหนึ่งหรือหลายคนก็ได้ เพื่อทำหน้าที่และ
รับผิดชอบตามที่คณบดีมอบหมาย
         คณบดีนั้น ให้สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้งโดยคำแนะนำของอธิการบดีจากบุคคล
ผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา ๒๗
         รองคณบดีนั้น ให้อธิการบดีแต่งตั้งโดยคำแนะนำของคณบดีจากบุคคลผู้มี
คุณสมบัติตามมาตรา ๒๗
         คณบดีมีวาระการดำรงตำแหน่งสี่ปี และอาจได้รับแต่งตั้งใหม่อีกได้แต่จะ
ดำรงตำแหน่งเกินสองวาระติดต่อกันมิได้
         เมื่อคณบดีพ้นจากตำแหน่ง ให้รองคณบดีพ้นจากตำแหน่งด้วย

         มาตรา ๒๗  คณบดีและรองคณบดีต้องมีคุณสมบัติได้ปริญญาชั้นใดชั้นหนึ่งหรือ
เทียบเท่าจากมหาวิทยาลัยหรือสถาบันอุดมศึกษาอื่นที่สภามหาวิทยาลัยรับรอง และได้
ทำการสอนหรือมีประสบการณ์ด้านการบริหารมาแล้วไม่น้อยกว่าสองปีในมหาวิทยาลัย
หรือสถาบันอุดมศึกษาอื่นที่สภามหาวิทยาลัยรับรอง

         มาตรา ๒๘  การจัดให้มีคณะกรรมการประจำบัณฑิตวิทยาลัย และการจัด
ระบบบริหารงานในบัณฑิตวิทยาลัย ให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย

         มาตรา ๒๙  ในคณะหนึ่ง ให้มีคณบดีเป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบงานของ
คณะ และจะให้มีรองคณบดีคนหนึ่งหรือหลายคนก็ได้ เพื่อทำหน้าที่และรับผิดชอบตามที่
คณบดีมอบหมาย
         การแต่งตั้ง วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง และคุณสมบัติ
ของคณบดีและรองคณบดีตามวรรคหนึ่ง ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๒๖ และมาตรา ๒๗
มาใช้บังคับโดยอนุโลม

         มาตรา ๓๐  ในคณะหนึ่ง ให้มีคณะกรรมการประจำคณะประกอบด้วย
คณบดี รองคณบดี หัวหน้าภาควิชาและหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะ
เทียบเท่าภาควิชา ถ้ามี เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง และกรรมการซึ่งอธิการบดีแต่งตั้ง
จากคณาจารย์ประจำในคณะจำนวนไม่เกินกึ่งหนึ่งของกรรมการโดยตำแหน่ง ถ้าไม่มี
การแบ่งภาควิชาหรือมีแต่ไม่ถึงสี่ภาควิชา ให้อธิการบดีแต่งตั้งคณาจารย์ประจำในคณะ
เป็นกรรมการเพิ่มเติมให้ได้จำนวนทั้งหมดไม่น้อยกว่าเจ็ดคน แต่ไม่เกินเก้าคน
         กรรมการที่อธิการบดีแต่งตั้งตามวรรคหนึ่งจะเป็นคณาจารย์ประจำใน
ภาควิชาเดียวกันเกินหนึ่งคนไม่ได้
         จำนวนและคุณสมบัติของกรรมการที่จะได้รับแต่งตั้งในแต่ละคณะให้เป็น
ไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย
         ให้คณบดีเป็นประธานคณะกรรมการประจำคณะ และให้คณบดีแต่งตั้ง
บุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นเลขานุการของคณะกรรมการประจำคณะ
         กรรมการที่อธิการบดีแต่งตั้งมีวาระการดำรงตำแหน่งสองปี แต่อาจ
ได้รับแต่งตั้งใหม่อีกได้
         การประชุมของคณะกรรมการประจำคณะ ให้เป็นไปตามข้อบังคับของ
มหาวิทยาลัย

         มาตรา ๓๑  คณะกรรมการประจำคณะมีอำนาจและหน้าที่ ดังนี้
         (๑) วางนโยบายและแผนงานของคณะให้สอดคล้องกับนโยบายของ
สภามหาวิทยาลัย
         (๒) พิจารณาหลักสูตรและรายละเอียดเกี่ยวกับหลักสูตรสำหรับคณะเพื่อ
เสนอต่อมหาวิทยาลัย
         (๓) พิจารณาวางระเบียบ และออกข้อบังคับภายในคณะตามที่
สภามหาวิทยาลัยมอบหมาย หรือเพื่อเสนอต่อสภามหาวิทยาลัย
         (๔) พิจารณาเสนอเกี่ยวกับการดำรงตำแหน่งทางวิชาการของ
คณาจารย์ในคณะต่อมหาวิทยาลัย
         (๕) จัดการวัดผล ประเมินผล และควบคุมมาตรฐานการศึกษาของคณะ
         (๖) ส่งเสริมงานวิจัย งานบริการวิชาการแก่สังคม และงานทะนุบำรุง
ศิลปวัฒนธรรม
         (๗) ให้คำปรึกษาและเสนอความเห็นแก่คณบดี
         (๘) ปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ เกี่ยวกับกิจการของคณะหรือตามที่อธิการบดีมอบหมาย

         มาตรา ๓๒  ในกรณีที่มีการแบ่งภาควิชาหรือแบ่งหน่วยงานที่เรียกชื่อ
อย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าภาควิชาในคณะ ให้มีหัวหน้าภาควิชาหรือหัวหน้าหน่วยงาน
ที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าภาควิชา เป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบงานของ
ภาควิชาหรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าภาควิชา และจะให้มี
รองหัวหน้าภาควิชาหรือรองหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่า
ภาควิชาคนหนึ่งหรือหลายคนก็ได้ เพื่อทำหน้าที่และรับผิดชอบตามที่หัวหน้าภาควิชา
หรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าภาควิชามอบหมาย
         หัวหน้าภาควิชาหรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่า
ภาควิชารวมทั้งผู้ดำรงตำแหน่งรองของตำแหน่งดังกล่าวนั้น ให้แต่งตั้งจากคณาจารย์
ประจำของมหาวิทยาลัย ซึ่งได้ทำการสอนมาแล้วไม่น้อยกว่าสามปีในมหาวิทยาลัยหรือ
สถาบันอุดมศึกษาอื่นที่สภามหาวิทยาลัยรับรอง
         การแต่งตั้งหัวหน้าภาควิชาหรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่น
ที่มีฐานะเทียบเท่าภาควิชา และรองหัวหน้าภาควิชาหรือรองหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่อ
อย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าภาควิชา ให้อธิการบดีแต่งตั้งโดยคำแนะนำของคณบดี
         หัวหน้าภาควิชาหรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่า
ภาควิชา มีวาระการดำรงตำแหน่งสี่ปี และอาจได้รับแต่งตั้งใหม่อีกได้แต่จะดำรง
ตำแหน่งเกินสองวาระติดต่อกันมิได้
         เมื่อหัวหน้าภาควิชาหรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะ
เทียบเท่าภาควิชาพ้นจากตำแหน่ง ให้รองหัวหน้าภาควิชาหรือรองหัวหน้าหน่วยงาน
ที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าภาควิชาพ้นจากตำแหน่งด้วย

         มาตรา ๓๓  ในสถาบันหรือสำนักหนึ่ง ให้มีผู้อำนวยการสถาบันหรือ
ผู้อำนวยการสำนักเป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบงานของสถาบันหรือสำนักนั้น
แล้วแต่กรณี และจะให้มีรองผู้อำนวยการสถาบันหรือรองผู้อำนวยการสำนักคนหนึ่ง
หรือหลายคนก็ได้ เพื่อทำหน้าที่และรับผิดชอบตามที่ผู้อำนวยการสถาบันหรือ
ผู้อำนวยการสำนักมอบหมาย
         การแต่งตั้ง วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง และคุณสมบัติ
ของผู้อำนวยการสถาบันหรือผู้อำนวยการสำนัก และรองผู้อำนวยการสถาบันหรือ
รองผู้อำนวยการสำนักตามวรรคหนึ่ง ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๒๖ และมาตรา ๒๗
มาใช้บังคับโดยอนุโลม

         มาตรา ๓๔  การจัดให้มีคณะกรรมการประจำสถาบันหรือคณะกรรมการ
ประจำสำนัก และการจัดระบบบริหารงานในสถาบันหรือสำนัก ให้เป็นไปตามข้อบังคับ
ของมหาวิทยาลัย

         มาตรา ๓๕  ในกรณีที่มหาวิทยาลัยมีวิทยาลัย ศูนย์ หรือหน่วยงานที่
เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ ให้มีผู้อำนวยการหรือหัวหน้าหน่วยงานที่
เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ เป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบงานของ
วิทยาลัย ศูนย์ หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ และจะให้
มีรองผู้อำนวยการหรือรองหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่า
คณะคนหนึ่งหรือหลายคนก็ได้ เพื่อทำหน้าที่และรับผิดชอบตามที่ผู้อำนวยการหรือ
หัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะมอบหมาย
         การแต่งตั้ง วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง และ
คุณสมบัติของผู้อำนวยการหรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่า
คณะ รวมทั้งผู้ดำรงตำแหน่งรองของตำแหน่งดังกล่าวตามวรรคหนึ่ง ให้นำบทบัญญัติ
มาตรา ๒๖ และมาตรา ๒๗ มาใช้บังคับโดยอนุโลม

         มาตรา ๓๖  การจัดให้มีคณะกรรมการประจำและการจัดระบบบริหารงาน
ในวิทยาลัย ศูนย์ หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ ให้เป็น
ไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย

         มาตรา ๓๗  ผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดี รองอธิการบดี ผู้ช่วยอธิการบดี
คณบดี รองคณบดี ผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการ หัวหน้าภาควิชา รองหัวหน้าภาควิชา
หัวหน้าหน่วยงานและรองหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ
หรือภาควิชา จะดำรงตำแหน่งดังกล่าวเกินหนึ่งตำแหน่งในขณะเดียวกันมิได้
         ผู้ดำรงตำแหน่งตามวรรคหนึ่งอยู่หนึ่งตำแหน่งแล้ว จะรักษาราชการ
แทนตำแหน่งดังกล่าวเกินหนึ่งตำแหน่งก็ได้ แต่ต้องไม่เกินหกเดือน

         มาตรา ๓๘  วิธีการสรรหาบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกสภามหาวิทยาลัย
กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ อธิการบดี คณบดี ผู้อำนวยการ หัวหน้าภาควิชา
หรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะหรือภาควิชา กรรมการ
ประจำวิทยาเขตซึ่งสภามหาวิทยาลัยแต่งตั้งจากคณาจารย์ประจำในวิทยาเขต และ
กรรมการประจำคณะซึ่งอธิการบดีแต่งตั้งจากคณาจารย์ประจำในคณะ ให้เป็นไปตาม
ข้อบังคับของมหาวิทยาลัย

         มาตรา ๓๙  เพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการในบัณฑิตวิทยาลัย
คณะ สถาบัน สำนัก วิทยาลัย ศูนย์ และภาควิชา หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่น
ที่มีฐานะเทียบเท่าคณะหรือภาควิชา อำนาจในการสั่ง การอนุญาต การอนุมัติ
การปฏิบัติราชการ หรือการดำเนินการอื่นที่อธิการบดีจะพึงปฏิบัติหรือดำเนินการตาม
กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่ง หรือมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องใด ถ้ากฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ คำสั่ง หรือมติของคณะรัฐมนตรีในเรื่องนั้นมิได้กำหนดเรื่องการมอบอำนาจ
ไว้เป็นอย่างอื่น หรือมิได้ห้ามเรื่องการมอบอำนาจไว้ อธิการบดีจะมอบอำนาจโดยทำ
เป็นหนังสือให้ผู้ดำรงตำแหน่งคณบดี ผู้อำนวยการ หัวหน้าภาควิชา หรือหัวหน้าหน่วยงาน
ที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะหรือภาควิชา ปฏิบัติราชการแทนอธิการบดี
เฉพาะในราชการของหน่วยงานนั้นก็ได้
         ให้ผู้ปฏิบัติราชการแทนตามวรรคหนึ่ง มีอำนาจและหน้าที่ตามที่อธิการบดี
กำหนด

         มาตรา ๔๐  ให้ผู้ปฏิบัติราชการแทนหรือผู้รักษาราชการแทนตามมาตรา ๑๗
มาตรา ๒๑ มาตรา ๒๖ มาตรา ๒๙ มาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ และมาตรา ๓๕
มีอำนาจและหน้าที่เช่นเดียวกับผู้ซึ่งตนแทน
         ในกรณีที่กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่ง หรือมติคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง
ให้ผู้ดำรงตำแหน่งใดเป็นกรรมการหรือให้มีอำนาจหน้าที่อย่างใด ให้ผู้ปฏิบัติราชการ
แทนหรือผู้รักษาราชการแทน ทำหน้าที่กรรมการหรือมีอำนาจและหน้าที่เช่นเดียวกับ
ผู้ดำรงตำแหน่งนั้นในระหว่างที่ปฏิบัติราชการแทนหรือรักษาราชการแทนด้วย แล้วแต่
กรณี

         มาตรา ๔๑  คณาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยมีตำแหน่งทางวิชาการ ดังนี้
         (๑) ศาสตราจารย์
         (๒) รองศาสตราจารย์
         (๓) ผู้ช่วยศาสตราจารย์
         (๔) อาจารย์
         คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ และวิธีการแต่งตั้งและถอดถอนคณาจารย์ประจำตาม
วรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย

         มาตรา ๔๒  ศาสตราจารย์พิเศษนั้น จะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
แต่งตั้งโดยคำแนะนำของสภามหาวิทยาลัยจากผู้ที่มิได้เป็นคณาจารย์ประจำของ
มหาวิทยาลัย
         คุณสมบัติและหลักเกณฑ์ในการแต่งตั้งศาสตราจารย์พิเศษ ให้เป็นไปตาม
ข้อบังคับของมหาวิทยาลัย

         มาตรา ๔๓  สภามหาวิทยาลัยอาจแต่งตั้งผู้ซึ่งมีคุณสมบัติเหมาะสมและ
มิได้เป็นคณาจารย์ประจำของมหาวิทยาลัย เป็นรองศาสตราจารย์พิเศษ ผู้ช่วย
ศาสตราจารย์พิเศษ และอาจารย์พิเศษได้
         คุณสมบัติและหลักเกณฑ์ในการแต่งตั้งรองศาสตราจารย์พิเศษ ผู้ช่วย
ศาสตราจารย์พิเศษ และอาจารย์พิเศษตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามข้อบังคับของ
มหาวิทยาลัย

         มาตรา ๔๔  ศาสตราจารย์ที่มีความรู้ความสามารถและความชำนาญ
เป็นพิเศษซึ่งพ้นจากตำแหน่งไปโดยไม่มีความผิด สภามหาวิทยาลัยอาจแต่งตั้งให้เป็น
ศาสตราจารย์เกียรติคุณในสาขาวิชาที่ศาสตราจารย์นั้นมีความเชี่ยวชาญเพื่อเป็น
เกียรติยศได้
         คุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์เกียรติคุณ ให้เป็นไป
ตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย

         มาตรา ๔๕  ปริญญามีสามชั้น คือ
         เอก       เรียกว่า      ดุษฎีบัณฑิต      ใช้อักษรย่อ ด.
         โท        เรียกว่า      มหาบัณฑิต      ใช้อักษรย่อ ม.
         ตรี        เรียกว่า      บัณฑิต         ใช้อักษรย่อ บ.

         มาตรา ๔๖  มหาวิทยาลัยมีอำนาจให้ปริญญาในสาขาวิชาที่มีการสอน
ในมหาวิทยาลัย
         การกำหนดให้สาขาวิชาใดมีปริญญาชั้นใด และจะใช้อักษรย่อสำหรับสาขา
วิชานั้นอย่างไร ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา

         มาตรา ๔๗  สภามหาวิทยาลัยอาจออกข้อบังคับให้ผู้สำเร็จการศึกษาชั้น
ปริญญาตรีได้รับปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง หรือปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับสองก็ได้

         มาตรา ๔๘  สภามหาวิทยาลัยอาจออกข้อบังคับกำหนดให้มีประกาศนียบัตร
บัณฑิต อนุปริญญา และประกาศนียบัตร สำหรับสาขาวิชาใดได้ ดังนี้
         (๑) ประกาศนียบัตรบัณฑิต ออกให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษาในสาขาวิชาหนึ่ง
สาขาวิชาใดภายหลังที่ได้รับปริญญาแล้ว
         (๒) อนุปริญญา ออกให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรในสาขาวิชาหนึ่ง
สาขาวิชาใดก่อนถึงขั้นได้รับปริญญาตรี
         (๓) ประกาศนียบัตร ออกให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษาเฉพาะวิชา

         มาตรา ๔๙  มหาวิทยาลัยมีอำนาจให้ปริญญากิตติมศักดิ์แก่บุคคลซึ่ง
สภามหาวิทยาลัยเห็นว่าทรงคุณวุฒิสมควรแก่ปริญญานั้น ๆ แต่จะให้ปริญญาดังกล่าวแก่
คณาจารย์ประจำ หรือผู้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัยหรือกรรมการ
สภามหาวิทยาลัยมิได้
         ชั้น สาขาของปริญญา และหลักเกณฑ์การให้ปริญญากิตติมศักดิ์ ให้เป็นไป
ตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย

         มาตรา ๕๐  มหาวิทยาลัยอาจกำหนดให้มีครุยวิทยฐานะหรือเข็มวิทยฐานะ
เป็นเครื่องหมายแสดงวิทยฐานะของผู้ได้รับปริญญา ประกาศนียบัตรบัณฑิต อนุปริญญา
และประกาศนียบัตร และอาจกำหนดให้มีครุยประจำตำแหน่งกรรมการสภามหาวิทยาลัย
หรือครุยประจำตำแหน่งคณาจารย์ของมหาวิทยาลัยก็ได้
         การกำหนดลักษณะ ชนิด ประเภท และส่วนประกอบของครุยวิทยฐานะ
เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่ง ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
         ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งจะใช้ในโอกาสใด
โดยมีเงื่อนไขอย่างใด ให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย

         มาตรา ๕๑  สภามหาวิทยาลัยอาจออกข้อบังคับให้มีเครื่องแบบ เครื่องหมาย
หรือเครื่องแต่งกายนิสิตได้ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา

         มาตรา ๕๒  ผู้ใดใช้ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ ครุยประจำตำแหน่ง
เครื่องแบบ เครื่องหมาย หรือเครื่องแต่งกายนิสิตของมหาวิทยาลัย โดยไม่มีสิทธิ
ที่จะใช้ หรือแสดงด้วยประการใด ๆ ว่าตนมีปริญญา ประกาศนียบัตรบัณฑิต อนุปริญญา
ประกาศนียบัตร หรือตำแหน่งของมหาวิทยาลัย โดยที่ตนไม่มีสิทธิ ถ้าได้กระทำเพื่อให้
บุคคลอื่นเชื่อว่าตนมีสิทธิจะใช้ หรือมีวิทยฐานะหรือตำแหน่งเช่นนั้น ต้องระวางโทษ
จำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
                           บทเฉพาะกาล
                           ----------

         มาตรา ๕๓  ให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน หนี้สิน ข้าราชการ ลูกจ้าง
เงินงบประมาณ และรายได้ของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒตามพระราชบัญญัติ
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พ.ศ. ๒๕๑๗ เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับราชการของ
วิทยาเขตมหาสารคาม คณะเทคโนโลยี สถาบันวิจัยวลัยรุกขเวช สถาบันวิจัยศิลปะ
และวัฒนธรรมอีสาน และสำนักวิทยบริการ ไปเป็นของมหาวิทยาลัยมหาสารคามตาม
พระราชบัญญัตินี้

         มาตรา ๕๔  คณะ กอง ธุรการวิทยาเขต และส่วนราชการอื่นของ
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตมหาสารคาม คณะเทคโนโลยี สถาบันวิจัย
วลัยรุกขเวช สถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน และสำนักวิทยบริการตาม
พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พ.ศ. ๒๕๑๗ ซึ่งมีอยู่ในวันที่
พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้คงอยู่ต่อไปจนกว่าจะได้
ตราพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งส่วนราชการตามพระราชบัญญัตินี้

         มาตรา ๕๕  ให้รองอธิการบดีซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบ
การบริหารงานของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตมหาสารคาม อยู่ใน
วันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา รักษาการในตำแหน่งอธิการบดี
มหาวิทยาลัยมหาสารคามจนกว่าจะมีการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีขึ้นใหม่
ตามมาตรา ๑๘ ซึ่งต้องไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

         มาตรา ๕๖  ในระยะเริ่มแรก ให้สภามหาวิทยาลัยประกอบด้วย
         (๑) รัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัยเป็นนายกสภามหาวิทยาลัย และ
ปลัดทบวงมหาวิทยาลัยเป็นอุปนายกสภามหาวิทยาลัย
         (๒) ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการ
เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ อธิการบดี
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม เป็นกรรมการ
สภามหาวิทยาลัย
         (๓) บุคคลซึ่งรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัยแต่งตั้งจากคณะกรรมการ
บริหารมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตมหาสารคาม จำนวนไม่เกินสามคน
จากคณาจารย์และข้าราชการในมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตมหาสารคาม
โดยเป็นคณาจารย์จำนวนสองคน ข้าราชการจำนวนหนึ่งคน และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งเป็น
บุคคลภายนอกมหาวิทยาลัยจำนวนเจ็ดคน เป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัย
         (๔) ผู้รักษาการในตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคามเป็น
กรรมการและเลขานุการสภามหาวิทยาลัย
         ทั้งนี้ ให้สภามหาวิทยาลัยตามวรรคหนึ่ง ปฏิบัติหน้าที่ไปจนกว่าจะได้มี
สภามหาวิทยาลัยตามพระราชบัญญัตินี้ ซึ่งต้องไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่
พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

         มาตรา ๕๗  ให้รองคณบดี รองผู้อำนวยการ และหัวหน้าภาควิชาของ
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตมหาสารคาม ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันที่
พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา รักษาการในตำแหน่งคณบดี ผู้อำนวยการ
และหัวหน้าภาควิชา จนกว่าจะได้มีการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งคณบดี ผู้อำนวยการ
และหัวหน้าภาควิชาตามพระราชบัญญัตินี้ แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ ต้องไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
         ให้คณบดีและรองคณบดีคณะเทคโนโลยี ผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการ
สถาบันวิจัยวลัยรุกขเวช สถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน และสำนักวิทยบริการ
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษา คงอยู่ในตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะได้มีการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่ง
ดังกล่าวขึ้นใหม่ตามพระราชบัญญัตินี้ แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ ต้องไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใชับังคับ

         มาตรา ๕๘  การนับวาระการดำรงตำแหน่งของอธิการบดี คณบดี
ผู้อำนวยการและหัวหน้าภาควิชา ให้นับวาระการดำรงตำแหน่งตามพระราชบัญญัตินี้
เป็นวาระแรก

         มาตรา ๕๙  ให้ผู้ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ประจำ ศาสตราจารย์พิเศษ
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ รองศาสตราจารย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อาจารย์ประจำ
หรืออาจารย์พิเศษ ของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตมหาสารคาม
คณะเทคโนโลยี สถาบันวิจัยวลัยรุกขเวช สถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน
และสำนักวิทยบริการตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พ.ศ. ๒๕๑๗
อยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา มีฐานะเป็นศาสตราจารย์
ศาสตราจารย์พิเศษ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ รองศาสตราจารย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์
อาจารย์ประจำหรืออาจารย์พิเศษ ต่อไปตามพระราชบัญญัตินี้

         มาตรา ๖๐  ในระหว่างที่ยังไม่มีพระราชกฤษฎีกา ประกาศทบวงมหาวิทยาลัย
ระเบียบ และข้อบังคับ เพื่อปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ ให้นำพระราชกฤษฎีกา ประกาศ
สำนักนายกรัฐมนตรี ประกาศทบวงมหาวิทยาลัย ระเบียบ และข้อบังคับ ซึ่งออกตาม
พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พ.ศ. ๒๕๑๗ ที่ใช้อยู่ในวันที่พระราชบัญญัติ
นี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ชวน  หลีกภัย
นายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากในปัจจุบัน
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตมหาสารคาม ประสบปัญหาความไม่คล่องตัว
เกี่ยวกับการจัดโครงสร้าง การกำหนดนโยบาย การงบประมาณและการบริหารด้านต่าง ๆ
ของมหาวิทยาลัย ทำให้ไม่สามารถพัฒนาและขยายสาขาวิชาให้สอดคล้องกับความต้องการ
และรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และวัฒนธรรมของประเทศได้
ดังนั้น เพื่อให้การพัฒนาและการดำเนินการตามภารกิจของมหาวิทยาลัยเป็นไปอย่างสมบูรณ์
และมีประสิทธิภาพ อันจะนำไปสู่ความเป็นเลิศทางวิชาการ สมควรยกฐานะมหาวิทยาลัย
ศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตมหาสารคาม เป็นมหาวิทยาลัยมหาสารคาม จึงจำเป็นต้อง
ตราพระราชบัญญัตินี้
(ร.จ. เล่ม ๑๑๑  ตอนที่ ๕๔ ก  หน้า ๑  วันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๓๗)