พระราชบัญญัติ
                          วิชาชีพเภสัชกรรม
                            พ.ศ. 2537
                            ---------
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
                 ให้ไว้ ณ วันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2537
                     เป็นปีที่ ๔๙ ในราชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรด
เกล้า ฯ ให้ประกาศว่า
         โดยที่เป็นการสมควรให้มีกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเภสัชกรรม
          จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและ
ยินยอมของรัฐสภาดังต่อไปนี้

         มาตรา ๑  พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติวิชาชีพเภสัชกรรม
พ.ศ. 2537"

         มาตรา ๒  พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

         มาตรา ๓  บรรดาบทกฎหมาย กฎ และข้อบังคับอื่นในส่วนที่มีบัญญัติไว้แล้ว
ในพระราชบัญญัตินี้ หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้แทน

         มาตรา ๔  ในพระราชบัญญัตินี้
         "วิชาชีพเภสัชกรรม" หมายความว่า วิชาชีพที่เกี่ยวกับการกระทำในการ
เตรียมยา การผลิตยา การประดิษฐ์ยา การเลือกสรรยา การวิเคราะห์ยา การควบคุม
และการประกันคุณภาพยา การปรุงและจ่ายยาตามใบสั่งยาของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม
หรือผู้ประกอบวิชาชีพทันตกรรม หรือผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์ รวมทั้งการดำเนินการ
ปรุงยาและการขายยาตามกฎหมายว่าด้วยยา
         "ผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม" หมายความว่า บุคคลซึ่งได้ขึ้นทะเบียนและ
รับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมจากสภาเภสัชกรรม
         "ใบอนุญาต" หมายความว่า ใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมจาก
สภาเภสัชกรรม
         "สมาชิก" หมายความว่า สมาชิกสภาเภสัชกรรม
         "กรรมการ" หมายความว่า กรรมการสภาเภสัชกรรม
         "คณะกรรมการ" หมายความว่า คณะกรรมการสภาเภสัชกรรม
         "พนักงานเจ้าหน้าที่" หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตาม
พระราชบัญญัตินี้
         "เลขาธิการ" หมายความว่า เลขาธิการสภาเภสัชกรรม
         "รัฐมนตรี" หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

         มาตรา ๕  ในกรณีที่บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดอ้างถึงการประกอบโรคศิลปะ
แผนปัจจุบัน สาขาเภสัชกรรม หรือผู้ประกอบโรคศิลปะแผนปัจจุบัน สาขาเภสัชกรรม
ให้หมายความถึงการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม หรือผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมตาม
พระราชบัญญัตินี้

         มาตรา ๖  ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ กับออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมไม่เกินอัตรา
ท้ายพระราชบัญญัตินี้ รวมทั้งออกกฎกระทรวงและระเบียบเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
         กฎกระทรวงและระเบียบนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้
บังคับได้

         มาตรา ๗  ให้มีสภาเภสัชกรรม มีวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้
ในพระราชบัญญัตินี้
         ให้สภาเภสัชกรรมเป็นนิติบุคคล

         มาตรา ๘  สภาเภสัชกรรมมีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
         (๑) ส่งเสริมการศึกษา การวิจัย และการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม
         (๒) ส่งเสริมความสามัคคีและผดุงเกียรติของสมาชิก
         (๓) ผดุงไว้ซึ่งสิทธิ ความเป็นธรรม และส่งเสริมสวัสดิการให้แก่สมาชิก
         (๔) ควบคุมความประพฤติของผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมให้ถูกต้องตาม
จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพเภสัชกรรม
         (๕) ช่วยเหลือ แนะนำ เผยแพร่ และให้การศึกษาแก่ประชาชนและองค์กร
อื่นในเรื่องที่เกี่ยวกับการเภสัชกรรมและการสาธารณสุข
         (๖) ให้คำปรึกษาหรือข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลเกี่ยวกับการเภสัชกรรมและ
การสาธารณสุข
         (๗) เป็นตัวแทนของผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมในประเทศไทย

         มาตรา ๙  สภาเภสัชกรรมมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
         (๑) รับขึ้นทะเบียนและออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ขอเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม
         (๒) วินิจฉัยชี้ขาดตามมาตรา ๔๒ วรรคสาม
         (๓) รับรองปริญญา ประกาศนียบัตรในวิชาเภสัชศาสตร์ หรือวุฒิบัตรในวิชาชีพ
เภสัชกรรมของสถาบันต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการสมัครเป็นสมาชิก
         (๔) รับรองหลักสูตรต่าง ๆ สำหรับการฝึกอบรมเป็นผู้ชำนาญการในสาขา
ต่าง ๆ ของวิชาชีพเภสัชกรรมของสถาบันที่ทำการฝึกอบรมเป็นผู้ชำนาญการในสาขาต่าง ๆ
ของวิชาชีพเภสัชกรรม
         (๕) รับรองวิทยฐานะของสถาบันที่ทำการฝึกอบรมใน (๔)
         (๖) ออกหนังสืออนุมัติหรือวุฒิบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพ
เภสัชกรรมสาขาต่าง ๆ และออกหนังสือแสดงวุฒิอื่นในวิชาชีพเภสัชกรรม
         (๗) ดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของสภาเภสัชกรรม

         มาตรา ๑๐  สภาเภสัชกรรมอาจมีรายได้ดังต่อไปนี้
         (๑) เงินอุดหนุนจากงบประมาณแผ่นดิน
         (๒) ค่าขึ้นทะเบียนสมาชิก ค่าบำรุง และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ
         (๓) ผลประโยชน์จากการจัดการทรัพย์สินและกิจกรรมตามวัตถุประสงค์ที่
กำหนดในมาตรา ๘
         (๔) เงินและทรัพย์สินซึ่งมีผู้ให้แก่สภาเภสัชกรรม
         (๕) ดอกผลของเงินและทรัพย์สินตาม (๑) (๒) (๓) และ (๔)

         มาตรา ๑๑  ให้รัฐมนตรีดำรงตำแหน่งสภานายกพิเศษแห่งสภาเภสัชกรรม
มีอำนาจหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้

         มาตรา ๑๒  ผู้สมัครเป็นสมาชิกสภาเภสัชกรรมต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
         (๑) มีอายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบปีบริบูรณ์
         (๒) มีความรู้ในวิชาชีพเภสัชกรรมโดยได้รับปริญญาหรือประกาศนียบัตรใน
วิชาเภสัชศาสตร์จากสถาบันการศึกษาที่ทบวงมหาวิทยาลัยรับรองหรือที่สภาเภสัชกรรมรับรอง
         (๓) ไม่เป็นผู้ประพฤติเสียหายซึ่งคณะกรรมการเห็นว่าจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสีย
เกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ
         (๔) ไม่เคยต้องโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
ให้จำคุกในคดีที่คณะกรรมการเห็นว่าจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ
         (๕) ไม่เป็นผู้มีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ หรือไม่เป็นโรคที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ
สภาเภสัชกรรม

         มาตรา ๑๓  สิทธิและหน้าที่ของสมาชิกมีดังต่อไปนี้
         (๑) ขอขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม
ขอหนังสืออนุมัติหรือวุฒิบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม
สาขาต่าง ๆ หรือขอหนังสือแสดงวุฒิอื่นในวิชาชีพเภสัชกรรม โดยปฏิบัติตามข้อบังคับ
สภาเภสัชกรรมว่าด้วยการนั้น
         (๒) แสดงความเห็นเป็นหนังสือเกี่ยวกับกิจการของสภาเภสัชกรรมส่งไป
ยังคณะกรรมการเพื่อพิจารณา และในกรณีที่สมาชิกร่วมกันตั้งแต่ห้าสิบคนขึ้นไป เสนอให้
คณะกรรมการพิจารณาเรื่องใดที่เกี่ยวกับกิจการของสภาเภสัชกรรม คณะกรรมการต้อง
พิจารณาและแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้เสนอทราบโดยไม่ชักช้า
         (๓) เลือก รับเลือก หรือรับเลือกตั้งเป็นกรรมการ
         (๔) ผดุงไว้ซึ่งเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพและปฏิบัติตนตามพระราชบัญญัตินี้

         มาตรา ๑๔  สมาชิกภาพของสมาชิกสิ้นสุดลง เมื่อ
         (๑) ตาย
         (๒) ลาออก
         (๓) ขาดคุณสมบัติตามมาตรา ๑๒ (๑) (๒) หรือ (๕)
         (๔) คณะกรรมการมีมติให้พ้นจากสมาชิกภาพ เพราะเห็นว่าเป็นผู้นำมาซึ่ง
ความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพตามมาตรา ๑๒ (๓) หรือ (๔)

         มาตรา ๑๕  ให้มีคณะกรรมการสภาเภสัชกรรม ประกอบด้วย
         (๑) กรรมการโดยตำแหน่ง ได้แก่ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข
นายกเภสัชกรรมสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ คณบดีคณะเภสัชศาสตร์
ในสถาบันอุดมศึกษาที่ได้รับความเห็นชอบหรือได้รับอนุญาตจากทบวงมหาวิทยาลัย
ให้จัดตั้งขึ้นตามที่ทบวงมหาวิทยาลัยเสนอจำนวนห้าคน
         (๒) กรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งโดยเป็นผู้แทนจากกระทรวงสาธารณสุขสามคน
จากกระทรวงกลาโหมหนึ่งคน และจากกระทรวงมหาดไทยหนึ่งคน และ
         (๓) กรรมการซึ่งได้รับเลือกตั้งโดยสมาชิกมีจำนวนเท่ากับจำนวนกรรมการใน
(๑) และ (๒) รวมกันในขณะเลือกตั้งแต่ละคราว
         ให้เลขาธิการเป็นกรรมการและเลขานุการ

         มาตรา ๑๖  คณะกรรมการอาจแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นที่ปรึกษาได้
         ให้ที่ปรึกษาดำรงตำแหน่งตามวาระของกรรมการซึ่งได้รับเลือกตั้ง

         มาตรา ๑๗  ให้คณะกรรมการเลือกกรรมการภายในสามสิบวันนับจาก
วันเลือกตั้งกรรมการตามมาตรา ๑๕ (๓) เพื่อดำรงตำแหน่งนายกสภาเภสัชกรรม
อุปนายกสภาเภสัชกรรมคนที่หนึ่งและอุปนายกสภาเภสัชกรรมคนที่สอง ตำแหน่งละหนึ่งคน
         ให้นายกสภาเภสัชกรรมเลือกกรรมการเพื่อดำรงตำแหน่งเลขาธิการ
รองเลขาธิการ ประชาสัมพันธ์ และเหรัญญิก ตำแหน่งละหนึ่งคน และอาจเลือกกรรมการ
เพื่อดำรงตำแหน่งอื่นได้ตามความจำเป็น ทั้งนี้ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ
         ให้นายกสภาเภสัชกรรมมีอำนาจถอดถอนเลขาธิการ รองเลขาธิการ
ประชาสัมพันธ์ เหรัญญิก และผู้ดำรงตำแหน่งอื่นตามวรรคสองออกจากตำแหน่งได้ ทั้งนี้
โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ
         ให้นายกสภาเภสัชกรรม อุปนายกสภาเภสัชกรรมคนที่หนึ่งและอุปนายก
สภาเภสัชกรรมคนที่สองดำรงตำแหน่งตามวาระของกรรมการซึ่งได้รับเลือกตั้ง
         เมื่อผู้ดำรงตำแหน่งนายกสภาเภสัชกรรมพ้นจากหน้าที่ให้เลขาธิการ
รองเลขาธิการ ประชาสัมพันธ์ เหรัญญิก และผู้ดำรงตำแหน่งอื่นตามวรรคสองพ้นจาก
ตำแหน่งด้วย

         มาตรา ๑๘  การเลือกตั้งกรรมการตามมาตรา ๑๕ การแต่งตั้งที่ปรึกษาตาม
มาตรา ๑๖ การเลือกกรรมการเพื่อดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ตามมาตรา ๑๗ และการเลือก
หรือการเลือกตั้งกรรมการตามมาตรา ๒๒ ให้เป็นไปตามข้อบังคับสภาเภสัชกรรม

         มาตรา ๑๙  กรรมการตามมาตรา ๑๕ ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
         (๑) เป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม
         (๒) เป็นผู้ไม่เคยถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตหรือเพิกถอนใบอนุญาต
         (๓) เป็นผู้ไม่เคยถูกศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย
         ความใน (๑) มิให้นำมาใช้บังคับกับปลัดกระทรวงสาธารณสุข

         มาตรา ๒๐  กรรมการตามมาตรา ๑๕ (๓) มีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละ
สามปี และอาจได้รับเลือกตั้งใหม่ได้ แต่จะดำรงตำแหน่งเกินสองคราวติดต่อกันไม่ได้
         ให้กรรมการที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระปฏิบัติหน้าที่ไปพลางก่อนจนกว่าจะมี
การเลือกตั้งกรรมการขึ้นใหม่

         มาตรา ๒๑  นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ กรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้ง
ได้รับเลือกตั้ง หรือได้รับเลือก พ้นจากตำแหน่งเมื่อ
         (๑) สมาชิกภาพสิ้นสุดลงตามมาตรา ๑๔
         (๒) ขาดคุณสมบัติตามมาตรา ๑๙
         (๓) ลาออก

         มาตรา ๒๒  เมื่อตำแหน่งกรรมการซึ่งได้รับเลือกตั้งตามมาตรา ๑๕ (๓)
ว่างลงไม่เกินกึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการดังกล่าวทั้งหมดก่อนครบวาระ ให้คณะกรรมการ
เลือกสมาชิกผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา ๑๒ เป็นกรรมการแทนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่
ตำแหน่งกรรมการนั้นว่างลง
         ในกรณีที่ตำแหน่งกรรมการตามวรรคหนึ่งว่างลงรวมกันเกินกึ่งหนึ่งของจำนวน
กรรมการซึ่งได้รับเลือกตั้ง ให้มีการเลือกตั้งกรรมการโดยสมาชิกขึ้นแทนภายในเก้าสิบวัน
นับแต่วันที่จำนวนกรรมการดังกล่าวได้ว่างลงเกินกึ่งหนึ่ง
         ถ้าวาระของกรรมการซึ่งได้รับเลือกตั้งเหลืออยู่ไม่ถึงเก้าสิบวัน คณะกรรมการ
จะให้มีการเลือกหรือเลือกตั้งกรรมการแทนหรือไม่ก็ได้
         ให้ผู้ซึ่งเป็นกรรมการแทนนั้นอยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่าวาระที่เหลืออยู่ของ
กรรมการซึ่งตนแทน

         มาตรา ๒๓  ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
         (๑) บริหารและดำเนินกิจการสภาเภสัชกรรมตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดใน
มาตรา ๘
         (๒) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการจรรยาบรรณ คณะอนุกรรมการสอบสวน
และคณะอนุกรรมการอื่น เพื่อทำกิจการหรือพิจารณาเรื่องต่าง ๆ อันอยู่ในขอบเขตแห่ง
วัตถุประสงค์ของสภาเภสัชกรรม
         (๓) กำหนดงบประมาณของสภาเภสัชกรรม
         (๔) ออกข้อบังคับสภาเภสัชกรรมว่าด้วย
             (ก) การเป็นสมาชิก
             (ข) การกำหนดโรคตามมาตรา ๑๒ (๕)
             (ค) การกำหนดค่าขึ้นทะเบียนสมาชิก ค่าบำรุง และค่าธรรมเนียมอื่น
นอกจากที่กำหนดไว้ในอัตราค่าธรรมเนียมท้ายพระราชบัญญัตินี้
             (ง) การเลือกและการเลือกตั้งกรรมการ และการแต่งตั้งที่ปรึกษา
             (จ) การประชุมคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ และคณะที่ปรึกษา
             (ฉ) การกำหนดอำนาจหน้าที่ของผู้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาตามมาตรา ๑๖
             (ช) การกำหนดอำนาจหน้าที่ของผู้ดำรงตำแหน่งอื่นตามมาตรา ๑๗
วรรคสอง
             (ซ) คุณสมบัติของผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมตามมาตรา ๓๒
             (ฌ) หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการขึ้นทะเบียนและการออกใบอนุญาต
แบบและประเภทใบอนุญาต
             (ญ) การกำหนดหลักเกณฑ์การพักใช้ใบอนุญาตหรือเพิกถอนใบอนุญาต
             (ฎ) หลักเกณฑ์การออกหนังสืออนุมัติหรือวุฒิบัตรแสดงความรู้ความชำนาญ
ในการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมสาขาต่าง ๆ และหนังสือแสดงวุฒิอื่นในวิชาชีพเภสัชกรรม
             (ฏ) จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพเภสัชกรรม
             (ฐ) การจัดตั้ง การดำเนินการ และการเลิกสถาบันที่ทำการฝึกอบรม
เป็นผู้ชำนาญการในสาขาต่าง ๆ ของวิชาชีพเภสัชกรรม
             (ฑ) หลักเกณฑ์ว่าด้วยการสอบความรู้ตามอำนาจหน้าที่ของสภาเภสัชกรรม
             (ฒ) หลักเกณฑ์ว่าด้วยการสืบสวนหรือสอบสวนในกรณีที่มีการกล่าวหาหรือ
การกล่าวโทษผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม
             (ณ) ข้อจำกัดและเงื่อนไขในการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม
             (ด) เรื่องอื่น ๆ อันอยู่ในขอบเขตแห่งวัตถุประสงค์ของสภาเภสัชกรรม
หรืออยู่ในอำนาจหน้าที่ของสภาเภสัชกรรมตามกฎหมายอื่น
         ภายใต้บังคับมาตรา ๒๗ ข้อบังคับสภาเภสัชกรรมเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
แล้วให้ใช้บังคับได้

         มาตรา ๒๔  นายกสภาเภสัชกรรม อุปนายกสภาเภสัชกรรมคนที่หนึ่ง อุปนายก
สภาเภสัชกรรมคนที่สอง เลขาธิการ รองเลขาธิการ ประชาสัมพันธ์ เหรัญญิก ที่ปรึกษา
และผู้ดำรงตำแหน่งอื่น มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
         (๑) นายกสภาเภสัชกรรม มีอำนาจหน้าที่
             (ก) บริหารและดำเนินกิจการของสภาเภสัชกรรมให้เป็นไปตาม
พระราชบัญญัตินี้หรือตามมติของคณะกรรมการ
             (ข) เป็นผู้แทนสภาเภสัชกรรมในกิจการต่าง ๆ
             (ค) เป็นประธานในที่ประชุมคณะกรรมการ
         นายกสภาเภสัชกรรมอาจมอบหมายเป็นหนังสือให้กรรมการอื่นปฏิบัติหน้าที่
แทนตามที่เห็นสมควรได้
         (๒) อุปนายกสภาเภสัชกรรมคนที่หนึ่ง เป็นผู้ช่วยนายกสภาเภสัชกรรมใน
กิจการอันอยู่ในอำนาจหน้าที่ของนายกสภาเภสัชกรรมตามที่นายกสภาเภสัชกรรมมอบหมาย
และเป็นผู้ทำการแทนนายกสภาเภสัชกรรมเมื่อนายกสภาเภสัชกรรมไม่อยู่หรือไม่สามารถ
ปฏิบัติหน้าที่ได้
         (๓) อุปนายกสภาเภสัชกรรมคนที่สอง เป็นผู้ช่วยนายกสภาเภสัชกรรมในกิจการ
อันอยู่ในอำนาจหน้าที่ของนายกสภาเภสัชกรรมตามที่นายกสภาเภสัชกรรมมอบหมายและเป็น
ผู้ทำการแทนนายกสภาเภสัชกรรมเมื่อทั้งนายกสภาเภสัชกรรมและอุปนายกสภาเภสัชกรรม
คนที่หนึ่งไม่อยู่หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
         (๔) เลขาธิการ มีอำนาจหน้าที่
             (ก) ควบคุมบังคับบัญชาเจ้าหน้าที่สภาเภสัชกรรมทุกระดับ
             (ข) ควบคุมรับผิดชอบในงานธุรการทั่วไปของสภาเภสัชกรรม
             (ค) รับผิดชอบในการดูแลรักษาทะเบียนสมาชิก ทะเบียนผู้ประกอบวิชาชีพ
เภสัชกรรม และทะเบียนอื่น ๆ ของสภาเภสัชกรรม
             (ง) ควบคุมดูแลทรัพย์สินของสภาเภสัชกรรม
             (จ) เป็นเลขานุการคณะกรรมการ
         (๕) รองเลขาธิการ เป็นผู้ช่วยเลขาธิการในกิจการอันอยู่ในอำนาจหน้าที่
ของเลขาธิการตามที่เลขาธิการมอบหมาย และเป็นผู้ทำการแทนเลขาธิการเมื่อเลขาธิการ
ไม่อยู่หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
         (๖) ประชาสัมพันธ์ มีอำนาจหน้าที่ในการประชาสัมพันธ์ แนะนำ และเผยแพร่
กิจการของสภาเภสัชกรรมแก่ประชาชนและองค์กรอื่น
         (๗)เหรัญญิก มีอำนาจหน้าที่ควบคุม ดูแล รับผิดชอบการบัญชี การเงิน และ
การงบประมาณของสภาเภสัชกรรม
         (๘) ผู้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาตามมาตรา ๑๖ ให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่คณะกรรมการ
กำหนด
         (๙) ผู้ดำรงตำแหน่งอื่นตามมาตรา ๑๗ วรรคสอง ให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่
คณะกรรมการกำหนด

         มาตรา ๒๕  การประชุมคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่า
กึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม
         มติของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการคนหนึ่งมีเสียงหนึ่งเสียงในการ
ลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็น
เสียงชี้ขาด
         มติของที่ประชุมในกรณีให้สมาชิกพ้นจากสมาชิกภาพตามมาตรา ๑๔ (๔) หรือ
ให้พักใช้ใบอนุญาตหรือเพิกถอนใบอนุญาตตามมาตรา ๔๒ วรรคสาม (๔) หรือ (๕) ให้
ถือคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนกรรมการทั้งคณะ
         การประชุมคณะอนุกรรมการ ให้นำความในวรรคหนึ่งและวรรคสองมาใช้บังคับ
โดยอนุโลม
         การประชุมคณะที่ปรึกษา ให้เป็นไปตามข้อบังคับสภาเภสัชกรรม

         มาตรา ๒๖  สภานายกพิเศษจะเข้าฟังการประชุมและชี้แจงแสดงความเห็นใน
ที่ประชุมคณะกรรมการ หรือจะส่งความเห็นเป็นหนังสือไปยังสภาเภสัชกรรมในเรื่องใด ๆ
ก็ได้

         มาตรา ๒๗  มติของที่ประชุมคณะกรรมการในเรื่องดังต่อไปนี้ ต้องได้รับ
ความเห็นชอบจากสภานายกพิเศษก่อน จึงจะดำเนินการตามมตินั้นได้
         (๑) การออกข้อบังคับ
         (๒) การกำหนดงบประมาณของสภาเภสัชกรรม
         (๓) การให้สมาชิกพ้นจากสมาชิกภาพตามมาตรา ๑๔ (๔)
         (๔) การวินิจฉัยชี้ขาดให้พักใช้ใบอนุญาตหรือให้เพิกถอนใบอนุญาตตามมาตรา ๔๒
วรรคสาม (๔) หรือ (๕)
         ให้นายกสภาเภสัชกรรมเสนอมติตามวรรคหนึ่งต่อสภานายกพิเศษโดยไม่ชักช้า
สภานายกพิเศษอาจมีคำสั่งยับยั้งมตินั้นได้ ในกรณีที่มิได้ยับยั้งภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับ
มติที่นายกสภาเภสัชกรรมเสนอ ให้ถือว่าสภานายกพิเศษให้ความเห็นชอบมตินั้น
         ถ้าสภานายกพิเศษยับยั้งมติใด ให้คณะกรรมการประชุมพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับการยับยั้ง ในการประชุมนั้น ถ้ามีเสียงยืนยันมติไม่น้อย
กว่าสองในสามของจำนวนกรรมการทั้งคณะ ก็ให้ดำเนินการตามมตินั้นได้

         มาตรา ๒๘  ห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งมิได้เป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมทำการ
ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมหรือแสดงด้วยวิธีใด ๆ ให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนเป็นผู้มีสิทธิประกอบ
วิชาชีพดังกล่าว โดยมิได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาต เว้นแต่ในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่ง
ดังต่อไปนี้
         (๑) การประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมที่กระทำต่อตนเอง
         (๒) นักเรียน นักศึกษา หรือผู้รับการฝึกอบรมซึ่งทำการฝึกหัดหรือฝึกอบรม
ในความควบคุมของสถาบันการศึกษาวิชาเภสัชศาสตร์ของรัฐหรือที่ได้รับอนุญาตจากทาง
ราชการให้จัดตั้ง สถาบันทางการแพทย์ของรัฐ หรือสถาบันการศึกษาหรือสถาบันทางการ
แพทย์อื่นที่คณะกรรมการรับรอง ทั้งนี้ ภายใต้ความควบคุมของเจ้าหน้าที่ผู้ฝึกหัดหรือผู้ให้
การฝึกอบรมซึ่งเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม
         (๓) บุคคลซึ่งกระทรวง ทบวง กรม กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา องค์การ
บริหารส่วนจังหวัด เทศบาล สุขาภิบาล องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นอื่นตามที่รัฐมนตรีประกาศ
ในราชกิจจานุเบกษา หรือสภากาชาดไทย มอบหมายให้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมในความ
ควบคุมของเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ทั้งนี้ ตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด
โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
         (๔) การประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมของที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญของทางราชการ
หรือผู้สอนในสถาบันการศึกษาของรัฐ ซึ่งมีใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมของ
ต่างประเทศ ทั้งนี้ โดยอนุมัติของคณะกรรมการ

         มาตรา ๒๙  ห้ามมิให้ผู้ใดใช้คำหรือข้อความด้วยอักษรไทยหรืออักษรต่างประเทศ
ว่า เภสัชกร เภสัชกรหญิง แพทย์ปรุงยา นักปรุงยา หรือใช้อักษรย่อของคำดังกล่าว หรือใช้
คำแสดงวุฒิการศึกษาทางเภสัชศาสตร์ หรือใช้อักษรย่อของวุฒิดังกล่าวประกอบกับชื่อหรือชื่อสกุล
ของตน หรือใช้คำหรือข้อความอื่นใดที่มีความหมายเช่นเดียวกัน หรือแสดงด้วยวิธีใด ๆ ซึ่งทำให้
ผู้อื่นเข้าใจว่าตนเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ทั้งนี้ รวมถึงการใช้ จ้าง วาน หรือยินยอม
ให้ผู้อื่นกระทำดังกล่าวให้แก่ตน เว้นแต่ผู้ได้รับปริญญาหรือประกาศนียบัตรในวิชาเภสัชศาสตร์

         มาตรา ๓๐  ห้ามมิให้ผู้ใดใช้คำหรือข้อความที่แสดงให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนเป็น
ผู้มีความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมสาขาต่าง ๆ ทั้งนี้ รวมถึงการใช้
จ้าง วาน หรือยินยอมให้ผู้อื่นกระทำดังกล่าวให้แก่ตน เว้นแต่ผู้ได้รับหนังสืออนุมัติหรือวุฒิบัตร
ว่าเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมสาขานั้น ๆ จากสภาเภสัชกรรม
หรือที่สภาเภสัชกรรมรับรอง หรือผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมผู้มีคุณสมบัติตามที่กำหนดใน
ข้อบังคับสภาเภสัชกรรม

         มาตรา ๓๑  การขึ้นทะเบียน การออกใบอนุญาต การออกหนังสืออนุมัติหรือ
วุฒิบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมสาขาต่าง ๆ และหนังสือ
แสดงวุฒิอื่นในวิชาชีพเภสัชกรรม ให้เป็นไปตามข้อบังคับสภาเภสัชกรรม

         มาตรา ๓๒  ผู้ขอขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตต้องเป็นสมาชิกแห่ง
สภาเภสัชกรรมและมีคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับสภาเภสัชกรรม
         เมื่อผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมผู้ใดขาดจากสมาชิกภาพ ให้ใบอนุญาต
ของผู้นั้นสิ้นสุดลง
         ให้ผู้ซึ่งขาดจากสมาชิกภาพตามวรรคสองส่งคืนใบอนุญาตต่อเลขาธิการ
ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ทราบการขาดจากสมาชิกภาพ

         มาตรา ๓๓  ผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมต้องรักษาจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ
เภสัชกรรมตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับสภาเภสัชกรรม

         มาตรา ๓๔  บุคคลซึ่งได้รับความเสียหายเพราะการประพฤติผิดจรรยาบรรณ
แห่งวิชาชีพเภสัชกรรมของผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม มีสิทธิกล่าวหาผู้ก่อให้เกิดความเสียหาย
นั้นโดยทำเรื่องยื่นต่อสภาเภสัชกรรม
         กรรมการหรือบุคคลอื่นมีสิทธิกล่าวโทษผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมว่าประพฤติ
ผิดจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพเภสัชกรรม โดยแจ้งเรื่องต่อสภาเภสัชกรรม
         สิทธิการกล่าวหาตามวรรคหนึ่งหรือสิทธิการกล่าวโทษตามวรรคสองสิ้นสุดลง
เมื่อพ้นหนึ่งปีนับแต่วันที่ผู้ได้รับความเสียหายหรือผู้กล่าวโทษรู้เรื่องการประพฤติผิดจรรยาบรรณ
แห่งวิชาชีพเภสัชกรรมดังกล่าว และรู้ตัวผู้ประพฤติผิด ทั้งนี้ ไม่เกินสามปีนับแต่วันที่มีการประพฤติ
ผิดจรรยาบรรณนั้น
         การถอนเรื่องการกล่าวหาหรือการกล่าวโทษที่ได้ยื่นหรือแจ้งไว้แล้วนั้นไม่เป็น
เหตุให้ระงับการดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้

         มาตรา ๓๕  เมื่อสภาเภสัชกรรมได้รับเรื่องการกล่าวหาหรือการกล่าวโทษ
ตามมาตรา ๓๔ หรือในกรณีที่คณะกรรมการมีมติว่ามีพฤติการณ์อันสมควรให้มีการพิจารณา
เกี่ยวกับจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพของผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ให้เลขาธิการเสนอเรื่อง
ดังกล่าวต่อประธานอนุกรรมการจรรยาบรรณโดยไม่ชักช้า

         มาตรา ๓๖  ภายใต้บังคับมาตรา ๒๓ (๒) ให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการจรรยาบรรณ
จากสมาชิกประกอบด้วยประธานคนหนึ่ง และอนุกรรมการมีจำนวนรวมกันไม่น้อยกว่าสามคน
มีอำนาจหน้าที่สืบสวนหาข้อเท็จจริงในเรื่องที่ได้รับตามมาตรา ๓๕ แล้วทำรายงานพร้อมทั้ง
ความเห็นเสนอคณะกรรมการเพื่อพิจารณา
         คณะกรรมการอาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการจรรยาบรรณเกินกว่าหนึ่งคณะก็ได้

         มาตรา ๓๗  เมื่อคณะกรรมการได้รับรายงานและความเห็นของคณะอนุกรรมการ
จรรยาบรรณแล้ว ให้คณะกรรมการพิจารณารายงานและความเห็นดังกล่าวแล้วมีมติอย่างใด
อย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
         (๑) ให้คณะอนุกรรมการจรรยาบรรณสืบสวนหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเพื่อ
เสนอให้คณะกรรมการพิจารณา
         (๒) ให้คณะอนุกรรมการสอบสวนทำการสอบสวนในกรณีที่เห็นว่าข้อกล่าวหา
หรือข้อกล่าวโทษนั้นมีมูล
         (๓) ให้ยกข้อกล่าวหาหรือข้อกล่าวโทษในกรณีที่เห็นว่าข้อกล่าวหาหรือข้อกล่าว
โทษนั้นไม่มีมูล

         มาตรา ๓๘  ภายใต้บังคับมาตรา ๒๓ (๒) ให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการสอบสวน
จากสมาชิกประกอบด้วยประธานคนหนึ่ง และอนุกรรมการมีจำนวนรวมกันไม่น้อยกว่าสามคน
มีอำนาจหน้าที่สอบสวน สรุปผลการสอบสวนและเสนอสำนวนการสอบสวน พร้อมทั้งความเห็น
ต่อคณะกรรมการเพื่อวินิจฉัยชี้ขาด
         คณะกรรมการอาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการสอบสวนเกินกว่าหนึ่งคณะก็ได้

         มาตรา ๓๙  ในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะอนุกรรมการจรรยาบรรณและของ
คณะอนุกรรมการสอบสวนตามพระราชบัญญัตินี้ ให้อนุกรรมการจรรยาบรรณและอนุกรรมการ
สอบสวนเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มีอำนาจเรียกบุคคลใด ๆ มาให้ถ้อยคำ
และมีหนังสือแจ้งให้บุคคลใด ๆ ส่งเอกสารหรือวัตถุเพื่อประโยชน์แก่การดำเนินงานของ
คณะอนุกรรมการดังกล่าว

         มาตรา ๔๐  ให้ประธานอนุกรรมการสอบสวนมีหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาหรือข้อกล่าว
โทษพร้อมทั้งส่งสำเนาเรื่องที่กล่าวหาหรือกล่าวโทษ ให้ผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้ถูกกล่าวโทษไม่น้อย
กว่าสิบห้าวันก่อนวันเริ่มทำการสอบสวน
         ผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้ถูกกล่าวโทษมีสิทธิทำคำชี้แจงหรือนำพยานหลักฐานใด ๆ มาให้
คณะอนุกรรมการสอบสวน
         คำชี้แจงหรือพยานหลักฐานให้ยื่นต่อประธานอนุกรรมการสอบสวนภายในสิบห้าวัน
นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากประธานอนุกรรมการสอบสวน หรือภายในกำหนดเวลาที่คณะอนุกรรมการ
สอบสวนจะขยายให้

         มาตรา ๔๑  เมื่อคณะอนุกรรมการสอบสวนทำการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้วให้เสนอ
สำนวนการสอบสวนพร้อมทั้งความเห็นต่อคณะกรรมการโดยไม่ชักช้าเพื่อวินิจฉัยชี้ขาด

         มาตรา ๔๒  เมื่อคณะกรรมการได้รับสำนวนการสอบสวนและความเห็นของ
คณะอนุกรรมการสอบสวนแล้ว ให้คณะกรรมการพิจารณาสำนวนการสอบสวนและความเห็น
ดังกล่าวโดยไม่ชักช้า
         คณะกรรมการอาจให้คณะอนุกรรมการสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติมก่อน
วินิจฉัยชี้ขาดก็ได้
         คณะกรรมการมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
         (๑) ยกข้อกล่าวหาหรือข้อกล่าวโทษ
         (๒) ว่ากล่าวตักเตือน
         (๓) ภาคทัณฑ์
         (๔) พักใช้ใบอนุญาตมีกำหนดเวลาตามที่เห็นสมควรแต่ไม่เกินสองปี
         (๕) เพิกถอนใบอนุญาต
         ภายใต้บังคับมาตรา ๒๗ คำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการตามมาตรานี้
ให้ทำเป็นคำสั่งสภาเภสัชกรรมพร้อมด้วยเหตุผลของการวินิจฉัยชี้ขาด และให้ถือเป็นที่สุด

         มาตรา ๔๓  ให้เลขาธิการแจ้งคำสั่งสภาเภสัชกรรมตามมาตรา ๔๒ ไปยัง
ผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้ถูกกล่าวโทษเพื่อทราบโดยไม่ชักช้า และให้บันทึกข้อความตามคำสั่งนั้น
ไว้ในทะเบียนผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมด้วย

         มาตรา ๔๔  ภายใต้บังคับมาตรา ๒๘ ห้ามมิให้ผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม
ซึ่งอยู่ในระหว่างถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตหรือซึ่งถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาต ประกอบวิชาชีพ
เภสัชกรรมหรือแสดงด้วยวิธีใด ๆ ให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนเป็นผู้มีสิทธิประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม
นับแต่วันที่ทราบคำสั่งสภาเภสัชกรรมที่สั่งพักใช้ใบอนุญาตหรือสั่งเพิกถอนใบอนุญาตนั้น

         มาตรา ๔๕  ผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมซึ่งอยู่ในระหว่างถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาต
ผู้ใดกระทำการฝ่าฝืนตามมาตรา ๔๔ และถูกลงโทษจำคุกตามมาตรา ๕๐ โดยคำพิพากษา
ถึงที่สุด ให้คณะกรรมการสั่งเพิกถอนใบอนุญาตของผู้นั้นนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด

         มาตรา ๔๖  ผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมซึ่งถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาตอาจขอ
รับใบอนุญาตอีกได้เมื่อพ้นสองปีนับแต่วันที่ถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาต แต่เมื่อคณะกรรมการ
ได้พิจารณาคำขอรับใบอนุญาตและปฏิเสธการออกใบอนุญาต ผู้นั้นจะยื่นคำขอรับใบอนุญาต
ได้อีกต่อเมื่อสิ้นระยะเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่คณะกรรมการปฏิเสธการออกใบอนุญาต
ถ้าคณะกรรมการปฏิเสธการออกใบอนุญาตเป็นครั้งที่สองแล้ว ผู้นั้นเป็นอันหมดสิทธิขอรับ
ใบอนุญาตอีกต่อไป
         ผู้ประกอบโรคศิลปะแผนปัจจุบันสาขาเภสัชกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุม
การประกอบโรคศิลปะผู้ใดซึ่งถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาตก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับประสงค์
จะยื่นคำขอรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ให้ดำเนินการตามบทบัญญัติแห่ง
พระราชบัญญัตินี้

         มาตรา ๔๗  ในการปฏิบัติหน้าที่ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปในสถานที่
ของผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม หรือผู้ที่มีเหตุผลสมควรเชื่อว่าเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม
ในระหว่างเวลาที่ทำการอยู่หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าทำการอยู่เพื่อตรวจใบอนุญาต ค้นหรือ
ยึดเอกสารหลักฐานหรือสิ่งของที่อาจใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีการกระทำความผิดตาม
พระราชบัญญัตินี้
         ในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง ให้บุคคลที่เกี่ยวข้อง
อำนวยความสะดวกตามสมควร

         มาตรา ๔๘  ในการปฏิบัติหน้าที่ พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัว
         บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามแบบที่กำหนดในกฎกระทรวง

         มาตรา ๔๙  ในการปฏิบัติหน้าที่ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตาม
ประมวลกฎหมายอาญา

         มาตรา ๕๐  ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๒๘ หรือมาตรา ๔๔ ต้องระวางโทษจำคุก
ไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสามหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

         มาตรา ๕๑  ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๒๙ หรือมาตรา ๓๐ ต้องระวางโทษจำคุก
ไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

         มาตรา ๕๒  ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๓๒ วรรคสาม หรือไม่อำนวยความสะดวก
แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๔๗ วรรคสอง ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท

         มาตรา ๕๓  ผู้ใดไม่มาให้ถ้อยคำหรือไม่ส่งเอกสารหรือวัตถุใด ๆ ตามที่
เรียกหรือแจ้งให้ส่งตามมาตรา ๓๙ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับ
ไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
                           บทเฉพาะกาล
                            ---------

         มาตรา ๕๔  ผู้ใดได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะ
แผนปัจจุบัน สาขาเภสัชกรรม ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการประกอบโรคศิลปะ
อยู่แล้วในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้ถือว่าผู้นั้นเป็นสมาชิก
สภาเภสัชกรรมตามพระราชบัญญัตินี้

         มาตรา ๕๕  ผู้ใดได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะ
แผนปัจจุบัน สาขาเภสัชกรรม ตามกฏหมายว่าด้วยการควบคุมการประกอบโรคศิลปะและ
ใบอนุญาตนั้นยังคงใช้ได้ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้ถือว่าผู้นั้น
ได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมตามพระราชบัญญัตินี้

         มาตรา ๕๖  ในระยะเริ่มแรกที่ยังมิได้เลือกตั้งสมาชิกสภาเภสัชกรรมเป็น
กรรมการ ให้คณะกรรมการประกอบด้วยปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นนายกสภาเภสัชกรรม
และผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งตามมาตรา ๑๕ (๑) และ (๒) เป็นกรรมการ การแต่งตั้งดังกล่าว
จะต้องกระทำให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
         ให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเลือกกรรมการตามมาตรา ๑๕ (๑) หรือ (๒)
ทำหน้าที่เลขาธิการ รองเลขาธิการ และเหรัญญิก ตำแหน่งละหนึ่งคน ทั้งนี้ จนกว่าจะได้
มีการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวตามมาตรา ๑๗ วรรคสอง
         การเลือกตั้งสมาชิกสภาเภสัชกรรมเป็นกรรมการตามมาตรา ๑๕ (๓)
ให้กระทำให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

         มาตรา ๕๗  ในระหว่างที่ยังมิได้ออกกฎกระทรวง ระเบียบ หรือข้อบังคับ
เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ให้นำกฎกระทรวง ระเบียบ หรือประกาศที่ออกตาม
กฎหมายว่าด้วยการควบคุมการประกอบโรคศิลปะในส่วนที่เกี่ยวกับวิชาชีพเภสัชกรรมมาใช้
บังคับโดยอนุโลม แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

         มาตรา ๕๘  ให้ถือว่าการกระทำผิดมรรยาทหรือข้อจำกัดและเงื่อนไข
ในการประกอบโรคศิลปะตามกฏหมายว่าด้วยการควบคุมการประกอบโรคศิลปะในส่วนที่
เกี่ยวกับวิชาชีพเภสัชกรรม ซึ่งได้กระทำก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับและยังไม่มี
การดำเนินการตามกฏหมายว่าด้วยการควบคุมการประกอบโรคศิลปะ เป็นการประพฤติผิด
จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพเภสัชกรรมตามพระราชบัญญัตินี้ และการดำเนินการต่อไปให้เป็น
ไปตามพระราชบัญญัตินี้
         ในกรณีที่มีการดำเนินการกับผู้กระทำผิดมรรยาทหรือข้อจำกัดและเงื่อนไข
ในการประกอบโรคศิลปะแผนปัจจุบัน สาขาเภสัชกรรม ตามกฏหมายว่าด้วยการควบคุม
การประกอบโรคศิลปะก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ถือว่าการดำเนินการดังกล่าว
เป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ และการดำเนินการต่อไปให้เป็นไปตาม
พระราชบัญญัตินี้

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ชวน  หลีกภัย
นายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่การประกอบ
โรคศิลปะแผนปัจจุบันสาขาเภสัชกรรมอยู่ในความควบคุมตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุม
การประกอบโรคศิลปะ ซึ่งมีคณะกรรมการควบคุมการประกอบโรคศิลปะทำหน้าที่ควบคุม
การประกอบโรคศิลปะสาขาต่าง ๆ ทั้งแผนปัจจุบัน และแผนโบราณ ในปัจจุบันวิชาการ
และเทคโนโลยีทางด้านเภสัชศาสตร์ในประเทศไทยได้เจริญก้าวหน้าขึ้นเป็นอันมาก
ประกอบกับจำนวนผู้ประกอบโรคศิลปะสาขาเภสัชกรรมมีจำนวนมากขึ้น สมควรแยกการ
ควบคุมการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ออกจากอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการควบคุม
การประกอบโรคศิลปะ โดยจัดตั้งสภาเภสัชกรรมขึ้นทำหน้าที่ส่งเสริมและควบคุม
มาตราฐานการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมได้โดยอิสระ เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
ยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
(ร.จ. เล่ม 111  ตอนที่ 28ก  หน้า 22   วันที่ 30 มิถุนายน 2537)
   อัตราค่าธรรมเนียมวิชาชีพเภสัชกรรม
                         ---------------

  (๑)  ค่าขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาต
       เป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม      ฉบับละ     ๕,๐๐๐   บาท
  (๒)  ค่าหนังสือรับรองการขึ้นทะเบียน
       เป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม       ฉบับละ       ๕๐๐   บาท
  (๓)  ค่าหนังสืออนุมัติ หรือวุฒิบัตรแสดง
       ความรู้ความชำนาญในการประกอบ
       วิชาชีพเภสัชกรรม                  ฉบับละ     ๒,๐๐๐   บาท
  (๔)  ค่าใบแทนใบอนุญาต                ฉบับละ       ๕๐๐   บาท