พระราชบัญญัติ
                จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน (ฉบับที่ 2)
                            พ.ศ. 2537
                          ------------
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
                 ให้ไว้ ณ วันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2537
                     เป็นปีที่ ๔๙ ในราชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรด
เกล้า ฯ ให้ประกาศว่า
          โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยจัดหางานและคุ้มครอง
คนหางาน
          จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและ
ยินยอมของรัฐสภาดังต่อไปนี้

          มาตรา ๑  พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครอง
คนหางาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2537"

          มาตรา ๒  พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศ
ในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

          มาตรา ๓  ให้ยกเลิกความในบทนิยามคำว่า "จัดหางาน" และ "อธิบดี"
ในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ และให้ใช้
ความต่อไปนี้แทน
          "จัดหางาน" หมายความว่า ประกอบธุรกิจจัดหางานให้แก่คนหางานหรือหา
ลูกจ้างให้แก่นายจ้าง โดยจะเรียกหรือรับค่าบริการตอบแทนหรือไม่ก็ตาม และให้หมายรวมถึง
การเรียกเงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดเพื่อจัดหางานให้คนหางาน
          "อธิบดี" หมายความว่า อธิบดีกรมการจัดหางาน"

          มาตรา ๔  ให้เพิ่มนิยามคำว่า "ทดสอบฝีมือ" และคำว่า "ฝึกงาน" ระหว่าง
นิยามคำว่า "คนหางาน" และคำว่า "กองทุน" ในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติจัดหางาน
และคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ ดังต่อไปนี้
          ""ทดสอบฝีมือ" หมายความว่า การดำเนินการใด ๆ เพื่อให้ทราบถึงฝีมือ
ของคนหางาน เพื่อออกใบรับรองผลการทดสอบให้คนหางานโดยจะเรียกหรือรับค่าทดสอบ
ฝีมือหรือไม่ก็ตาม
          "ฝึกงาน" หมายความว่า นายจ้างส่งลูกจ้างไปรับการเพิ่มพูนความรู้ ฝีมือ
ภาษา ทัศนคติหรือทักษะในการทำงานเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น"

          มาตรา ๕  ให้ยกเลิกความในมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติจัดหางานและ
คุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
          "มาตรา ๕  ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมรักษาการ
ตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจแต่งตั้งนายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่ กับออก
กฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมไม่เกินอัตราท้ายพระราชบัญญัตินี้ ยกเว้นค่าธรรมเนียม
และกำหนดกิจการอื่นหรือออกระเบียบเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
          กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้"

          มาตรา ๖  ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติ
จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
          "มาตรา ๖  ให้จัดตั้งสำนักงานทะเบียนจัดหางานกลางขึ้นในกรมการจัดหางาน
กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม โดยมีนายทะเบียนจัดหางานกลางเป็นผู้มีอำนาจ
และหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้"

          มาตรา ๗  ให้ยกเลิกความในมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติจัดหางานและ
คุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
          "มาตรา ๗  ให้จัดตั้งสำนักงานจัดหางานขึ้นในกรมการจัดหางาน กระทรวง
แรงงานและสวัสดิการสังคม เรียกว่า "สำนักงานจัดหางาน กรมการจัดหางาน" มีหน้าที่
จัดหางานให้แก่ประชาชนโดยไม่คิดค่าบริการ
          สำนักงานจัดหางาน กรมการจัดหางาน อาจมีสาขาได้ตามที่อธิบดีเห็นสมควร"

          มาตรา ๘  ให้ยกเลิกความในวรรคสองของมาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติ
จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
          "ในกรณีเลิกประกอบธุรกิจจัดหางาน ผู้รับอนุญาตจัดหางานในประเทศจะ
ขอรับคืนหลักประกันที่วางไว้ตามมาตรา๙(๑๑)ได้ก็ต่อเมื่อได้ชำระหนี้ที่เกิดขึ้นตาม
พระราชบัญญัตินี้เสร็จสิ้นแล้ว แต่ถ้าหนี้ที่เหลือมีจำนวนน้อยกว่าหลักประกันที่วางไว้
ให้นายทะเบียนมีอำนาจสั่งให้ลดหลักประกันลงให้เหลือเท่ากับหนี้ที่จะพึงรับผิดชอบได้"

          มาตรา ๙  ให้ยกเลิกความในมาตรา ๓๔ แห่งพระราชบัญญัติจัดหางานและ
คุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
          "มาตรา ๓๔  หลักประกันที่ผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศ
วางไว้ตามมาตรา ๓๑ (๗) และมาตรา ๑๖ วรรคหนึ่ง ซึ่งนำมาใช้บังคับโดยอนุโลมตาม
มาตรา ๔๗ ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีตราบเท่าที่ผู้รับอนุญาตดังกล่าวยังมิได้เลิก
ประกอบธุรกิจจัดหางาน หรือเลิกประกอบธุรกิจจัดหางานแล้ว แต่ยังไม่พ้นจากความรับผิด
ตามพระราชบัญญัตินี้
          ในกรณีเลิกประกอบธุรกิจจัดหางาน ผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทำงานใน
ต่างประเทศจะขอรับคืนหลักประกันที่วางไว้ตามมาตรา ๓๑ (๗) ได้ก็ต่อเมื่อได้ชำระหนี้
ที่เกิดขึ้นตามพระราชบัญญัตินี้เสร็จสิ้นแล้ว แต่ถ้าหนี้ที่เหลือมีจำนวนน้อยกว่าหลักประกัน
ที่วางไว้ ให้นายทะเบียนมีอำนาจสั่งให้ลดหลักประกันลงให้เหลือเท่ากับหนี้ที่จะพึงรับผิดชอบได้
          ในกรณีที่ผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศไม่ขอรับหลักประกัน
ตามวรรคหนึ่งคืนภายในห้าปีนับแต่วันที่ผู้รับอนุญาตเลิกประกอบธุรกิจจัดหางาน ให้หลักประกัน
ดังกล่าวตกเป็นของกองทุน"

          มาตรา ๑๐  ให้ยกเลิกความในมาตรา ๓๖ แห่งพระราชบัญญัติจัดหางานและ
คุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
          "มาตรา ๓๖  ในการจัดส่งคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ ผู้รับอนุญาต
จัดหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศต้องปฏิบัติดังต่อไปนี้
          (๑) ส่งสัญญาจัดหางานที่ผู้รับอนุญาตจัดหางานในต่างประเทศ หรือตัวแทน
จัดหางานทำกับคนหางานต่ออธิบดี ตลอดจนเงื่อนไขการจ้างแรงงานที่นายจ้างในต่างประเทศ
หรือตัวแทนซึ่งได้รับมอบอำนาจจากนายจ้างดังกล่าวทำกับคนหางาน และหลักฐานอื่นที่อธิบดี
ประกาศกำหนด เพื่อพิจารณาอนุญาตก่อนส่งคนหางานไปต่างประเทศ
          (๒) ส่งคนหางานเข้ารับการตรวจสุขภาพตามหลักเกณฑ์ และวิธีการ
ณ สถานพยาบาลที่อธิบดีประกาศกำหนด
          (๓) ส่งคนหางานเข้ารับการทดสอบฝีมือตามหลักเกณฑ์ที่อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือ
แรงงานประกาศกำหนด
          (๔) ส่งคนหางานที่ผ่านการคัดเลือกและทดสอบฝีมือแล้วเข้ารับการอบรม
เกี่ยวกับกฎหมายและขนบธรรมเนียมประเพณีของประเทศที่คนหางานจะไปทำงาน ตลอดจน
สภาพการจ้าง ณ สำนักงานทะเบียนจัดหางานกลาง สำนักงานทะเบียนจัดหางานจังหวัด
หรือสถาบันอื่นใดที่อธิบดีประกาศกำหนด
          (๕) ส่งบัญชีรายชื่อและสถานที่ทำงานในต่างประเทศของคนหางาน
พร้อมทั้งสำเนาสัญญาจ้างแรงงานให้แก่นายทะเบียนจัดหางานกลางภายในเจ็ดวันนับแต่
วันที่คนหางานออกเดินทาง
          (๖) แจ้งเป็นหนังสือโดยแนบบัญชีรายชื่อและสถานที่ทำงานในต่างประเทศ
ของคนหางานตาม (๕) ให้สำนักงานแรงงานไทยในประเทศที่คนหางานไปทำงาน
ทราบภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่คนหางานเดินทางไปถึง ในกรณีที่ไม่มีสำนักงาน
แรงงานไทยในประเทศดังกล่าวให้แจ้งเป็นหนังสือให้สถานทูตไทยหรือสถานกงสุลไทย
ในประเทศนั้น หรือสถานทูตไทยหรือสถานกงสุลไทยหรือผู้ที่รับผิดชอบในการดูแลคนไทย
ในประเทศนั้นทราบภายในระยะเวลาดังกล่าว
          (๗) รายงานให้นายทะเบียนจัดหางานกลางทราบภายในวันที่สิบของเดือน
ถัดไปเป็นประจำทุกเดือน ในกรณีที่ยังมีคนหางานไม่ได้เดินทางไปทำงานตามสัญญา
จัดหางาน
          ความใน (๓) ไม่ใช้บังคับกับคนหางานที่มีใบรับรองการทดสอบฝีมือในสาขา
ที่จะไปทำงานอยู่แล้ว
          การรายงานตาม (๗) ให้เป็นไปตามแบบที่อธิบดีกำหนด"

          มาตรา ๑๑  ให้ยกเลิกความในวรรคสองของมาตรา ๓๗ แห่งพระราชบัญญัติ
จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
          "ในกรณีที่สำนักงานจัดหางาน กรมการจัดหางาน เป็นผู้จัดหางานให้คนหางาน
เพื่อไปทำงานในต่างประเทศ ให้อธิบดีเป็นผู้จัดให้นายจ้างส่งเงินเข้ากองทุนตามวรรคหนึ่ง
ถ้าไม่อาจจัดให้นายจ้างส่งเงินดังกล่าวได้ และคนหางานแสดงความประสงค์ที่จะไปทำงาน
ในต่างประเทศโดยยินยอมส่งเงินเข้ากองทุนด้วยตนเอง ให้อธิบดีมีอำนาจเรียกเก็บเงินจาก
คนหางานเพื่อส่งเข้ากองทุนได้"

          มาตรา ๑๒  ให้ยกเลิกความในมาตรา ๔๐ และมาตรา ๔๑ แห่งพระราชบัญญัติ
จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
          "มาตรา ๔๐  ในกรณีที่คนหางานเดินทางไปถึงประเทศที่จะไปทำงานแล้ว
ได้ค่าจ้างต่ำกว่าหรือได้ตำแหน่งงาน หรือสิทธิประโยชน์อื่นไม่ตรงตามที่กำหนดไว้ในสัญญา
จัดหางาน คนหางานจะขอให้ผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศจัดการ
ให้ตนเดินทางกลับประเทศไทยหรือจะทำงานที่ได้ค่าจ้างต่ำกว่าหรือได้ตำแหน่งงาน
หรือสิทธิประโยชน์อื่นไม่ตรงตามที่กำหนดไว้ในสัญญาจัดหางานก็ได้ แต่ถ้าคนหางานจะขอให้
ผู้รับอนุญาตจัดการให้ตนเดินทางกลับประเทศไทยจะต้องแจ้งความประสงค์ของตนเป็นหนังสือ
ให้ผู้รับอนุญาตหรือตัวแทนของผู้รับอนุญาตที่อยู่ในประเทศนั้น ทราบภายในเก้าสิบวันนับแต่
วันที่ตนทราบว่าจะได้ค่าจ้างต่ำกว่าหรือได้ตำแหน่งงาน หรือสิทธิประโยชน์อื่นไม่ตรงตามที่
กำหนดไว้ในสัญญาจัดหางาน ในกรณีที่ไม่อาจแจ้งแก่ผู้รับอนุญาตหรือตัวแทนของผู้รับอนุญาตได้
ให้แจ้งต่อสำนักงานแรงงานไทย สถานทูตไทยหรือสถานกงสุลไทยในประเทศนั้นหรือ
สถานทูตไทยหรือสถานกงสุลไทย หรือผู้ที่รับผิดชอบในการดูแลคนไทยในประเทศนั้น
เพื่อแจ้งต่อไปยังผู้รับอนุญาต
          ในกรณีที่คนหางานได้แจ้งตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๓๙
มาใช้บังคับโดยอนุโลม
          ในกรณีที่คนหางานประสงค์จะทำงานที่ได้ค่าจ้างต่ำกว่าหรือได้ตำแหน่ง
หรือสิทธิประโยชน์อื่นไม่ตรงตามที่กำหนดไว้ในสัญญาจัดหางาน ผู้รับอนุญาตไม่ต้องรับผิดชอบ
ในการจัดการให้คนหางานดังกล่าวเดินทางกลับประเทศไทย แต่ต้องดำเนินการตาม
มาตรา ๓๙ (๒)
          มาตรา ๔๑  ในกรณีที่ผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศ
ซึ่งมีหน้าที่จัดการให้คนหางานเดินทางกลับประเทศไทยตามมาตรา ๓๙ หรือมาตรา ๔๐
ได้จัดการให้คนหางานเดินทางกลับถึงประเทศไทยแล้ว ผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทำงาน
ในต่างประเทศอาจยื่นคำขอต่ออธิบดีเพื่อรับเงินชดเชยจำนวนกึ่งหนึ่งของเงินค่าใช้จ่าย
ต่าง ๆ ที่ตนต้องจ่ายไปตามมาตรา ๓๙ (๑) จากกองทุนได้ และถ้าอธิบดีพิจารณาเห็นว่า
การที่คนหางานไม่ได้งานทำหรือได้ค่าจ้างต่ำกว่าหรือได้ตำแหน่งงาน หรือสิทธิประโยชน์อื่น
ไม่ตรงตามที่กำหนดไว้ในสัญญาจัดหางานนั้น ไม่ได้เกิดจากความผิดของผู้รับอนุญาต
และผู้รับอนุญาตได้พยายามอย่างเต็มที่แล้วที่จะให้คนหางานได้งานทำหรือได้ค่าจ้าง
หรือตำแหน่งงาน หรือสิทธิประโยชน์อื่นตามที่กำหนดไว้ในสัญญาจัดหางานหรือผู้รับอนุญาต
ได้พยายามอย่างเต็มที่แล้วในการจัดการให้คนหางานเดินทางกลับประเทศไทยโดยเร็วที่สุด
ให้อธิบดีอนุมัติให้จ่ายเงินชดเชยจากกองทุนให้ผู้รับอนุญาตได้"

          มาตรา๑๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา๔๔ มาตรา ๔๕ มาตรา ๔๖ และ
มาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ และให้ใช้
ความต่อไปนี้แทน
          "มาตรา ๔๔  ในกรณีที่คนหางานได้ค่าจ้าง ตำแหน่งงาน หรือสิทธิประโยชน์อื่น
ตรงตามที่กำหนดไว้ในสัญญาจัดหางานแต่ไม่ยอมปฏิบัติตามสัญญา ผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไป
ทำงานในต่างประเทศไม่ต้องรับผิดชอบในการจัดการให้คนหางานดังกล่าวเดินทางกลับ
ประเทศไทยแต่ต้องดำเนินการตามมาตรา ๓๙ (๒)
          มาตรา ๔๕  ในกรณีที่คนหางานได้ค่าจ้าง ตำแหน่งงาน และสิทธิประโยชน์อื่น
ตรงตามที่กำหนดไว้ในสัญญาจัดหางาน และได้ทำงานจนสัญญาจัดหางานสิ้นสุดลงแล้ว
แต่คนหางานไม่ยอมเดินทางกลับประเทศไทยภายในสามสิบวันนับแต่วันที่สัญญาจัดหางาน
สิ้นสุดลงหรือภายในกำหนดเวลาที่มากกว่านั้นตามที่ระบุไว้ในสัญญาจัดหางานโดยไม่มีเหตุ
อันสมควรหรือคนหางานได้งานใหม่ภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อ
ไปทำงานในต่างประเทศไม่ต้องรับผิดชอบในการจัดการให้คนหางานดังกล่าวเดินทางกลับ
ประเทศไทยแต่ต้องดำเนินการตามมาตรา ๓๙ (๒)
          มาตรา ๔๖  ในกรณีที่ผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศ
ไม่สามารถจัดให้คนหางานเดินทางได้ภายในกำหนดเวลาตามมาตรา ๓๘ หรือในกรณีที่
คนหางานไม่ได้งานตามที่กำหนดไว้ในสัญญาจัดหางานหรือได้ค่าจ้างต่ำกว่าหรือได้ตำแหน่งงาน
หรือสิทธิประโยชน์อื่นไม่ตรงตามที่กำหนดไว้ในสัญญาจัดหางาน และคนหางานไม่ประสงค์ที่จะ
ทำงานนั้น ผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศต้องคืนค่าบริการและค่าใช้จ่าย
ต่าง ๆ ที่เรียกเก็บจากคนหางานไปแล้วทั้งหมดให้แก่คนหางานภายในสามสิบวันนับแต่วันที่
ครบกำหนดเวลาตามมาตรา ๓๘ หรือนับแต่วันที่คนหางานเดินทางกลับถึงประเทศไทย
แล้วแต่กรณี
          ในกรณีคนหางานไม่สามารถทำงานได้จนสิ้นสุดระยะเวลาตามที่กำหนดไว้
ในสัญญาจัดหางาน เพราะถูกเลิกจ้างโดยมิใช่สาเหตุจากคนหางาน ผู้รับอนุญาตต้องคืน
ค่าบริการและค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บจากคนหางานไปแล้วเป็นอัตราส่วนกับระยะเวลาที่
คนหางานได้ทำงานภายในสามสิบวันนับแต่วันที่คนหางานขอรับคืน
          ในกรณีที่คนหางานได้ค่าจ้างต่ำกว่าที่กำหนดไว้ในสัญญาจัดหางานแต่คนหางาน
ยังประสงค์จะทำงานนั้น ผู้รับอนุญาตต้องคืนค่าบริการที่เรียกเก็บจากคนหางานไปแล้ว
เป็นอัตราส่วนกับค่าจ้างที่คนหางานได้รับจริงภายในสามสิบวันนับแต่วันที่คนหางานขอรับคืน
          ในกรณีที่ผู้รับอนุญาตมิได้ปฏิบัติตามวรรคหนึ่ง วรรคสอง หรือวรรคสาม
ให้นายทะเบียนจัดหางานกลางหักค่าบริการและค่าใช้จ่ายดังกล่าวจากหลักประกันที่วางไว้
ตามมาตรา ๓๑ (๗) คืนให้แก่คนหางาน
          เมื่อนายทะเบียนได้ดำเนินการตามวรรคสี่แล้ว ให้แจ้งให้ผู้รับอนุญาตทราบ
โดยเร็ว
          มาตรา ๔๗  ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๘ วรรคสาม และวรรคสี่ มาตรา ๑๐
มาตรา ๑๑ มาตรา ๑๒ มาตรา ๑๓ มาตรา ๑๔ มาตรา ๑๕ มาตรา ๑๖ มาตรา ๑๗
มาตรา ๑๘ วรรคสาม มาตรา ๑๙ มาตรา ๒๐ มาตรา ๒๑ มาตรา ๒๒ มาตรา ๒๓
มาตรา ๒๔ มาตรา ๒๕ มาตรา ๒๖ และมาตรา ๒๗ วรรคสอง ในหมวด ๒ ว่าด้วย
การจัดหางานในประเทศ มาใช้บังคับกับการจัดหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศ
โดยอนุโลม"

          มาตรา ๑๔  ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นหมวด ๓ ทวิ สถานทดสอบฝีมือ
มาตรา ๔๗ ทวิ มาตรา ๔๗ ตรี มาตรา ๔๗ จัตวา มาตรา ๔๗ เบญจ มาตรา ๔๗ ฉ
มาตรา ๔๗ สัตต มาตรา ๔๗ อัฏฐ และมาตรา ๔๗ นว แห่งพระราชบัญญัติจัดหางานและ
คุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘

          มาตรา ๑๕  ให้ยกเลิกความในมาตรา ๔๘ แห่งพระราชบัญญัติจัดหางาน
และคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
          "มาตรา ๔๘  คนหางานผู้ใดประสงค์จะเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ
ด้วยตนเอง โดยมิได้ทำสัญญาจัดหางานกับผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศ
ตามความในหมวด ๓ ให้แจ้งให้อธิบดีหรือผู้ที่อธิบดีมอบหมายทราบก่อนเดินทางไม่น้อยกว่า
สิบห้าวัน
          การแจ้ง ให้เป็นไปตามแบบที่อธิบดีประกาศกำหนด"

          มาตรา ๑๖  ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๔๘ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติ
จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘
          "มาตรา ๔๘ ทวิ  คนหางานซึ่งตนเองหรือนายจ้าง หรือผู้รับอนุญาตจัดหางาน
เพื่อไปทำงานในต่างประเทศได้ส่งเงินเข้ากองทุนตามมาตรา ๓๗ หรือคนหางานซึ่งเดินทาง
ไปทำงานในต่างประเทศด้วยตนเองตามมาตรา ๔๘ ที่สมัครใจส่งเงินเข้ากองทุนตามอัตรา
ที่กำหนดในกฎกระทรวงตามมาตรา ๓๗ ก่อนเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ให้ได้รับสิทธิ
ประโยชน์จากกองทุนตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดตามมาตรา ๕๓ เป็นระยะเวลาตาม
สัญญาจ้างที่คนหางานนั้นมีอยู่
          ในกรณีที่คนหางานตามวรรคหนึ่งได้ทำงานจนครบกำหนดตามสัญญาจ้างแล้ว
ได้ทำสัญญาจ้างใหม่กับนายจ้างเดิม คนหางานนั้นจะได้รับสิทธิประโยชน์จากกองทุนตาม
มาตรา ๕๓ ต่อไป
          ถ้าคนหางานไปทำสัญญาจ้างกับนายจ้างคนใหม่ คนหางานนั้นยังคงได้รับสิทธิ
ประโยชน์จากกองทุนตามมาตรา ๕๓ ต่อไปจนครบระยะเวลาตามสัญญาจ้างเดิม และเมื่อ
ครบกำหนดนั้นแล้วถ้าได้จัดให้นายจ้างหรือตนเองส่งเงินให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย
เพื่อนำเข้ากองทุนตามอัตราที่กำหนดตามกฎกระทรวงภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ครบกำหนดนั้น
ให้คนหางานได้รับสิทธิประโยชน์จากกองทุนต่อไปจนกว่าสัญญาใหม่จะสิ้นสุดลง
          ในกรณีที่คนหางานยังคงอยู่ทำงานต่อไปให้นำวรรคสองและวรรคสามมาใช้
บังคับโดยอนุโลม
          สัญญาจ้างใหม่ตามวรรคสอง วรรคสามหรือวรรคสี่ต้องมีเงื่อนไขการจ้าง
ที่ไม่ต่ำกว่าสัญญาจ้างเดิมหรือได้รับความเห็นชอบจากอธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย"

          มาตรา ๑๗  ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๔๙ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติ
จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘
          "มาตรา ๔๙ ทวิ  การส่งลูกจ้างซึ่งทำงานในกิจการตามวัตถุประสงค์ของ
นายจ้างไปฝึกงานในต่างประเทศ ให้ปฏิบัติดังนี้
          (๑) การส่งไปฝึกงานไม่เกินสี่สิบห้าวัน ต้องแจ้งให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดี
มอบหมายทราบตามแบบที่อธิบดีประกาศกำหนดก่อนลูกจ้างเดินทางออกนอกราชอาณาจักร
          (๒) กรณีตาม (๑) ถ้าลูกจ้างได้รับเงินหรือประโยชน์ที่จะพึงได้รับ
ในต่างประเทศต่ำกว่าอัตราและหลักเกณฑ์ที่อธิบดีกำหนดจะต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดีหรือ
ผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายก่อน
          (๓) การส่งไปฝึกงานเกินสี่สิบห้าวัน ต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดี
มอบหมายก่อน
          การขออนุญาตและการอนุญาตตามวรรคหนึ่ง (๒) หรือ (๓) ให้เป็นไปตามที่
กำหนดในกฎกระทรวง
          การส่งลูกจ้างไปฝึกงานจะเรียกเก็บเงินหรือประโยชน์อื่นใดมิได้
          นายจ้างซึ่งส่งลูกจ้างไปฝึกงานในต่างประเทศต้องรับผิดชอบในการเดินทาง
กลับมาในราชอาณาจักรของลูกจ้าง ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่อธิบดีกำหนด"

          มาตรา ๑๘  ให้ยกเลิกความในมาตรา ๕๐ แห่งพระราชบัญญัติจัดหางาน
และคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
          "มาตรา ๕๐  ห้ามมิให้นายจ้างในต่างประเทศ หรือตัวแทนทำการรับสมัคร
เพื่อหาลูกจ้างในประเทศไทยด้วยตนเองเพื่อไปทำงานในต่างประเทศ เว้นแต่จะติดต่อ
ให้สำนักงานจัดหางานหรือกรมการจัดหางานจัดหาให้"

          มาตรา ๑๙  ให้ยกเลิกความในมาตรา ๕๒ แห่งพระราชบัญญัติจัดหางานและ
คุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
          "มาตรา ๕๒  ให้จัดตั้งกองทุนขึ้นกองทุนหนึ่งในกรมการจัดหางานเรียกว่า
กองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ เพื่อใช้จ่ายในกิจการตามมาตรา ๕๓
โดยประกอบด้วยเงินและทรัพย์สินอื่น ดังต่อไปนี้
          (๑) เงินอุดหนุนจากรัฐบาล
          (๒) เงินที่ผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศ นายจ้าง
หรือคนหางานส่งเข้ากองทุนตามพระราชบัญญัตินี้
          (๓) ดอกผลของกองทุน
          (๔) เงินหรือทรัพย์สินอื่นที่มีผู้อุทิศให้
          (๕) หลักประกันที่ตกเป็นของกองทุนตามมาตรา ๓๔
          เงินและทรัพย์สินอื่นตามวรรคหนึ่ง ให้ส่งเข้ากองทุนโดยไม่ต้องนำส่งกระทรวง
การคลังเป็นรายได้แผ่นดิน
          การบริหารกองทุนและการควบคุมการใช้จ่ายเงินกองทุน ให้เป็นไปตามระเบียบ
ที่รัฐมนตรีกำหนดโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง"

          มาตรา ๒๐  ให้ยกเลิกความใน (๒) ของมาตรา ๕๓ แห่งพระราชบัญญัติ
จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
          "(๒) ให้การสงเคราะห์แก่คนหางานซึ่งไปหรือจะไปทำงานในต่างประเทศ
หรือทายาทโดยธรรมของบุคคลดังกล่าว"

          มาตรา ๒๑  ให้ยกเลิกความในมาตรา ๕๔ แห่งพระราชบัญญัติจัดหางานและ
คุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
          "มาตรา ๕๔  ให้มีคณะกรรมการกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานใน
ต่างประเทศ ประกอบด้วยอธิบดีเป็นประธานกรรมการ และบุคคลอื่นซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งอีก
ไม่เกินหกคนเป็นกรรมการ และให้ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ
เป็นกรรมการและเลขานุการ"

          มาตรา ๒๒  ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นหมวด ๕ ทวิ คณะกรรมการพัฒนา
การจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน มาตรา ๖๑ ทวิ มาตรา ๖๑ ตรี มาตรา ๖๑ จัตวา
และมาตรา ๖๑ เบญจ แห่งพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘

          มาตรา ๒๓  ให้ยกเลิกความในมาตรา ๖๒ แห่งพระราชบัญญัติจัดหางาน
และคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
          "มาตรา ๖๒  คนหางานซึ่งเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรจะต้องเดินทาง
ออกไปโดยผ่านทางด่านตรวจคนหางานและต้องยื่นรายการต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามแบบ
ที่อธิบดีประกาศกำหนด ณ ด่านดังกล่าว
          ด่านตรวจคนหางานตามวรรคหนึ่ง ให้รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษา"

          มาตรา ๒๔  ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา ๖๓ แห่งพระราชบัญญัติ
จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
          "มาตรา ๖๓  ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจพบว่าผู้ใดไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับ
การไปทำงานหรือฝึกงานในต่างประเทศตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้ พนักงานเจ้าหน้าที่
มีอำนาจระงับการเดินทางออกนอกราชอาณาจักรของผู้นั้นได้เท่าที่จำเป็นตามพฤติการณ์
แห่งกรณี ทั้งนี้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่บันทึกเหตุที่ต้องระงับการเดินทางไว้ให้ชัดเจนด้วย"

          มาตรา ๒๕  ให้ยกเลิกความในมาตรา ๖๗ แห่งพระราชบัญญัติจัดหางานและ
คุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
          "มาตรา ๖๗  ในการปฏิบัติหน้าที่ ให้นายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่มี
อำนาจดังต่อไปนี้
          (๑) เข้าไปในสำนักงานหรือสถานที่อื่นที่เกี่ยวกับการจัดหางาน การฝึกงาน
หรือการทดสอบฝีมือในเวลากลางวันหรือในขณะทำการ เพื่อตรวจสอบและควบคุมให้เป็นไป
ตามพระราชบัญญัตินี้
          (๒) ยึดหรืออายัดสมุดทะเบียน บัญชี เอกสารหรือหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง
กับการจัดหางาน การฝึกงานหรือการทดสอบฝีมือ ในกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อว่ามีการกระทำ
ความผิดตามพระราชบัญญัตินี้
          (๓) เรียกหรือสั่งให้ผู้รับอนุญาตจัดหางาน ผู้จัดการ ตัวแทนจัดหางาน ลูกจ้าง
คนหางาน ผู้ส่งคนไปฝึกงาน คนฝึกงาน ผู้รับอนุญาตดำเนินการทดสอบฝีมือ หรือบุคคลซึ่ง
เกี่ยวข้องให้ถ้อยคำ หรือข้อเท็จจริงหรือส่งเอกสาร หรือหลักฐานอื่นใดเพื่อประกอบการ
พิจารณาได้
          ในการปฏิบัติหน้าที่ตาม (๑) หรือ (๒) ให้นายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่
แสดงบัตรประจำตัวต่อผู้ซึ่งเกี่ยวข้อง โดยให้ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องอำนวยความสะดวกตามสมควร
          บัตรประจำตัวนายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามแบบที่รัฐมนตรี
กำหนด"

          มาตรา ๒๖  ให้ยกเลิกความในวรรคสองของมาตรา ๗๑ แห่งพระราชบัญญัติ
จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
          "ในระหว่างถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาต ห้ามมิให้ผู้รับอนุญาตดำเนินการใด ๆ
เกี่ยวกับการจัดหางาน เว้นแต่การดำเนินการเพื่อจัดส่งคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ
ตามที่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีตามมาตรา ๓๖ (๑) ก่อนวันที่ถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาต"

          มาตรา ๒๗  ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๗๒ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติ
จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘
          "มาตรา ๗๒ ทวิ  ในกรณีที่ผู้รับอนุญาตดำเนินการทดสอบฝีมือไม่ปฏิบัติหรือ
ปฏิบัติไม่ถูกต้องตามพระราชบัญญัตินี้ หรือกฎกระทรวง หรือระเบียบที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้
ให้อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานมีอำนาจสั่งให้ผู้รับอนุญาตนั้นปฏิบัติให้ถูกต้องหรือจัดการแก้ไข
ให้ถูกต้องภายในระยะเวลาที่กำหนด หรือสั่งพักใช้ใบอนุญาตสำหรับสาขาอาชีพที่กำหนด
หรือสั่งเพิกถอนใบอนุญาต แล้วแต่กรณี
          คำสั่งพักใช้ใบอนุญาตและคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาต ให้ทำเป็นหนังสือและ
แจ้งให้ผู้รับอนุญาตนั้นทราบ ในกรณีที่ไม่พบตัวผู้รับอนุญาตนั้น หรือผู้รับอนุญาตไม่ยอมรับคำสั่ง
ให้ปิดคำสั่งดังกล่าวไว้ ณ ที่เปิดเผยและเห็นได้ง่าย ณ สถานทดสอบฝีมือของผู้รับอนุญาต
และให้ถือว่าผู้รับอนุญาตได้ทราบคำสั่งนั้นแล้วตั้งแต่วันที่ปิดคำสั่ง ในการนี้จะประกาศ
คำสั่งนั้นในหนังสือพิมพ์ที่แพร่หลายในท้องถิ่นนั้นด้วยก็ได้
          ในระหว่างถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาต ห้ามมิให้ผู้รับอนุญาตดำเนินการใด ๆ ที่
เกี่ยวกับการทดสอบฝีมือตามที่กำหนดในคำสั่งพักใช้ใบอนุญาต
          ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๗๒ มาใช้บังคับกับการอุทธรณ์คำสั่งพักใช้หรือเพิกถอน
ใบอนุญาตดำเนินการทดสอบฝีมือโดยอนุโลม"

          มาตรา ๒๘  ให้ยกเลิกความในมาตรา ๗๓ มาตรา ๗๔ และมาตรา ๗๕
แห่งพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
          "มาตรา ๗๓  ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๘ วรรคหนึ่ง มาตรา ๔๗ ทวิ หรือ
มาตรา ๔๗ เบญจ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือ
ทั้งจำทั้งปรับ
          มาตรา ๗๔  ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๑ มาตรา ๑๒ วรรคหนึ่ง มาตรา ๑๓
วรรคหนึ่ง มาตรา ๒๐ วรรคหนึ่ง มาตรา ๒๑ มาตรา ๒๓ วรรคหนึ่ง มาตรา ๒๔ วรรคหนึ่ง
หรือมาตราดังกล่าวซึ่งได้นำมาใช้บังคับโดยอนุโลมตามมาตรา ๔๗ หรือไม่ปฏิบัติตาม
มาตรา ๓๕ วรรคหนึ่ง มาตรา ๓๖ (๓) หรือ (๗) หรือมาตรา ๔๗ จัตวา ต้องระวางโทษ
ปรับไม่เกินสองหมื่นบาท
          มาตรา ๗๕  ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง มาตรา ๑๙ วรรคหนึ่ง
มาตรา ๒๒ วรรคหนึ่ง หรือมาตราดังกล่าวซึ่งได้นำมาใช้บังคับโดยอนุโลมตามมาตรา ๔๗
หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๓๖ (๒) (๔) (๕) หรือ (๖) มาตรา ๔๗ ตรี มาตรา ๔๗ นว
มาตรา๔๘มาตรา ๖๔ หรือมาตรา ๖๕ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท"

          มาตรา ๒๙  ให้ยกเลิกความในมาตรา ๗๘ แห่งพระราชบัญญัติจัดหางานและ
คุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
          "มาตรา ๗๘  ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๒๕ หรือมาตรา ๒๕ ซึ่งได้นำมาใช้
บังคับโดยอนุโลมตามมาตรา ๔๗ มาตรา ๓๖ (๑) หรือมาตรา ๔๗ ฉ ต้องระวางโทษจำคุก
ไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"

          มาตรา ๓๐  ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๗๘ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติ
จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘
          "มาตรา ๗๘ทวิ  ผู้ใดลงรายการ หรือทำรายงานตามมาตรา ๒๕ หรือ
มาตรา ๒๕ ซึ่งได้นำมาใช้บังคับโดยอนุโลมตามมาตรา ๔๗ หรือมาตรา ๔๗ ฉ อันเป็นเท็จ
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"

          มาตรา ๓๑  ให้ยกเลิกความในมาตรา ๘๒ แห่งพระราชบัญญัติจัดหางาน
และคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
          "มาตรา ๘๒  ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๓๐ วรรคหนึ่ง มาตรา ๔๙
มาตรา๔๙ ทวิ วรรคหนึ่ง หรือวรรคสาม หรือมาตรา ๕๐ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปี
ถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"

          มาตรา ๓๒  ให้ยกเลิกความในมาตรา ๘๗ แห่งพระราชบัญญัติจัดหางานและ
คุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
          "มาตรา ๘๗  ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๖๒ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน
หกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"

          มาตรา ๓๓  ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๙๐ ทวิ และมาตรา ๙๐ ตรี
แห่งพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘
          "มาตรา ๙๐ ทวิ  ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งของนายทะเบียน หรือพนักงานเจ้าหน้าที่
ตามมาตรา ๖๗ (๓) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินสองพันบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
          มาตรา ๙๐ ตรี  ผู้รับอนุญาตจัดหางานในประเทศผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติ
ตามมาตรา ๗๑ วรรคสอง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
          ผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม
มาตรา ๗๑ วรรคสอง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่หกหมื่นบาท
ถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"

          มาตรา ๓๔  ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๙๑ ทวิ และมาตรา ๙๑ ตรี
แห่งพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘
          "มาตรา ๙๑ ทวิ  ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๗๒ ทวิ วรรคสาม ต้องระวางโทษ
จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
          มาตรา ๙๑ ตรี  ผู้ใดหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางาน หรือสามารถส่งไป
ฝึกงานในต่างประเทศได้ และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งเงินหรือทรัพย์สิน
หรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปี หรือปรับ
ตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"

          มาตรา ๓๕  ให้ยกเลิกความในมาตรา ๙๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดหางาน
และคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
          "มาตรา๙๓ บรรดาความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ที่มีโทษปรับสถานเดียว
หรือมีโทษปรับ หรือโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน ให้บุคคลต่อไปนี้ มีอำนาจเปรียบเทียบปรับได้
          (๑) อธิบดี สำหรับความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่กรณีตาม (๒)
          (๒) อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน สำหรับความผิดที่เกี่ยวกับการทดสอบฝีมือ
ตามพระราชบัญญัตินี้
          อำนาจเปรียบเทียบตามวรรคหนึ่งอธิบดีหรืออธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน
จะมอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสำหรับความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ที่เกิดขึ้นในจังหวัดนั้น
ก็ได้
          ในกรณีที่มีการสอบสวน ถ้าพนักงานสอบสวนพบว่าบุคคลใดกระทำความผิด
ตามพระราชบัญญัตินี้ที่มีโทษอยู่ในเกณฑ์ที่จะทำการเปรียบเทียบได้ และบุคคลนั้นยินยอม
ให้เปรียบเทียบ ให้พนักงานสอบสวนส่งเรื่องให้อธิบดีหรืออธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน
หรือผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งได้รับมอบอำนาจจากบุคคลดังกล่าว แล้วแต่กรณี ภายในเจ็ดวัน
นับแต่วันที่บุคคลนั้นยินยอมให้เปรียบเทียบ
          เมื่อผู้กระทำผิดได้ชำระเงินค่าปรับตามจำนวนที่เปรียบเทียบภายในเวลาที่
กำหนดแต่ไม่เกินสามสิบวันแล้ว ให้ถือว่าคดีเลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
          ถ้าผู้กระทำผิดไม่ยินยอมให้เปรียบเทียบ หรือเมื่อยินยอมแล้วไม่ชำระเงิน
ค่าปรับภายในกำหนดเวลาตามวรรคสี่ ให้ดำเนินคดีต่อไป"

          มาตรา ๓๖  ให้ยกเลิกความใน (๒) ของอัตราค่าธรรมเนียมท้าย
พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
          "(๒) ใบอนุญาตตามมาตรา ๘ หรือมาตรา ๔๗ ทวิ ฉบับละ ๕,๐๐๐ บาท"

          มาตรา ๓๗  ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (๑๑) ของอัตราค่าธรรมเนียมท้าย
พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘
          "(๑๑) ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ  ครั้งละ ๔๐๐ บาท"
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ชวน  หลีกภัย
นายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ:-เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่บทบัญญัติใน
พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 ยังมีบทบัญญัติหลายเรื่องไม่
เหมาะสมทำให้มีการหลีกเลี่ยงกฎหมายด้วยวิธีการต่าง ๆ และยังไม่อาจให้ความคุ้มครอง
คนหางานได้อย่างเพียงพอ จึงสมควรปรับปรุงใหม่โดยให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนา
การจัดหางานและคุ้มครองคนหางานขึ้น เพื่อทำหน้าที่พิจารณาและเสนอแนวทางการพัฒนา
ระบบประโยชน์ต่าง ๆ ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาจัดหางานด้วย และเพื่อให้เป็นที่เชื่อถือแก่
การจ้างงาน สมควรควบคุมสถานทดสอบฝีมือและการดำเนินการทดสอบฝีมือไว้เป็นการเฉพาะ
นอกจากนี้เพื่อเป็นการป้องกันการหลักเลี่ยงกฎหมายโดยการนำลูกจ้างไปทำงานในต่างประเทศ
จึงสมควรมีบทบัญญัติควบคุมการส่งลูกจ้างไปฝึกงานขึ้นไว้ อีกทั้งสมควรปรับปรุงบทบัญญัติ
เกี่ยวกับการคืนหลักประกัน และการส่งเงินกับการได้รับประโยชน์จากกองทุนและอัตราโทษ
ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
(ร.จ. เล่ม 111  ตอนที่ 28ก  หน้า 40   วันที่ 30 มิถุนายน 2537)