พระราชบัญญัติ การจำนองเรือและบุริมสิทธิทางทะเล พ.ศ. 2537 ------------ |
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2536 เป็นปีที่ 48 ในรัชกาลปัจจุบัน |
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการจำนองเรือและบุริมสิทธิทางทะเล จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและ ยินยอมของรัฐสภาดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติการจำนองเรือ และบุริมสิทธิทางทะเล พ.ศ. 2537"
มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยยี่สิบวัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ เมื่อพระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับแล้ว มิให้นำมาตรา ๓๖ และมาตรา ๓๗ แห่งพระราชบัญญัติเรือไทย พุทธศักราช ๒๔๘๑ มาใช้บังคับแก่เรือ ที่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้ "เรือ" หมายความว่า เรือขนาดตั้งแต่หกสิบตันกรอสขึ้นไปที่เดินด้วยเครื่องจักรกล ไม่ว่าจะใช้กำลังอื่นด้วยหรือไม่ก็ตาม และเป็นเรือที่มีลักษณะสำหรับใช้ในทะเลตามกฎข้อบังคับ การตรวจเรือที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยการเดินเรือในน่านน้ำไทย "นายเรือ" หมายความว่า ผู้ควบคุมเรือ "คนประจำเรือ" หมายความว่า คนที่มีหน้าที่ทำการประจำอยู่ในเรือ "ลูกเรือ" หมายความว่า คนประจำเรือนอกจากนายเรือ "น้ำมัน" หมายความว่า น้ำมันดิบ น้ำมันเตา น้ำมันดีเซลหนัก หรือน้ำมันหล่อลื่น ซึ่งเป็นน้ำมันแร่จำพวกไฮโดรคาร์บอนที่ไม่สลายตัวโดยง่าย และให้หมายความรวมถึงน้ำมันอื่น ๆ ที่ก่อให้เกิดภาวะมลพิษตามที่กำหนดในกฎกระทรวง "นายทะเบียนเรือ" หมายความว่า นายทะเบียนเรือหรือผู้รักษาการแทน นายทะเบียนเรือตามกฎหมายว่าด้วยเรือไทย "รัฐมนตรี" หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๕ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมรักษาการตาม พระราชบัญญัตินี้ กับให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมไม่เกินอัตรา ท้ายพระราชบัญญัตินี้หรือกำหนดการอื่นเพื่อปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวงนั้นเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้
มาตรา ๖ ห้ามมิให้จำนำเรือที่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัตินี้ การกระทำที่ฝ่าฝืนบทบัญญัตินี้ย่อมเป็นโมฆะ
มาตรา ๗ การจำนองเรือให้บังคับตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ บทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ให้ใช้บังคับแก่การจำนองเรือ ตามพระราชบัญญัตินี้เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติในพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๘ สัญญาจำนองเรือให้ระบุมูลหนี้และจำนวนหนี้ที่จำนองเรือนั้น ไว้เป็นประกัน จำนวนหนี้ตามวรรคหนึ่ง จะระบุจำนวนเงินแน่นอนตรงตัวหรือจำนวน เงินขั้นสูงสุดที่ได้เอาเรือนั้นตราไว้เป็นประกันก็ได้ และจะเป็นเงินไทยหรือเงิน ต่างประเทศก็ได้
มาตรา ๙ จำนองเรือให้ครอบไปถึงเครื่องอุปกรณ์ประจำเรือ และ สิ่งของอื่น ๆ ที่กฎหมายกำหนดให้ต้องมีไว้ประจำเรือ ไม่ว่าสิ่งดังกล่าวจะได้มีอยู่แล้ว ในเวลาที่จดทะเบียนจำนองหรือมีขึ้นในภายหลังก็ตาม ทั้งนี้ เว้นแต่ผู้จำนองกับ ผู้รับจำนองจะตกลงกันเป็นอย่างอื่นโดยระบุข้อตกลงนั้นไว้ในสัญญาจำนอง
มาตรา ๑๐ ถ้าเรือที่จำนองสูญหายหรือเสียหาย ให้จำนองครอบไปถึง สิทธิเรียกร้องดังต่อไปนี้ (๑) ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการกระทำละเมิดที่เป็นเหตุให้เรือนั้น หรือสิ่งของที่สิทธิจำนองเรือครอบไปถึง สูญหายหรือเสียหาย (๒) ค่าเฉลี่ยความเสียหายทั่วไปที่เจ้าของเรือมีสิทธิได้รับเพื่อการ สูญหายหรือเสียหายของเรือนั้นหรือสิ่งของที่สิทธิจำนองเรือครอบไปถึง ตามกฎหมาย ว่าด้วยการนั้น (๓) ค่าสินไหมทดแทนที่เจ้าของเรือมีสิทธิได้รับเพื่อการสูญหายหรือ เสียหายของเรือนั้นหรือสิ่งของที่สิทธิจำนองเรือครอบไปถึงอันเนื่องมาจากการใช้ เรือนั้นทำการช่วยเหลือกู้ภัย (๔) ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยเพื่อการสูญหายหรือเสียหาย ของเรือนั้นหรือสิ่งของที่สิทธิจำนองเรือครอบไปถึง เมื่อเกิดสิทธิเรียกร้องตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้จำนองแจ้งให้ผู้รับจำนองทราบ โดยพลัน ห้ามมิให้ลูกหนี้แห่งสิทธิเรียกร้องซึ่งได้รู้ถึงการจำนองชำระหนี้แก่เจ้าของเรือนั้น เว้นแต่จะได้บอกกล่าวการชำระหนี้เป็นหนังสือไปยังผู้รับจำนอง และผู้รับจำนองไม่คัดค้าน การชำระหนี้เป็นหนังสือภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือบอกกล่าว มิฉะนั้นลูกหนี้ จะต้องรับผิดชอบต่อผู้รับจำนอง
ส่วนที่ ๒ การทำสัญญาและจดทะเบียนจำนองเรือ ---------
มาตรา ๑๑ สัญญาจำนองเรือไทยต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียน ตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๑๒ การจดทะเบียนจำนองเรือไทยให้จดทะเบียนที่ที่ทำการ นายทะเบียนเรือประจำเมืองท่าขึ้นทะเบียนของเรือนั้นโดยให้นายทะเบียนเรือเป็นพนักงาน เจ้าหน้าที่รับจดทะเบียน และให้จดไว้ในสมุดทะเบียนและหมายเหตุไว้ในใบทะเบียน ในกรณีที่เจ้าของเรือไทยประสงค์จะจดทะเบียนจำนองเรือของตนที่ที่ทำการ นายทะเบียนเรืออื่น นอกจากที่ทำการนายทะเบียนเรือตามวรรคหนึ่ง หรือที่ สถานเอกอัครราชทูตหรือสถานกงสุลไทย ให้นายทะเบียนเรืออื่นนั้นหรือเจ้าหน้าที่ประจำ สถานเอกอัครราชทูตหรือสถานกงสุลไทย แล้วแต่กรณี เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่รับจดทะเบียน โดยหมายเหตุไว้ในใบทะเบียนแล้วส่งสำเนาให้นายทะเบียนเรือประจำเมืองท่าขึ้นทะเบียน ของเรือนั้นโดยด่วน เมื่อได้รับสำเนาเช่นนั้นแล้วให้นายทะเบียนเรือประจำเมืองท่าขึ้นทะเบียน ของเรือจดข้อความนั้นไว้ในสมุดทะเบียน ให้นายทะเบียนเรือ และเจ้าหน้าที่ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการจดทะเบียนจำนองเรือ ตามพระราชบัญญัตินี้เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๑๓ ในกรณีที่ประสงค์จะจดทะเบียนจำนองเรือไทยในขณะที่เรือ ลำนั้นไม่อยู่ในประเทศไทยหรือไม่อยู่ในประเทศซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานเอกอัครราชทูต หรือสถานกงสุลไทยที่จะทำการจดทะเบียน เจ้าของเรืออาจขอให้นายทะเบียนเรือ ประจำเมืองท่าขึ้นทะเบียนของเรือนั้นออกใบแทนใบทะเบียนเรือไทยสำหรับนำไปกับ เรือระหว่างเวลาที่นำใบทะเบียนเรือไทยมาจดทะเบียนตามมาตรา ๑๒ การออกใบแทนใบทะเบียนเรือไทยตามวรรคหนึ่ง ให้หมายเหตุไว้ใน ใบแทนดังกล่าวด้วยว่าใช้แทนใบทะเบียนเรือไทยในระหว่างการดำเนินการเพื่อ จดทะเบียนจำนองเรือดังกล่าวเท่านั้น แต่ให้มีอายุใช้ได้ไม่เกินหกสิบวัน ใบแทนใบทะเบียนเรือไทยตามมาตรานี้ให้มีผลเสมือนเป็นใบทะเบียน เรือไทยตามกฎหมายว่าด้วยเรือไทย
มาตรา ๑๔ บุคคลใดเมื่อได้เสียค่าธรรมเนียมตามที่กำหนดใน กฎกระทรวงแล้ว จะขอตรวจดูทะเบียนจำนองเรือเดินทะเลและเอกสารเกี่ยวกับ การจำนองที่นายทะเบียนเรือประจำเมืองท่าขึ้นทะเบียนของเรือนั้นเก็บรักษาไว้ หรือจะขอให้คัดสำเนาทะเบียนจำนองเรือเดินทะเลหรือเอกสารดังกล่าวพร้อมด้วย คำรับรองว่าถูกต้องก็ได้
ส่วนที่ ๓ ผลของการจำนองและการบังคับจำนอง ------------
มาตรา ๑๕ ภายใต้บังคับแห่งมาตรา ๒๔ ผู้รับจำนองทรงไว้ซึ่งสิทธิ ที่จะได้รับชำระหนี้จากเรือที่จำนองก่อนเจ้าหนี้บุริมสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ และเจ้าหนี้อื่น ๆ ของเจ้าของเรือนั้น
มาตรา ๑๖ ผู้รับจำนองอาจฟ้องคดีต่อศาลขอให้บังคับจำนองได้ในกรณี ดังต่อไปนี้ (๑) ลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ และผู้รับจำนองได้ส่งคำบอกกล่าวเป็นหนังสือ ไปยังลูกหนี้ให้จัดการชำระหนี้ภายในเวลาอันสมควรที่กำหนดให้ในคำบอกกล่าวนั้นแล้ว แต่ลูกหนี้มิได้จัดการชำระหนี้ภายในเวลาที่กำหนดนั้น (๒) เมื่อเรือที่จำนองหรือสิ่งของที่สิทธิจำนองเรือครอบไปถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใด สูญหายหรือเสียหาย เป็นเหตุให้ไม่เพียงพอที่จะเป็นประกันการชำระหนี้ เว้นแต่เมื่อ เหตุนั้นมิได้เป็นเพราะความผิดของผู้จำนอง และผู้จำนองได้เสนอจะจำนองเรือลำอื่น หรือทรัพย์สินอื่นแทนหรือเพิ่มเติมให้มีราคาเพียงพอ หรือเสนอจะรับซ่อมแซมแก้ไข ความเสียหายนั้น หรือจัดหามาแทนซึ่งสิ่งที่สูญหายไปนั้นภายในเวลาอันสมควร (๓) ผู้จำนองฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือเงื่อนไขในสัญญาจำนอง ซึ่งตามสัญญาจำนองผู้รับจำนองอาจบังคับจำนองได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า
มาตรา ๑๗ ในการฟ้องคดีบังคับจำนอง ผู้รับจำนองอาจขอให้ศาล มีคำสั่งให้ (๑) ผู้จำนองนำเรือออกขายตามเงื่อนไขและภายในเวลาที่ศาลกำหนด (๒) ผู้รับจำนองนำเรือออกขายตามเงื่อนไขและภายในเวลาที่ศาล กำหนด หรือ (๓) ยึดเรือที่จำนองออกขายทอดตลาด ทั้งนี้ ศาลจะมีคำสั่งให้ดำเนินการตาม (๑) หรือ (๒) ต่อเมื่อผู้รับจำนอง แสดงให้เป็นที่พอใจต่อศาลว่าการดำเนินการโดยวิธีดังกล่าวจะเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย ที่มีส่วนได้เสียมากกว่าการดำเนินการโดยวิธีตาม (๓)
มาตรา ๑๘ นอกจากการบังคับจำนองตามมาตรา ๑๗ แล้ว ผู้รับจำนอง จะฟ้องคดีเรียกเอาเรือจำนองหลุดก็ได้ ภายในบังคับแห่งเงื่อนไขดังต่อไปนี้ (๑) ลูกหนี้ได้ขาดส่งดอกเบี้ยมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสองปี (๒) ผู้จำนองไม่ได้แสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลว่าราคาเรือนั้นมากกว่า จำนวนเงินที่ค้างชำระแก่ผู้รับจำนอง (๓) ไม่มีการจำนองรายอื่น และ (๔) ไม่มีเจ้าหนี้ซึ่งมีบุริมสิทธิทางทะเลร้องขอรับชำระหนี้ตามบุริมสิทธิ ทางทะเล
มาตรา ๑๙ ถ้าเอาเรือที่จำนองออกขายหรือขายทอดตลาดแล้วได้เงิน จำนวนสุทธิน้อยกว่าจำนวนเงินที่ค้างชำระแก่ผู้รับจำนอง หรือถ้าเอาเรือจำนองหลุด และเรือนั้นมีราคาน้อยกว่าจำนวนเงินที่ค้างชำระแก่ผู้รับจำนอง เงินยังขาดจำนวน อยู่เท่าใดให้ถือเป็นหนี้สามัญซึ่งผู้รับจำนองอาจเรียกร้องจากลูกหนี้ได้ แต่ถ้าผู้จำนอง ไม่ได้เป็นลูกหนี้จะเรียกร้องจากผู้จำนองไม่ได้
มาตรา ๒๐ คำฟ้องเกี่ยวกับการจำนองเรือตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ เสนอต่อศาลดังต่อไปนี้ คือ (๑) ถ้าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ทำการกักเรือไว้แล้วตามกฎหมายว่าด้วย การกักเรือ ให้เสนอต่อศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีตามกฎหมายว่าด้วยการกักเรือ (๒) ในกรณีที่ไม่ได้มีการกักเรือตาม (๑) ให้เสนอต่อศาลแพ่ง
มาตรา ๒๑ สัญญาซึ่งเจ้าของเรือที่มิใช่เรือไทยเอาเรือของตนตราไว้ แก่บุคคลอื่นเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ ให้ถือว่าเป็นการจำนองที่อาจบังคับได้ตาม พระราชบัญญัตินี้ ถ้าอยู่ภายใต้เงื่อนไขดังต่อไปนี้ (๑) สัญญานั้นได้ทำขึ้นโดยมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายแห่งประเทศที่เรือนั้น ได้จดทะเบียนไว้ (๒) ได้มีการจดทะเบียนสัญญาดังกล่าวไว้ในทะเบียนซึ่งอนุญาตให้บุคคล ทั่วไปตรวจดูได้ ณ ที่ทำการของรัฐที่มีหน้าที่รับจดทะเบียนสัญญาเช่นว่านั้น และ (๓) เป็นกรณีที่โจทก์อาจเสนอคำฟ้องต่อศาลได้ตามประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความแพ่ง กฎหมายว่าด้วยการกักเรือ หรือกฎหมายอื่น
มาตรา ๒๒ ผู้ใดมีสิทธิเรียกร้องที่เกี่ยวข้องกับเรือลำหนึ่งลำใด และ มูลแห่งสิทธิเรียกร้องนั้นมีลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ ผู้นั้นย่อมมีบุริมสิทธิทาง ทะเลเหนือเรือลำนั้น (๑) สิทธิเรียกร้องอันเกิดจากการทำงานในฐานะนายเรือ ลูกเรือหรือ คนประจำเรือของเรือลำนั้น (๒) สิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับการเสียชีวิตหรือบาดเจ็บของบุคคลใด ๆ ที่เกิดจากการดำเนินงานของเรือลำนั้น (๓) สิทธิเรียกร้องเอาค่าตอบแทนในการช่วยเหลือกู้ภัยเรือลำนั้น (๔) สิทธิเรียกร้องในมูลละเมิดที่เกิดจากการดำเนินงานของเรือลำนั้น แต่ไม่รวมถึงสิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับการสูญหายหรือเสียหายของสินค้า และสิ่งของของ ผู้โดยสารที่อยู่ในเรือลำนั้น สิทธิเรียกร้องตาม (๒) หรือ (๔) ที่เกิดจากมลพิษน้ำมัน วัตถุกัมมันตรังสี กัมมันตภาพรังสี และวัตถุนิวเคลียร์ ไม่ก่อให้เกิดบุริมสิทธิทางทะเลเหนือเรือลำนั้น
มาตรา ๒๓ ให้เจ้าหนี้บุริมสิทธิทางทะเลมีสิทธิได้รับชำระหนี้อันค้างชำระ แก่ตนจากเรือที่อยู่ภายใต้บังคับแห่งบุริมสิทธิทางทะเล ก่อนเจ้าหนี้อื่น ๆ ทั้งนี้ ไม่ว่าลูกหนี้ แห่งสิทธิเรียกร้องจะเป็นเจ้าของเรือหรือไม่ก็ตาม
มาตรา ๒๔ บุริมสิทธิทางทะเลตามพระราชบัญญัตินี้ให้มีผลใช้ได้โดย ไม่ต้องจดทะเบียน และให้ได้ผลก่อนสิทธิจำนองตามพระราชบัญญัตินี้ รวมทั้งบุริมสิทธิ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในกรณีที่มีบุริมสิทธิทางทะเลหลายรายแย้งกัน ให้บุริมสิทธิทางทะเลเหล่านั้น ได้ผลก่อนหลังตามที่เรียงลำดับไว้ในมาตรา ๒๒ เว้นแต่บุริมสิทธิทางทะเลในมูลค่าตอบแทน การช่วยเหลือกู้ภัยให้ได้ผลก่อนบุริมสิทธิทางทะเลอื่น ๆ เหนือเรือที่มีอยู่แล้วก่อนเริ่มปฏิบัติการ ช่วยเหลือกู้ภัยนั้น ในกรณีที่บุคคลหลายคนมีบุริมสิทธิทางทะเลในลำดับเดียวกัน ให้บุคคลเหล่านั้น ได้รับชำระหนี้ตามอัตราส่วนแห่งจำนวนเงินที่ตนเป็นเจ้าหนี้ ในกรณีที่บุริมสิทธิทางทะเลในมูลค่าตอบแทนการช่วยเหลือกู้ภัยเกิดขึ้นหลายครั้ง ให้บุริมสิทธิทางทะเลที่เกิดขึ้นครั้งหลังสุดได้ผลก่อนตามลำดับ ทั้งนี้ ให้ถือว่าบุริมสิทธิทางทะเล ในมูลค่าตอบแทนการช่วยเหลือกู้ภัยได้เกิดขึ้นในวันที่ปฏิบัติการช่วยเหลือกู้ภัยได้เสร็จสิ้นลง
มาตรา ๒๕ ในการบังคับตามบุริมสิทธิทางทะเล ให้นำเงินที่ได้จาก การขายเรือชำระค่าฤชาธรรมเนียม ค่าใช้จ่ายในการกักหรือยึดและขายเรือ ค่าใช้จ่าย ในการดูแลรักษาเรือนับแต่เวลาที่ได้กักหรือยึดเรือนั้น ค่าใช้จ่ายในการส่งตัวคนประจำ เรือกลับถิ่นฐาน และค่าใช้จ่ายในการจัดสรรเงินจำนวนดังกล่าว ตามลำดับเสียก่อน แล้วจึงจ่ายเงินส่วนที่เหลือให้แก่เจ้าหนี้บุริมสิทธิทางทะเล
มาตรา ๒๖ ในกรณีที่มีการโอนสิทธิเรียกร้องซึ่งมูลแห่งสิทธิเรียกร้องนั้น มีลักษณะตามมาตรา ๒๒ ให้ผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวมีบุริมสิทธิทางทะเลเช่นเดียวกับ ผู้โอน
มาตรา ๒๗ ในกรณีที่มีบุริมสิทธิทางทะเลเหนือเรือลำใดเกิดขึ้นแล้ว การทำ นิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์เรือลำนั้นให้แก่บุคคลใด ๆ ต่อไปไม่ทำให้บุริมสิทธิทางทะเลที่เกิดขึ้น แล้วนั้นระงับสิ้นไป เว้นแต่กรณีที่ผู้รับโอนได้ดำเนินการแจ้งให้เจ้าหนี้บุริมสิทธิทางทะเล ยื่นข้อเรียกร้องของตนไปยังผู้รับโอนภายในเวลาที่กำหนดซึ่งต้องไม่น้อยกว่าหกสิบวันนับแต่ วันที่แจ้ง แต่เจ้าหนี้บุริมสิทธิทางทะเลไม่ได้ยื่นข้อเรียกร้องของตนไปยังผู้รับโอนภายใน กำหนดเวลาดังกล่าว ให้บุริมสิทธิทางทะเลเป็นอันระงับสิ้นไป การแจ้งตามวรรคหนึ่ง ให้กระทำโดยประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์รายวัน และปิดประกาศไว้ ดังนี้ (๑) กรณีที่รับโอนกรรมสิทธิ์เรือไทย ให้ประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์รายวัน ภาษาไทยที่มีจำหน่ายในท้องถิ่นที่เมืองท่าขึ้นทะเบียนของเรือนั้นตั้งอยู่อย่างน้อยหนึ่งฉบับ กับหนังสือพิมพ์รายวันภาษาอังกฤษอย่างน้อยหนึ่งฉบับเป็นเวลาเจ็ดวันติดต่อกัน และให้ ปิดประกาศไว้ที่ที่ทำการนายทะเบียนเรือประจำเมืองท่าขึ้นทะเบียนของเรือนั้น กับที่ กองทะเบียนเรือ กรมเจ้าท่า (๒) กรณีที่รับโอนกรรมสิทธิ์เรือต่างประเทศมาจดทะเบียนเป็นเรือไทย ให้ประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์รายวันภาษาไทยอย่างน้อยหนึ่งฉบับกับหนังสือพิมพ์รายวัน ภาษาอังกฤษอย่างน้อยหนึ่งฉบับเป็นเวลาเจ็ดวันติดต่อกัน และให้ปิดประกาศไว้ที่ที่ทำการ นายทะเบียนเรือประจำเมืองท่าขึ้นทะเบียนที่จะจดทะเบียนหรือได้จดทะเบียนเรือนั้น เป็นเรือไทย กับที่กองทะเบียนเรือ กรมเจ้าท่า
มาตรา ๒๘ นอกจากกรณีตามมาตรา ๒๗ บุริมสิทธิทางทะเลระงับสิ้น ไปเมื่อ (๑) พ้นเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่บุริมสิทธิทางทะเลนั้นได้เกิดขึ้น (๒) ได้ขายเรือไปตามคำสั่งศาล ในกรณีเช่นนี้ให้เงินที่ได้จากการขาย เรือนั้นตกอยู่ภายใต้บังคับแห่งบุริมสิทธิทางทะเลแทน (๓) ผู้รับจำนองเอาเรือจำนองหลุด (๔) มีคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลถึงที่สุดให้ริบเรือนั้น
บทเฉพาะกาล ----------
มาตรา ๒๙ บทบัญญัติมาตรา ๖ ไม่กระทบกระเทือนถึงการจำนำเรือไทย ที่ได้ทำขึ้นก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๓๐ การจำนองเรือไทยที่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัตินี้ ซึ่งมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ถือว่าเป็นการจำนอง ตามพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี
อัตราค่าธรรมเนียม ----------
๑. ค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนจำนอง (๑) เรือขนาดไม่เกิน ๑๐๐ ตันกรอส ครั้งละ ๕๐๐ บาท (๒) เรือขนาดเกิน ๑๐๐ ตันกรอส แต่ไม่เกิน ๒๐๐ ตันกรอส ครั้งละ ๑,๐๐๐ บาท (๓) เรือขนาดเกิน ๒๐๐ ตันกรอสขึ้นไป ตันกรอสละ ๑๐ บาท แต่ครั้งหนึ่งไม่เกิน ลำละ ๒๐,๐๐๐ บาท ๒. ค่าธรรมเนียมการหมายเหตุแก้ข้อความในสัญญาจำนอง (๑) ไม่เพิ่มทุนทรัพย์ ครั้งละ ๒๐ บาท (๒) เพิ่มทุนทรัพย์ หนึ่งหมื่นบาทแรกหรือต่ำกว่าหนึ่งหมื่นบาท ๕๐ บาท หนึ่งหมื่นบาทหลัง หมื่นละ ๒๐ บาท เศษของหนึ่งหมื่นบาทให้นับเป็นหนึ่งหมื่นบาท แต่ฉบับหนี่งไม่เกิน ๕๐๐ บาท ๓. ค่าธรรมเนียมการคัดสำเนาหลักฐาน (๑) หนึ่งร้อยคำแรกหรือต่ำกว่าหนึ่งร้อยคำ ๑๐ บาท (๒) หนึ่งร้อยคำหลัง ร้อยละ ๑ บาท เศษของหนึ่งร้อยคำให้นับเป็นหนึ่งร้อยคำ ๔. ค่าธรรมเนียมการออกใบแทนใบทะเบียนเรือไทย ฉบับละ ๑๐๐ บาท ๕. ค่าธรรมเนียมอื่น ครั้งละหรือฉบับละ ๕๐ บาท |
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ในปัจจุบัน การจำนองเรือเดินทะเลและบุริมสิทธิเหนือเรือเดินทะเลได้นำบทบัญญัติว่าด้วยจำนองและ บุริมสิทธิตามประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับ แต่โดยที่กิจการเรือเดินทะเลมี ลักษณะเฉพาะที่จำเป็นต้องมีการเคลื่อนที่ไปมาในน่านน้ำของประเทศต่างๆ เกือบตลอดเวลา การนำบทบัญญัติตามประมวลกฏหมายแพ่งพาณิชย์มาใช้บังคับจึงไม่เหมาะสม จำเป็นต้องแยก การจำนองเรือเดินทะเลและบุริมสิทธิพิเศษเหนือเรือเดินทะเลออกจากกฏหมายว่าด้วย เรือไทยซึ่งยังคงบังคับบทบัญญัติตามประมวล กฏหมายแพ่งพาณิชย์ โดยสมควรให้มีกฏหมาย สำหรับใช้บังคับกับการจำนองเรือเดินทะเลโดยตรง และกำหนดบุริมสิทธิทางทะเลขึ้นไว้ โดยเฉพาะสำหรับเรือเดินทะเลโดยตรง และกำหนดบุริมสิทธิทางทะเลขึ้นไว้โดยเฉพาะ สำหรับเรือเดินทะเลเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาพาณิชย์นาวีของไทย และคุ้มครองบุคคลซึ่ง มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้องกับเรือเดินทะเลได้อย่างเหมาะสมจึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ (ร.จ. ฉบับพิเศษ เล่ม 111 ตอนที่ 4ก หน้า 1 วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2536) |