พระราชบัญญัติ
              ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
                            พ.ศ. 2536
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
                  ให้ไว้ ณ วันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ.2536
                      เป็นปีที่ 48 ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรด
เกล้า ฯ ให้ประกาศว่า
          โดยที่เป็นการสมควรจัดตั้งธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
          จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและ
ยินยอมของรัฐสภา ดังต่อไปนี้

          มาตรา ๑  พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออก
และนำเข้าแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2536"

          มาตรา ๒  พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศ
ในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

          มาตรา ๓  ในพระราชบัญญัตินี้
          "ธนาคาร" หมายความว่า ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
          "ผู้ส่งออก" หมายความว่า ผู้ประกอบการที่อยู่ในประเทศ รวมทั้งบุคคลซึ่งมี
คุณสมบัติตามที่คณะกรรมการกำหนดซึ่งทำการส่งออกสินค้าหรือบริการไปจำหน่ายยัง
ต่างประเทศ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลตอบแทนเป็นเงินตราหรือทรัพย์สินอื่นใดที่เทียบมูลค่า
เป็นเงินตราเข้ามาในราชอาณาจักร และให้หมายความรวมถึงผู้ให้บริการแก่บุคคล
ในต่างประเทศ
          "ธนาคารของผู้ส่งออก" หมายความว่า ธนาคารพาณิชย์หรือ
สถาบันการเงินอื่นที่ให้สินเชื่อแก่ผู้ส่งออก หรือดำเนินการเกี่ยวกับเอกสารสินค้า
ตามกระบวนการส่งออกให้แก่ผู้ส่งออก
          "ผู้ซื้อ" หมายความว่า ผู้นำเข้าที่อยู่ในต่างประเทศซึ่งซื้อสินค้าหรือบริการ
จากประเทศไทย หรือสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย
          "ธนาคารของผู้ซื้อ" หมายความว่า ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินอื่นหรือ
องค์กรอื่นใดที่ให้สินเชื่อแก่ผู้ซื้อหรือดำเนินการเกี่ยวกับเอกสารสินค้าในกระบวนการสั่งเข้า
ให้แก่ผู้ซื้อ
          "เงินกองทุน" หมายความว่า ทุนประเดิมตามมาตรา ๙ และเงินที่ได้
จากการเพิ่มทุนตามมาตรา ๑๐ เงินสำรองและกำไรสุทธิคงเหลือหลังจากการจัดสรรแล้ว
ทั้งนี้ เมื่อหักผลขาดทุนที่เกิดขึ้นในทุกงวดการบัญชีออกแล้ว และเงินสำรองจากการตีราคา
ทรัพย์สิน
          "ตราสารทางการเงิน" หมายความว่า ตั๋วเงิน หุ้นกู้ พันธบัตร และ
ตราสารอื่นตามที่คณะกรรมการกำหนด
          "คณะกรรมการ" หมายความว่า คณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและ
นำเข้าแห่งประเทศไทย
          "กรรมการ" หมายความว่า กรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า
แห่งประเทศไทย
          "ผู้จัดการ" หมายความว่า ผู้จัดการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า
แห่งประเทศไทย
          "รัฐมนตรี" หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

          มาตรา ๔  ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
          กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้

          มาตรา ๕  ให้จัดตั้งธนาคารขึ้นเรียกว่า "ธนาคารเพื่อการส่งออกและ
นำเข้าแห่งประเทศไทย" เรียกโดยย่อว่า "ธสน." และให้เป็นนิติบุคคล

          มาตรา ๖  ให้ธนาคารตั้งสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพมหานคร และจะตั้งสาขา
หรือสำนักงานผู้แทน ณ ที่ใดภายในหรือภายนอกราชอาณาจักรก็ได้ แต่การจะตั้งสาขาหรือ
สำนักงานผู้แทนภายนอกราชอาณาจักร ต้องได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรีก่อน

          มาตรา ๗  ให้ธนาคารมีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบธุรกิจอันเป็นการส่งเสริม
และสนับสนุนการส่งออก การนำเข้า และการลงทุน ทั้งนี้ เพื่อการพัฒนาประเทศ โดยการให้
สินเชื่อ ค้ำประกัน รับประกันความเสี่ยงหรือให้บริการที่จำเป็นอื่น ๆ ตามบทบัญญัติแห่ง
พระราชบัญญัตินี้

          มาตรา ๘  ภายในขอบวัตถุประสงค์ของธนาคารตามมาตรา๗ให้ธนาคาร
มีอำนาจกระทำกิจการต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
          (๑) ถือกรรมสิทธิ์หรือมีสิทธิครอบครองหรือมีทรัพยสิทธิต่าง ๆ ซื้อ จัดหา
ขาย จำหน่าย เช่า ให้เช่า เช่าซื้อ ให้เช่าซื้อ ยืม ให้ยืม รับจำนำ รับจำนอง แลกเปลี่ยน
โอน รับโอน หรือดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สิน ทั้งในและนอกราชอาณาจักร ตลอดจน
รับทรัพย์สินที่มีผู้มอบให้
          (๒) ให้สินเชื่อแก่ธนาคารของผู้ส่งออก ผู้ส่งออก ธนาคารของผู้ซื้อ หรือผู้ซื้อ
          (๓) ให้สินเชื่อเพื่อการนำเข้าสินค้าหรือบริการที่ใช้ในการผลิตสินค้า
เพื่อการส่งออกหรือเพื่อการพัฒนาประเทศ
          (๔) ให้สินเชื่อ หรือบริการทางการเงินในรูปอื่นที่เป็นประเพณีปฏิบัติของ
ธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินอื่นในด้านธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ
          (๕) ค้ำประกันหนี้ในกรณีที่ผู้ส่งออกหรือผู้ซื้อได้รับสินเชื่อจากธนาคารของ
ผู้ส่งออกหรือธนาคารของผู้ซื้อ แล้วแต่กรณี
          (๖) รับประกันความเสี่ยงในการได้รับชำระเงินจากผู้ซื้อหรือธนาคารของผู้ซื้อ
          (๗)รับประกันความเสี่ยงในเชิงพาณิชย์ในการลงทุนในต่างประเทศของ
ผู้ลงทุนไทย
          (๘) เข้าร่วมลงทุนในกิจการในต่างประเทศที่จะมีผลสนับสนุนการนำเข้าจาก
ประเทศไทยหรือส่งเสริมธุรกิจไทย และร่วมลงทุนในกิจการในประเทศเพื่อสนับสนุนการ
ส่งออก หรือการพัฒนาประเทศ
          (๙) ซื้อ ซื้อลด หรือรับช่วงซื้อลดตราสารทางการเงิน หรือรับโอนสิทธิ
เรียกร้องของผู้รับประโยชน์ในตราสารนั้น
         (๑๐) รับอาวัลตั๋วเงิน รับรองตั๋วเงิน หรือสอดเข้าแก้หน้าในตั๋วเงิน
         (๑๑) เรียกเก็บดอกเบี้ย ส่วนลด ค่าธรรมเนียมและค่าบริการอื่น ๆ
อันเนื่องมาจากการให้กู้ยืมเงิน ซื้อ ซื้อลด รับช่วงซื้อลด การค้ำประกัน และการให้บริการ
ทางการเงินอื่น ๆ
         (๑๒) ออกตราสารทางการเงิน
         (๑๓) ขาย ขายลด หรือขายช่วงลดตราสารทางการเงิน
         (๑๔) กู้ยืมเงินในประเทศหรือต่างประเทศเพื่อธุรกิจของธนาคาร
         (๑๕) รับฝากเงินเพื่อประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจของธนาคาร
หรือเพื่อระดมเงินจากสถาบันการเงินและตลาดการเงิน แต่ไม่รวมถึงการระดมเงินฝาก
จากประชาชนทั่วไป
         (๑๖) ทำธุรกิจเงินตราต่างประเทศของธนาคาร
         (๑๗) ใช้เงินคงเหลืออยู่เปล่าของธนาคารในการลงทุนเพื่อนำมาซึ่งรายได้
ตามที่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ
         (๑๘)กระทำการอื่นบรรดาที่เกี่ยวกับหรือเนื่องในการจัดการให้สำเร็จตาม
วัตถุประสงค์ของธนาคาร

          มาตรา ๙  ให้กำหนดทุนประเดิมของธนาคารเป็นจำนวนสองพันห้าร้อยล้านบาท
ประกอบด้วย
          (๑) เงินผลกำไรรวมทั้งดอกผลตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการ
บริหารเงินผลกำไรที่ได้จากธนาคารพาณิชย์เนื่องจากการปรับปรุงระบบการแลกเปลี่ยน
เงินตราเพื่อส่งเสริมกิจการที่ก่อให้เกิดรายได้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๒๙
          (๒) เงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจ่ายสมทบจนครบจำนวนทุนประเดิมนั้น
          ให้กระทรวงการคลังดำเนินการเพื่อโอนเงินตาม (๑) และให้ธนาคาร
แห่งประเทศไทยโอนเงินตาม (๒) เป็นจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งพันล้านบาทให้แก่ธนาคาร
ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ และเงินส่วนที่เหลือให้ธนาคาร
แห่งประเทศไทยทยอยจ่ายจนครบจำนวนทุนประเดิมตามวรรคหนึ่งภายในสองปีนับแต่
พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

          มาตรา ๑๐  การเพิ่มทุนของธนาคารให้กระทำโดยได้รับเงินจากธนาคาร
แห่งประเทศไทยหรือได้รับการจัดสรรจากเงินงบประมาณแผ่นดิน หรือจากแหล่งเงินอื่น
โดยได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรี

          มาตรา ๑๑  เงินที่ใช้หมุนเวียนในการดำเนินกิจการประกอบด้วย
          (๑) เงินกองทุน
          (๒) เงินกู้ยืมจากธนาคารแห่งประเทศไทย
          (๓) เงินที่ได้มาโดยการออกตราสารทางการเงินของธนาคาร
          (๔) เงินประกันการให้กู้ยืมและการให้บริการ
          (๕) เงินกู้ยืมจากต่างประเทศและในประเทศ
          (๖) เงินที่ได้จากการขาย ขายลด ขายช่วงลดตราสารทางการเงิน
          (๗) รายได้ของธนาคาร
          (๘) เงินที่มีผู้มอบให้
          (๙) เงินจากแหล่งเงินอื่นที่รัฐมนตรีอนุมัติ

          มาตรา ๑๒  ให้ธนาคารได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิ
และนิติกรรมในกิจการของธนาคาร

          มาตรา ๑๓  ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่ง เรียกว่า "คณะกรรมการ
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย" ประกอบด้วย ผู้อำนวยการสำนักงาน
เศรษฐกิจการคลัง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร อธิบดีกรมเศรษฐกิจ รองผู้ว่าการธนาคาร
แห่งประเทศไทยคนหนึ่งซึ่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยมอบหมาย และผู้จัดการ
เป็นกรรมการ และกรรมการอื่นอีกไม่เกินห้าคนซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งด้วยความเห็นชอบของ
คณะรัฐมนตรี โดยในจำนวนนี้ต้องเป็นผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชนอย่างน้อยสามคน
          ให้รัฐมนตรีแต่งตั้งกรรมการตามวรรคหนึ่งคนหนึ่ง เป็นประธานกรรมการ
ด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี การให้ประธานกรรมการพ้นจากตำแหน่ง ให้รัฐมนตรี
เป็นผู้สั่งด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
          คณะกรรมการจะแต่งตั้งบุคคลใดเป็นเลขานุการก็ได้

          มาตรา ๑๔  กรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งมีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละ
สามปี
          ในกรณีที่กรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ หรือในกรณี
ที่แต่งตั้งกรรมการเพิ่มขึ้นในระหว่างที่กรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้วยังมีวาระอยู่ในตำแหน่ง
ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทนหรือเป็นกรรมการเพิ่มขึ้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระ
ที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งไว้แล้ว
          เมื่อครบกำหนดตามวาระดังกล่าวในวรรคหนึ่ง หากยังมิได้มีการแต่งตั้ง
กรรมการขึ้นใหม่ให้กรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระนั้น อยู่ในตำแหน่งเพื่อดำเนินงาน
ต่อไปจนกว่ากรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งใหม่เข้ารับหน้าที่
          กรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้ แต่ไม่เกิน
สองวาระติดต่อกัน

          มาตรา ๑๕  นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา ๑๔
กรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ
          (๑) ตาย
          (๒) ลาออก
          (๓) รัฐมนตรีให้ออกด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
          (๔) เป็นบุคคลล้มละลาย
          (๕) เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
          (๖) ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับ
ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

          มาตรา ๑๖  การประชุมคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่า
กึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม ถ้าประธานกรรมการไม่อยู่
ในที่ประชุม ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม
          การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก เว้นแต่การแต่งตั้งและ
ถอดถอนผู้จัดการตามมาตรา ๑๗ (๑) ต้องประกอบด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่
ของกรรมการทั้งหมด กรรมการคนหนึ่งให้มีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียง
เท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด

          มาตรา ๑๗  คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแล
โดยทั่วไปซึ่งกิจการของธนาคารภายในขอบวัตถุประสงค์ตามมาตรา ๗ อำนาจหน้าที่เช่นว่านี้
ให้รวมถึง
          (๑) แต่งตั้งและถอดถอนผู้จัดการด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
          (๒) กำหนดข้อบังคับเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล เงินตอบแทน และค่าใช้จ่าย
          (๓) กำหนดข้อบังคับเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้าง การเงิน ทรัพย์สิน และการบัญชี
รวมทั้งการตรวจสอบและสอบบัญชีภายใน
          (๔) กำหนดข้อบังคับเกี่ยวกับการบริหารงานและดำเนินกิจการ
          (๕) กำหนดคุณสมบัติ ประเภทสินค้า บริการ ลักษณะการประกอบการของ
ผู้ส่งออก และผู้ซื้อที่สมควรได้รับการสนับสนุน
          (๖) กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการรับประกันความเสี่ยง การออกกรมธรรม์
อัตราเบี้ยประกัน การประเมินราคาทรัพย์สินและการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
          (๗) พิจารณาให้ความเห็นชอบงบประมาณของธนาคาร

          มาตรา ๑๘  คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารคณะหนึ่ง
ประกอบด้วยผู้จัดการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการอีกอย่างน้อยสองคนแต่ไม่เกินสี่คน
โดยจำนวนนี้ให้แต่งตั้งจากกรรมการโดยตำแหน่งไม่เกินกึ่งหนึ่ง เป็นกรรมการบริหาร
และกำหนดให้กรรมการบริหารคนหนึ่งนอกจากผู้จัดการ เป็นประธานกรรมการบริหาร
          ให้คณะกรรมการบริหารมีอำนาจหน้าที่ตามที่คณะกรรมการมอบหมาย

          มาตรา ๑๙  ให้ประธานกรรมการ กรรมการ ประธานกรรมการบริหารและ
กรรมการบริหาร ได้รับประโยชน์ตอบแทนตามที่รัฐมนตรีกำหนด

          มาตรา ๒๐  ผู้จัดการมีอำนาจหน้าที่ดำเนินกิจการของธนาคารให้เป็นไปตาม
วัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ของธนาคาร และตามนโยบายหรือข้อบังคับที่คณะกรรมการ
กำหนด
          ในกิจการของธนาคารที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก ให้ผู้จัดการเป็นผู้แทนของ
ธนาคารและเพื่อการนี้ผู้จัดการจะมอบอำนาจให้ตัวแทนหรือบุคคลใดกระทำกิจการเฉพาะ
อย่างแทนก็ได้ แต่ต้องเป็นไปตามข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนด

          มาตรา ๒๑  ให้รัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไปซึ่งกิจการของธนาคาร
เพื่อการนี้จะสั่งให้ธนาคารชี้แจงข้อเท็จจริง แสดงความคิดเห็น ทำรายงาน หรือยับยั้ง
การกระทำของธนาคารที่ขัดต่อนโยบายของรัฐบาลหรือมติคณะรัฐมนตรี ตลอดจนมีอำนาจ
ที่จะสั่งให้ปฏิบัติการตามนโยบายของรัฐบาลหรือมติคณะรัฐมนตรีและสั่งสอบสวนข้อเท็จจริง
ที่เกี่ยวกับการดำเนินงานได้

          มาตรา ๒๒  ให้ธนาคารดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์ หนี้สิน
หรือภาระผูกพันตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดโดยกฎกระทรวง

          มาตรา ๒๓  ในกรณีที่ธนาคารได้รับความเสียหายเนื่องจากการดำเนินธุรกิจ
ตามนโยบายของรัฐบาลหรือมติคณะรัฐมนตรี ให้กระทรวงการคลังดำเนินการจัดสรรเงิน
จากงบประมาณประจำปีเพื่อชดเชยแก่ธนาคารตามจำนวนที่เสียหายนั้น

          มาตรา ๒๔  ในกรณีที่ธนาคารได้รับความเสียหายจากการดำเนินธุรกิจ
การรับประกันตามอำนาจในมาตรา ๘(๖) และ (๗) อันอาจมีผลกระทบต่อการดำเนิน
กิจการของธนาคารและหรือมีผลทำให้ธนาคารไม่สามารถดำรงเงินกองทุนตามกฎกระทรวง
ที่ออกตามมาตรา ๒๒ ได้ ให้กระทรวงการคลังจัดสรรงบประมาณประจำปีหรือเงินอื่นเพื่อ
ชดเชยภาระดังกล่าวหรือเพื่อเพิ่มทุน

          มาตรา ๒๕  ในกรณีที่ธนาคารขอให้รัฐบาลค้ำประกันเงินกู้ที่ธนาคารกู้ยืมเงิน
จากแหล่งให้กู้ยืมในต่างประเทศหรือภายในประเทศ ให้รัฐบาลมีอำนาจค้ำประกันเงินกู้นั้นได้
แต่จำนวนเงินกู้ที่จะค้ำประกันเมื่อรวมถึงต้นเงินกู้ที่การค้ำประกันของรัฐบาลยังค้างอยู่ ต้องไม่
เกินสิบสองเท่าของเงินกองทุนของธนาคารเมื่อคำนวณเป็นเงินตราไทย ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็น
การค้ำประกันตามอำนาจที่มีอยู่ในกฎหมายใด
          การคำนวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยเพื่อทราบยอดรวมของเงินกู้
ตามวรรคหนึ่ง ให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามอัตราถัวเฉลี่ยประจำวันที่ทุนรักษาระดับ
อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราได้กำหนดไว้ในวันทำสัญญา

          มาตรา ๒๖  ให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้สอบบัญชีของธนาคารและ
เสนอรายงานผลการสอบบัญชีต่อรัฐมนตรี
          ให้ธนาคารรายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุน ซึ่งผู้สอบบัญชี
ตามวรรคหนึ่งได้รับรองแล้วต่อรัฐมนตรี เพื่อเสนอไปยังคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาเพื่อทราบ
ภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชีแต่ละปี

          มาตรา ๒๗  การจัดสรรกำไรสุทธิประจำปี ให้ธนาคารจัดสรรเป็นเงินสำรอง
ไว้ในกิจการของธนาคารไม่ต่ำกว่ากึ่งหนึ่งของกำไรสุทธิ ส่วนที่เหลือให้จัดสรรเข้าเงินกองทุน
และหรือนำส่งเป็นรายได้ของแผ่นดิน
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
          ชวน  หลีกภัย
          นายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ :-  เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ปัจจุบันการค้าระ
หว่างประเทศมีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อการเจริญเติบโตทางเศรฐกิจของประเทศ ประ
กอบกับการค้าระหว่างประเทศมีการแข่งขันกันมากขึ้น จึงสมควรจัดตั้งธนาคารเพื่อ
การส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ขึ้นเป็นองค์กรทำหน้าที่ให้ บริการทางการเงินและ
การบริการด้านอื่น เพื่อสนับสนุนการค้าระหว่างประเทศอันจะเป็นองค์กการทำหน้าที่ให้บริ
การการเงินและบริการด้านอื่น เพื่อสนับสนุนการค้าระหว่างประเทศอันจะเป็นการอำ
นวยประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
(ร.จ. ฉบับพิเศษ เล่ม 110 ตอนที่ 127 หน้า 10 วันที่ 6 กันยายน 2536)