พระราชบัญญัติ
                       การธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 3)
                               พ.ศ.2535
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
                     ให้ไว้ ณ วันที่ 29 มีนาคม พ.ศ.2535
                        เป็นปีที่ 47 ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศ
ว่า
   โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
   จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของ
สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้

   มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 3)
พ.ศ.2535"

   มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

   มาตรา 3 ให้ยกเลิกบทนิยามคำว่า "เงินกองทุน" ในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการธนาคาร
พาณิชย์ พ.ศ.2505 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่2) พ.ศ.2522
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
      ""เงินกองทุน" หมายความว่า
      (1) ทุนชำระแล้วซึ่งรวมทั้งส่วนล้ำมูลค่าหุ้นที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับและเงินที่ธนาคารพาณิชย์ได้
รับจากการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นของธนาคารพาณิชย์นั้น
      (2) ทุนสำรอง
      (3) เงินสำรองที่ได้จัดสรรจากกำไรสุทธิเมื่อสิ้นงวดการบัญชีตามมติที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นหรือ
ตามข้อบังคับของธนาคารพาณิชย์ แต่ไม่รวมถึงเงินสำรองสำหรับการลดค่าของสินทรัพย์และเงินสำรอง
เพื่อการชำระหนี้
      (4) กำไรสุทธิคงเหลือหลังจากการจัดสรร
      (5) เงินสำรองจากการตีราคาสินทรัพย์ เงินสำรองอื่น และ
      (6) เงินที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับเนื่องจากการออกตราสารแสดงสิทธิในหนี้ระยะยาวเกินห้าปีที่
มีสิทธิด้อยกว่าเจ้าหนี้สามัญ
   เงินกองทุนตาม (1) (2) (3) และ (4) ให้หักผลขาดทุนที่เกิดขึ้นในทุกงวดการบัญชีออกก่อน
และให้หักค่าแห่งกู๊ดวิลล์ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
   ชนิด ประเภทและการคำนวณเงินกองทุนตาม (5) หรือ (6) ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการ และ
เงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
   เงินกองทุนตาม (1) (2) (3) (4) (5) และ (6) ให้หักเงินตามตราสารใน (6) ของบริษัท
เงินทุนและธนาคารพาณิชย์อื่นที่ธนาคารพาณิชย์นั้นถือไว้และสินทรัพย์อื่นใด ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์วิธีการ
และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด"

   มาตรา 4 ให้เพิ่มบทนิยามคำว่า"บัตรเงินฝาก"ระหว่างคำว่า "ให้สินเชื่อ" และคำว่า"รัฐมนตรี"
ในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2504 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2522
      ""บัตรเงินฝาก" หมายความว่า ตราสารซึ่งเปลี่ยนมือได้ที่ธนาคารพาณิชย์ออกให้แก่ผู้ฝากเงิน
เพื่อเป็นหลักฐานการรับฝากเงินและเพื่อแสดงสิทธิของผู้ทรงตราสารที่จะได้รับเงินฝากคืนเมื่อสิ้น
ระยะเวลาอันกำหนดไว้ โดยจะมีการกำหนดดอกเบี้ยไว้ด้วยหรือไม่ก็ได้"

   มาตรา 5 ให้ยกเลิกความในมาตรา 5 เบญจ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์พ.ศ.2505
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์พ.ศ.2505 พ.ศ.
2528 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
   มาตรา 5 เบญจ ธนาคารพาณิชย์ต้องมีจำนวนหุ้นที่บุคคลผู้มีสัญชาติไทยถืออยู่ไม่ต่ำกว่าสามในสี่ของ
จำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด และต้องมีกรรมการเป็นบุคคลผู้มีสัญชาติไทยไม่ต่ำกว่าสามในสี่ของ
จำนวนกรรมการทั้งหมด"

   มาตรา 6 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 9 ตรี และมาตรา 9 จัตวา แห่งพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505
   มาตรา 9 ตรี ธนาคารพาณิชย์จะรับฝากเงินที่ต้องจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้โดยวิธีออก
บัตรเงินฝากก็ได้
      บัตรเงินฝากต้องมีรายการดังต่อไปนี้
      (1) คำบอกชื่อว่าเป็นบัตรเงินฝาก
      (2) ชื่อธนาคารพาณิชย์ผู้ออกบัตรเงินฝาก
      (3) วันที่ออกบัตรเงินฝาก
      (4) จังหวัดที่ออกบัตรเงินฝาก
      (5) ข้อตกลงอันปราศจากเงื่อนไขว่าจะจ่ายเงินเป็นจำนวนหนึ่งที่แน่นอนพร้อมด้วยดอกเบี้ย
(ถ้ามี)
      (6) วันถึงกำหนดจ่ายเงิน
      (7) สถานที่จ่ายเงิน
      (8) สถานที่จ่ายเงิน
      (9) ลายมือผู้มีอำนาจลงนามแทนธนาคารพาณิชย์ผู้ออกบัตรเงินฝาก
   มาตรา 9 จัตวา ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 889 ถึงมาตรา
907 มาตรา 911 มาตรา 913 (1) และ (2) มาตรา 914 ถึงมาตรา 916  มาตรา 917
วรรคหนึ่งและวรรคสาม มาตรา 918 ถึงมาตรา 922 มาตรา928 มาตรา 926  มาตรา 938 ถึง
มาตรา 942 มาตรา 945 มาตรา 946 มาตรา 948 มาตรา 949 มาตรา 959 มาตรา 967
มาตรา 971 มาตรา 973 มาตรา 986 มาตรา 994 ถึงมาตรา 1000 มาตรา1006 ถึงมาตรา
1008 มาตรา 1010 และมาตรา 1011 มาใช้บังคับแก่บัตรเงินฝากโดยอนุโลม"

   มาตรา 7 ให้ยกเลิกความในมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์พ.ศ.2505 ซึ่ง
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2522 และให้ใช้ความต่อไปนี้
แทน
      "มาตรา 10 ให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์ หนี้สินหรือภาระ
ผูกพันตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของ
รัฐมนตรี
   การกำหนดตามวรรคหนึ่ง ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ถ้ามีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงอัตราให้สูง
ขึ้น จะให้ใช้บังคับก่อนสิบห้าวันนับแต่วันประกาศมิได้"

   มาตรา 8 ให้ยกเลิกความใน (5) ของมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.
2505 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ การ ธนาคารพาณิชย์พ.ศ.
2505 พ.ศ.2528 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
      "(5) ซื้อหรือมีหุ้นในบริษัทจำกัดใดเกินร้อยละสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ
บริษัทจำกัดนั้น หรือซื้อหรือมีหุ้นมีมูลค่าหุ้นรวมกันทั้งสิ้นเกินอัตราส่วนกับเงินกองทุนทั้งหมดหรือเงินกองทุน
ชนิดหนึ่งชนิดใดหรือหลายชนิดตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ทั้งนี้
เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย ในการอนุญาตนั้นจะกำหนดเงื่อนไขใด ๆ ไว้ด้วย
ก็ได้"

   มาตรา 9 ให้ยกเลิกความในมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์  พ.ศ.2505 ซึ่ง
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2522 และให้ใช้ความต่อไปนี้
แทน
   "มาตรา 13 ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื้อหรือลงทุนในกิจการของผู้อื่นหรือก่อนภาระผูกพันเพื่อ
บุคคลหนึ่งบุคคลใด อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน เมื่อสิ้นวันหนึ่ง ๆ เกินอัตราส่วนกับ
เงินกองทุนทั้งหมดหรือเงินกองทุนชนิดหนึ่งชนิดใด หรือหลายชนิดตามหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขที่
ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี ทั้งนี้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจาก
ธนาคารแห่งประเทศไทยตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีกำหนด ในการอนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทยจะ
กำหนดเงื่อนไขให้ปฏิบัติด้วยก็ได้
   การกำหนดตามวรรคหนึ่ง ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและถ้ามีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงอัตราให้
ต่ำลง จะให้ใช้บังคับก่อนสิบห้าวันนับแต่วันประกาศมิได้
   ให้นำความในมาตรา 12 ทวิ มาใช้บังคับแก่การกระทำตามวรรคหนึ่งด้วยโดยอนุโลม"

   มาตรา 10 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 13 จัตวา แห่งพระราชบัญญัติธนาคารพาณิชย์
พ.ศ.2505
   "มาตรา 13 จัตวา ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนด
หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับการรับฝากเงิน การกู้ยืม หรือการซื้อ
ขายตั๋วแลกเงินหรือตราสารเปลี่ยนมืออื่นใดได้
   การกำหนดตามวรรคหนึ่งจะกำหนดตามประเภทของเงินฝากหรือเงินกู้ยืม ประเภทของบุคคล
ประเภทของเอกสารรับฝากเงินหรือการกู้ยืมเงินหรือประเภทของตราสารก็ได้"

   มาตรา 11 ให้ยกเลิกความในวรรคสองของมาตรา 15 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ.2505 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์(ฉบับที่ 2)  พ.ศ.2522 และให้ใช้
ความต่อไปนี้แทน
      "ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตตามวรรคหนึ่ง ถ้านำสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืน
ไม่ได้ในส่วนที่ไม่ได้ตัดออกจากบัญชีหรือสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ในส่วนที่ไม่ได้
กันเงินสำรองมาหักออกจากเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์นั้นแล้ว หากปรากฏว่าเงินกองทุนที่คงเหลือมี
จำนวนต่ำกว่าเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามมาตรา 10 ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจกำหนด
มาตรการใด ๆ ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นถือปฏิบัติจนกว่าจะได้ตัดสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้นั้น
หมดสิ้นไป หรือกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้นั้นครบจำนวนแล้ว"

   มาตรา 12 ให้ยกเลิกความในมาตรา 44 แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์  พ.ศ.2505 ซึ่ง
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์  พ.ศ.2505 พ.ศ.2528
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
   "มาตรา 44 ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 5 ตรี วรรคหนึ่ง มาตรา 5 เบญจ
มาตรา 5 มาตรา 7 ทวิ มาตรา 9 ทวิ มาตรา 10 มาตรา 11 มาตรา 11 ตรี  มาตรา 12 (2)
(3) (4) (5) (6) (7) (8) หรือ (9) มาตรา 12 ตรี มาตรา 12 จัตวา  มาตรา 13 มาตรา
13 จัตวา มาตรา 14 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง มาตรา 15 ทวิ มาตรา 16  หรือมาตรา 17 หรือ
ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือเงือนไขหรือคำสั่งของรัฐมนตรีตามมาตรา 5 ทวิ มาตรา 7
มาตรา 12(6)มาตรา 13 ตรี มาตรา 17 ทวิ มาตรา 21 มาตรา 23 หรือมาตรา 25 หรือฝ่าฝืน
หรือไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือเงื่อนไขหรือคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยตามมาตรา 12 (4) (
ก) หรือ (5) มาตรา 13 มาตรา 15 ทวิ มาตรา 17  วรรคหนึ่ง มาตรา 22 วรรคสอง มาตรา
24 ทวิ หรือมาตรา 24 ตรี ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสามแสนบาท"

   มาตรา 13 ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยยังมิได้ออกประกาศตามมาตรา 10  มาตรา 12
(5)หรือมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย
พระราชบัญญัตินี้ หรือออกประกาศแล้วแต่ประกาศดังกล่าวยังไม่มีผลใช้บังคับ ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติ
ตามประกาศซึ่งออกตามมาตรา 10 หรือมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.
2505 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2522 และมาตรา
12 (5) แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไข
เพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 พ.ศ.2528 ไปพลางก่อน

   มาตรา 14 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
อานันท์ ปันยารชุน
นายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ:-เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขบทบัญญัติ
แห่งกฎหมายว่าด้วงการธนาคารพาณิชย์และเพิ่มเติมบทบัญญัติใหม่เพื่อขยายขอบเขตการประกอบธุรกิจ
ธนาคารพาณิชย์ โดยให้ธนาคารพาณิชย์สามารถออกบัตรเงินฝากชนิดเปลี่ยนมือในการรับฝากเงินได้
เพื่อให้เกิดตราสารทางการเงินที่มีความคล่องตัว นอกจากนี้ ได้ยกเลิกข้อกำหนดเกี่ยวกับการกระจาย
หุ้นให้บุคคลธรรมดารายย่อยเพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด และปรับปรุง
ข้อกำหนดในเรื่องเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางสากล ตามข้อเสนอของ
BANK FOR INTER NATERNATIONAL SETTLEMENTS (BIS) ซึ่งเป็นองค์การระหว่างประเทศที่ช่วย
พัฒนาและกำกับสถาบันการเงินที่ดำเนินกิจการในตลาดต่างประเทศให้มีความมั่นคงเป็นมาตรฐาน
เดียวกัน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
(ร.จ. เล่ม 109 ตอนที่ 44 หน้า 1 วันที่ 9 เมษายน 2535)