พระราชบัญญัติ
             ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ฉบับที่ 4 )
                               พ.ศ.2535
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
                     ให้ไว้ ณ วันที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2535
                        เป็นปีที่ 47 ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการ
โปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
         โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยธนาคารเพื่อการเกษตรและ
สหกรณ์การเกษตร
         จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและ
ยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้

         มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการเกษตรและ
สหกรณ์การเกษตร (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2535"

         มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

         มาตรา 3 ให้ยกเลิกบทนิยามคำว่า "เกษตรกร"ในมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติ
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พ.ศ.2509 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2525 และให้ใช้ความต่อไปนี้
แทน
              "เกษตรกร" หมายความว่า ผู้ประกอบอาชีพในการทำนา การทำไร่
การทำสวนการเลี้ยงสัตว์ การประมง การเลี้ยงไหมและสาวไหม การทำนาเกลือ การปลูก
กล้วยไม้หรือไม้ดอก การปลูกไม้สน การปลูกสวนป่า การเลี้ยงผึ้ง การเลี้ยงครั่ง การเพาะ
เห็ด หรืออาชีพการเกษตรอื่นตามที่คณะกรรมการกำหนดโดยให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
และให้หมายความรวมถึงเกษตรตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม"

         มาตรา 4 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 7 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อ
การเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พ.ศ.2509

         "มาตรา 7 ทวิ ในกรณีที่ธนาคารมีความจำเป็นต้องเพิ่มทุนเรือนหุ้นให้ธนาคารขอ
เพิ่มทุนเรือนหุ้นได้อีกเป็นคราว ๆ โดยขออนุมัติคณะรัฐมนตรี
         การกำหนดมูลค่าหุ้นและการขายหุ้นเพื่อเพิ่มเรือนหุ้นตามวรรคหนึ่ง ให้นำมาตรา 7
วรรคหนึ่ง มาใช้บังคับโดยอนุโลม"

         มาตรา 5 ให้ยกเลิกความในมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการเกษตร
และสหกรณ์การเกษตร พ.ศ.2509 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
         "มาตรา 9 ธนาคารมีวัตถุประสงค์ให้ความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อส่งเสริม
อาชีพการเกษตรหรือการดำเนินงานของเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร หรือสหกรณ์การเกษตร
ตลอดจนส่งเสริมให้เกษตรกร กลุ่มเกษตรกร หรือสหกรณ์การเกษตร สามารถประกอบอาชีพ
อย่างอื่นที่เกี่ยวเนื่องในการเกษตรเพื่อเพิ่มรายได้แก่ครอบครัว"

         มาตรา 6 ให้ยกเลิกความใน (6) ของมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติธนาคาร
เพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พ.ศ.2509 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2525 และให้ใช้ความต่อไปนี้
แทน
              "(6) ให้กู้เงินแก่ผู้ฝากเงินหรือบุคคลหนึ่งบุคคลใดที่ผู้ฝากเงินยินยอม ภายใน
วงเงินที่ฝากไว้กับธนาคารโดยใช้เงินฝากเป็นประกัน รวมทั้งออกหนังสือค้ำประกันผู้ฝากเงินหรือ
บุคคลดังกล่าว ภายในวงเงินค้ำประกันซึ่งไม่เกินจำนวนเงินฝาก
         ความในวรรคหนึ่ง มิให้ใช้บังคับในกรณีที่ผู้ฝากเงินเป็นธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมาย
ว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์"

         มาตรา 7 ให้ยกเลิกความใน (11) ของมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติธนาคาร
เพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พ.ศ.2509 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์เกษตร (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2525 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
              "(11) เป็นตัวแทนของส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจเพื่อเรียกเก็บค่าที่ดิน ค่า
ชดเชยการลงทุน ค่าบริการ ค่าธรรมเนียม หรือเงินประเภทอื่น ตามที่ส่วนราชการหรือ
รัฐวิสาหกิจได้มอบหมายให้ธนาคารเรียกเก็บจากบุคคลหนึ่งบุคคลใด หรือเป็นตัวแทนของบุคคลอื่น
เพื่อดำเนินการดังกล่าวได้โดยต้องเป็นไปตามข้อบังคับของธนาคาร"

         มาตรา 8 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 34 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อ
การเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พ.ศ.2509
         "มาตรา 34 ทวิ ให้มีกองทุนขึ้นกองทุนหนึ่งในธนาคาร เรียกว่า "กองทุนที่ดิน"
เพื่อให้ความช่วยเหลือในด้านการให้กู้เงินแก่เกษตรกรเพื่อนำไปจัดหาที่ดินทำกิน พัฒนาที่ดินและ
ประกอบอาชีพเกษตรกรรมของตนตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมกองทุนที่ดิน
ประกอบด้วย เงินที่ได้รับจากการกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรตามระเบียบ
สำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำมา
ฝากไว้กับธนาคาร รายได้จากการดำเนินการและเงินจากแหล่งอื่น ๆ
         เงินจากกองทุนที่ดินให้ใช้จ่ายเพื่อวัตถุประสงค์ตามวรรคหนึ่ง และเป็นค่าใช้จ่าย
ในการบริหารงานกองทุนที่ดิน ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามระเบียบ ข้อบังคับ หรือมติที่คณะกรรมการ
กองทุนที่ดินซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แต่งตั้งกำหนดโดยความเห็นชอบของ
คณะกรรมการ
         ผู้จัดการมีอำนาจหน้าที่บริหารกองทุนที่ดินให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ตามวรรคหนึ่ง
และตามระเบียบ ข้อบังคับ หรือมติที่คณะกรรมการกองทุนที่ดินให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ตาม
วรรคสองและให้นำมาตรา 23 และมาตรา 25 มาใช้บังคับโดยอนุโลม
         ผู้จัดการต้องแยกบัญชีและเอกสารเกี่ยวกับการเงินหรือทรัพย์สินอื่นของทุนที่ดินออก
จากบัญชีและเอกสารเกี่ยวกับการเงินหรือทรัพย์สินอื่นของธนาคาร"
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
อานันท์ ปันยารชุน
  นายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ : เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากปัจจุบัน
พระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พ.ศ.2509 กำหนด
ความหมายของคำว่า  เกษตรกร และวัตถุประสงค์ของธนาคารไว้ค่อนข้างจะจำกัด โดย
เกษตรกรนั้นหมายความเฉพาะผู้ประกอบอาชีพการเกษตรโดยตรง และให้เกษตรกรกู้เงินได้
เฉพาะเพื่อการประกอบอาชีพการเกษตรเท่านั้น อีกทั้งเงินทุนของธนาคารเพื่อการเกษตรและ
สหกรณ์การเกษตรตามที่กำหนดไว้นั้นในขณะนี้มีจำนวนไม่เพียงพอทำให้ความช่วยเหลือในการ
ประกอบอาชีพของเกษตรกรอยู่ในวงจำกัด  สมควรที่จะขยายความของคำว่า เกษตรกร ให้รวม
ถึงเกษตรกรตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และขยายวัตถุประสงค์ของ
ธนาคารตามพระราชบัญญัตินี้ให้กว้างขึ้นให้เกษตรกรสามารถกู้เงินไปเพื่อการประกอบอาชีพ
อย่างอื่นที่เกี่ยวเนื่องในการเกษตรเพื่อเป็นการเพิ่มรายได้กับครอบครัวไว้ด้วย และแก้ไขใน
เรื่องการเพิ่มทุนเรือนหุ้นของธนาคารเพื่อให้ธนาคารสามารถให้ความช่วยเหลือในด้านการให้
สินเชื่อแก่เกษตรกรได้มากขึ้น นอกจากนี้ เพื่อให้การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามกฎหมาย
ว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น สมควรให้มีกองทุนที่ดินขึ้นใน
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โดยให้ผู้จัดการธนาคารเป็นผู้บริหารกองทุนที่ดิน
ตามระเบียบ ข้อบังคับ หรือมติที่คณะกรรมการกองทุนที่ดินกำหนด และแยกการดำเนินงานออก
ต่างหากจากการดำเนินงานตามปกติของธนาคาร จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
( ร.จ. เล่ม109  ตอนที่42 หน้า86 วันที่ 8 เมษายน 2535)