พระราชบัญญัติ กองทุนสนับสนุนการวิจัย พ.ศ.2535 |
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ 29 มีนาคม พ.ศ.2535 เป็นปีที่ 47 ในรัชกาลปัจจุบัน |
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยกองทุนสนับสนุนการวิจัย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการวิจัย พ.ศ.2535"
มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา 3 ในพระราชบัญญัตินี้ "การวิจัย" หมายความว่า การค้นคว้าโดยการทดลอง สำรวจหรือการศึกษาตามหลักวิชาการ เพื่อให้ได้ข้อมูล ความรู้ รวมทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์และกระบวนการต่าง ๆ อันจะสามารถนำมาใช้เป็น ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สังคม วิชาการ หรือเป็นพื้นฐานของการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ ต่อไป "กองทุน" หมายความว่า กองทุนสนับสนุนการวิจัย "คณะกรรมการนโยบาย" หมายความว่า คณะกรรมการนโยบายกองทุนสนับสนุนการวิจัย "คณะกรรมการประเมินผล" หมายความว่า คณะกรรมการติดตามและประเมินผลการสนับสนุน การวิจัย "สำนักงาน" หมายความว่า สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย "ผู้อำนวยการ" หมายความว่า ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
มาตรา 4 ให้จัดตั้งกองทุนขึ้นกองทุนหนึ่งเรียกว่า"กองทุนสนับสนุนการวิจัย" ประกอบด้วยเงินและ ทรัพย์สินตามมาตรา 5 เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนและใช้จ่ายในการสนับสนุนการวิจัยอย่างต่อเนื่องและมี ประสิทธิภาพในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ การวิจัยเชิงนโยบายและ การวิจัยประยุกต์ต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวิชาการของประเทศ ให้กองทุนเป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินกิจการสนับสนุนการดำเนินงานวิจัยตาม พระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจกระทำการใด ๆ ที่จำเป็นหรือต่อเนื่องเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว นั้นได้ แต่จะต้องไม่ดำเนินการวิจัยเอง ให้กองทุนมีสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพมหานครเรียกว่า "สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย" โดยให้ เป็นหน่วยงานในกำกับของสำนักนายกรัฐมนตรี มีระบบการบริหารงานที่แตกต่างจากระบบราชการเพื่อ ให้เกิดความคล่องตัวภายใต้นโยบายของคณะกรรมการนโยบาย
มาตรา 5 เงินและทรัพย์สินของกองทุนประกอบด้วย (1) เงินที่รัฐบาลจัดสรรให้ (2) เงินอุดหนุนจากต่างประเทศรวมทั้งองค์กรระหว่างประเทศ (3) เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้มอบให้เพื่อสมทบกองทุน (4) ดอกผลหรือรายได้ของกองทุน รวมทั้งผลประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญหาและผลประโยชน์ อื่น ๆ ที่เกิดจากการวิจัย ให้โอนเงินงบประมาณกองทุนสนับสนุนการวิจัยตามมาตรา 26 (2) แห่งพระราชบัญญัติงบประมาณ รายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2535 จำนวนหนึ่งพันสองร้อยล้านบาทมาเป็นเงินของกองทุนสนับสนุน การวิจัย
มาตรา 6 การใช้จ่ายเงินกองทุนให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการนโยบายกำหนดโดยให้ใช้เพื่อกิจการ ดังต่อไปนี้ (1) การสนับสนุนการดำเนินงานวิจัย การติดตามประเมินผล การเผยแพร่ผลงานวิจัย และ การส่งเสริมการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ (2) การบริหารกองทุน (3) การดำเนินงานของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
มาตรา 7 เงินกองทุนให้นำไปฝากไว้ที่ธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด เงินกองทุนส่วนหนึ่งอาจนำไปซื้อพันธบัตรของรัฐบาล ขององค์การของรัฐหรือของรัฐวิสาหกิจได้ ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด
มาตรา 8 รายได้ของกองทุนให้นำเข้าสมทบกองทุนโดยไม่ต้องส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมาย ว่าด้วยเงินคงคลัง หรือกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ หรือกฎหมายอื่น
มาตรา 9 ให้คณะกรรมการนโยบายกองทุนสนับสนุนการวิจัย ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้และ ประสบการณ์สูงด้านการวิจัยซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็น รองประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ปลัดกระทรวงสาธารณสุขปลัดกระทรวง อุตสาหกรรม ปลัดทบวงมหาวิทยาลัย เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และผู้อำนวยการสำนักงาน พัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง และผู้ทรงคุณวุฒิอื่นที่มีความรู้และ ประสบการณ์สูงด้านการวิจัยซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งไม่น้อยกว่าสี่คนและไม่เกินเจ็ดคน เป็นกรรมการ และผู้อำนวยการเป็นกรรมการและเลขานุการ ประธานกรรมการ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและผู้อำนวยการต้องไม่เป็นข้าราชการเมืองที่ปรึกษา เจ้าหน้าที่หรือกรรมการของพรรคการเมือง
มาตรา 10 ประธานกรรมการและกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งคราวละสามปี และอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้ แต่รวมแล้วต้องไม่เกินสองวาระติดต่อกัน ในกรณีที่กรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระหรือ ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง กรรมการเพิ่มขึ้นในระหว่างที่กรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้วยังมีวาระอยู่ในตำแหน่ง ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งให้ ดำรงตำแหน่งแทนหรือเป็นกรรมการเพิ่มขึ้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้ แต่งตั้งไว้แล้ว เมื่อครบกำหนดตามวาระดังกล่าวในวรรคหนึ่ง หากยังมิได้มีการแต่งตั้งกรรมการขึ้นใหม่ ให้ กรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระนั้นอยู่ในตำแหน่งเพื่อดำเนินงานต่อไปจนกว่ากรรมการซึ่งได้รับ แต่งตั้งใหม่เข้ารับหน้าที่
มาตรา 11 นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา 10 ประธานกรรมการและกรรมการ ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งเมื่อ (1) ตาย (2) ลาออก (3) คณะรัฐมนตรีให้ออก (4) เป็นบุคคลล้มละลาย (5) เป็นคนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (6) ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำ โดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ
มาตรา 12 การประชุมคณะกรรมการนโยบายต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของ จำนวนกรรมการทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม ในการประชุมคณะกรรมการนโยบาย ถ้าประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้รองประธานกรรมการเป็นประธานในที่ประชุม ถ้าประธานกรรมการและรองประธานกรรมการไม่มา ประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ที่ประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการคนหนึ่งให้มีเสียงหนึ่งเสียงในการ ลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
มาตรา 13 ให้ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการและกรรมการได้รับเบี้ยประชุมและ ประโยชน์ตอบแทนอื่นตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
มาตรา 14 คณะกรรมการนโยบายมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (1) กำหนดนโยบายและแผนการให้ทุนสนับสนุนการวิจัย (2) กำหนดหลักเกณฑ์และมาตรการการสนับสนุนการวิจัยของนักวิจัยและหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน (3) กำหนดนโยบาย วางระเบียบ ข้อบังคับการบริหาร และควบคุมดูแลการดำเนินงานของ สำนักงานในการบริหารกองทุน รวมทั้งแต่งตั้งและถอดถอนผู้อำนวยการ (4) กำหนดมาตรการการเผยแพร่และถ่ายทอดผลงานวิจัยไปยังผู้ใช้และกำหนดหลักเกณฑ์การ แบ่งปันผลประโยชน์ของงานวิจัยที่เกิดขึ้น (5) ระดมเงินทุนจากแหล่งต่าง ๆ เข้าสู่กองทุน (6) วางระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการรับและจ่ายเงินกองทุน (7) กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินกองทุน (8) อนุมัติงบประมาณประจำปีสำหรับการดำเนินงานของกองทุนและสำนักงาน (9) ควบคุมดูแลการรับและการใช้จ่ายเงินกองทุน (10) ดำเนินงานอื่น ๆ เพื่อสนับสนุนการวิจัย (11) เสนอรายงานประจำปีต่อนายกรัฐมนตรี
มาตรา 15 ให้มีคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการสนับสนุนการวิจัย ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ ที่มีความรู้และประสบการณ์สูงด้านการวิจัยซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการผู้แทน กรมวิชาการเกษตร ผู้แทนกองบัญชาการทหารสูงสุด ผู้แทนสำนักงบประมาณ ผู้แทนสำนักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้แทนกรมบัญชีกลาง ผู้แทนสภาอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย ผู้แทนสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ผู้แทนสมาคมธนาคารไทย และผู้ทรงคุณวุฒิอื่นที่มี ความรู้และประสบการณ์สูงด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคมศาสตร์ หรือมนุษยศาสตร์ ซึ่ง คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งไม่น้อยกว่าสี่คนและไม่เกิดเก้าคน เป็นกรรมการ และผู้อำนวยการเป็นกรรมการ และเลขานุการ ให้นำมาตรา 10 มาตรา 11 มาตรา 12 และมาตรา 13 มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา 16 คณะกรรมการประเมินผลมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (1) ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลงานวิจัยที่ได้รับการสนับสนุน (2) รายงานผลการปฏิบัติงานพร้อมทั้งข้อเสนอแนะต่อคณะกรรมการนโยบาย
มาตรา 17 ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ คณะกรรมการนโยบายและคณะกรรมการ ประเมินผล อาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาและเสนอความเห็นใจเรื่องหนึ่งเรื่องใด หรือ มอบหมายให้ปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดได้ตามที่เห็นสมควร ให้นำมาตรา 12 และมาตรา 13 มาใช้บังคับการปฏิบัติหน้าที่ของคณะอนุกรรมการตามวรรคหนึ่ง โดยอนุโลม
มาตรา 18 ให้สำนักงานมีหน้าที่ดังต่อไปนี้ (1) บริหารกองทุนตามระเบียบ ข้อบังคับ และมติของคณะกรรมการนโยบาย (2) ศึกษา วิเคราะห์ และประเมินความต้องการการวิจัยในด้านต่าง ๆ ของประเทศทั้งใน ปัจจุบันและอนาคต และความเหมาะสมในการดำเนินการวิจัยในด้านต่าง ๆ เพื่อสนองความต้องการนั้น เพื่อเสนอให้คณะกรรมการนโยบายพิจารณา (3) ประสานงานและสนับสนุนการวิจัย เผยแพร่ผลงานวิจัย และนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ ตลอดจนประเมินผลของการดำเนินการดังกล่าว (4) จัดทำรายงานและการบัญชีของกองทุน (5) ปฏิบัติงานธุรการของคณะกรรมการนโยบาย และคณะกรรมการประเมินผล (6) กระทำการอื่นใดเกี่ยวกับการสนับสนุนการวิจัยตามที่คณะกรรมการนโยบายและ คณะกรรมการประเมินผลมอบหมาย ทั้งนี้ สำนักงานจะไม่ดำเนินการวิจัยเอง
มาตรา 19 สำนักงานมีผู้อำนวยการเป็นผู้มีหน้าที่ควบคุมดูแลงานโดยทั่วไปของสำนักงานเป็น ผู้บังคับบัญชาพนักงานของสำนักงาน และมีอำนายหน้าที่ดังต่อไปนี้ (1) เสนอแผนรวมทั้งเป้าหมายของการสนับสนุนการวิจัยตามที่ได้รับมอบหมายต่อคณะกรรมการ นโยบายเพื่อพิจารณา (2) รายงานผลการวิจัยที่ได้รับการสนับสนุนรวมทั้งผลการดำเนินงานเผยแพร่และการนำไปใช้ ประโยชน์ต่อคณะกรรมการนโยบายและคณะกรรมการประเมินผล (3) เสนอรายงานการเงินและการบัญชี และแผนการเงินและงบประมาณของ ปีต่อไปต่อคณะกรรมการนโยบายเพื่อพิจารณา (4) เสนอการแต่งตั้งผู้ประเมินโครงการและผู้ประเมินผลงานวิจัยและรายงานผลการติดตาม ประเมินผลต่อคณะกรรมการประเมินผลเพื่อพิจารณา (5) บริหารงานของสำนักงานตามนโยบายและมติของคณะกรรมการนโยบายและคณกรรมการ ประเมินผล (6) ดำเนินงานอื่น ๆ ตามที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการนโยบายและ คณะกรรมการประเมินผล
มาตรา 20 ในกิจการเกี่ยวกับบุคคลภายนอก ให้ผู้อำนวยการเป็นผู้กระทำแทนกองทุนและสำนักงาน ในการนี้ ผู้อำนวยการจะมอบให้บุคคลใด ๆ ปฏิบัติการแทนโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการนโยบาย ก็ได้
มาตรา 21 การบัญชีของกองทุน ให้จัดทำบัญชีตามหลักสากล โดยให้มีการตรวจสอบภายในเกี่ยวกับ การเงิน การบัญชี และการพัสดุของกองทุน และรายงานผลการตรวจสอบให้คณะกรรมการนโยบาย ทราบอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง
มาตรา 22 ให้สำนักงานจัดทำงบดุล งบการเงิน และบัญชีทำการส่งผู้สอบบัญชีตรวจสอบภายในหนึ่ง ร้อยยี่สิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชีทุกปี ให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้สอบบัญชีของสำนักงานทุกรอบปี แล้วทำรายงานผลการสอบบัญชี เสนอต่อคณะกรรมการนโยบาย
มาตรา 23 ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ อานันท์ ปันยารชุน นายกรัฐมนตรี |
หมายเหตุ:-เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่การวิจัยที่มีประสิทธิภาพในด้าน วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี สังคมศาสตร และมนุษยศาสตร์ และการนำผลของการวิจัยดังกล่าวไปใช้ ประโยชน์ เป็นการจำเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและวิชาการของประเทศ แต่ใน ปัจจุบันการวิจัย และการใช้ประโยชน์จากผลของการวิจัยดังกล่าว ยังไม่ได้รับการส่งเสริมและสนับสนุน ในด้านงบประมาณจากรัฐบาลอย่างเพียงพอ สมควรจัดตั้งกองทุน สนับสนุนการวิจัยขึ้น เป็นอิสระจาก ระบบราชการเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและการใช้ประโยชน์จากผลของการวิจัยให้กว้างขวาง ยิ่งขึ้น โดยสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อเนื่องและเอื้อต่อการวิจัยเพื่อประโยชน์สูงสุด จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ (ร.จ. เล่ม 109 ตอนที่ 33 หน้า 21 วันที่ 2 เมษายน 2535) |