พระราชบัญญัติ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2535 |
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2535 เป็นปีที่ 47 ในรัชกาลปัจจุบัน |
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า"พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2535"
มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป
มาตรา 3 ให้ยกเลิกบทนิยาม"ผู้ว่าราชการจังหวัด"ในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522
มาตรา 4 ให้ยกเลิกบทนิยาม"นายอำเภอ" และ"ที่ว่าการอำเภอ" ในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน ""นายอำเภอ" หมายความรวมถึง ผู้อำนวยการเขตและปลัดอำเภอ ผู้เป็นหัวหน้า ประจำกิ่งอำเภอ "ที่ว่าการอำเภอ " หมายความรวมถึง สำนักงานเขตและที่ว่าการกิ่งอำเภอ"
มาตรา 5 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 4 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 "มาตรา 4 ทวิ บรรดาอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดตามพระราชบัญญัตินี้ ในกรณี กรุงเทพมหานครให้เป็นอำนาจหน้าที่ของปลัดกรุงเทพมหานครและให้ถือว่าเป็นการปฏิบัติการ แทนผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในกรณีที่ปลัดกรุงเทพมหานครไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ ให้รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้มีอำนาจกล่าวโทษและให้มีอำนาจดำเนินการทางวินัยแทนผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร"
มาตรา 6 ให้ยกเลิกความในมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2529 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 6 เมื่อได้ประกาศพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้ว จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ถ้าการเลือกตั้งนั้นเป็น การเลือกตั้งทั่วไปให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยประกาศในราชกิจจานุเบกษาซึ่งเรื่องดัง ต่อไปนี้ (1) จำนวนราษฎรโดยเฉลี่ยต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหนึ่งคน (2) จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่แต่ละจังหวัดจะพึงมี (3)จำนวนเขตเลือกตั้งของแต่ละจังหวัด และจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ แต่ละเขต (4) จำนวนราษฎรของแต่ละเขตเลือกตั้ง และ (5) จำนวนอำเภอและตำบลรวมเป็นเขตเลือกตั้งแต่ละเขต"
มาตรา 7 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 6 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 "มาตรา 6 ทวิ การกำหนดเขตเลือกตั้งให้ถือตามเกณฑ์ดังต่อไปนี้ (1) ให้กำหนดท้องที่ทั้งหมดของอำเภออยู่ในเขตเลือกตั้งเดียวกัน (2) ในกรณีที่ไม่อาจดำเนินการตาม (1) ได้ จะแยกตำบลของอำเภอหนึ่งไปรวมกับ อีกเขตเลือกตั้งหนึ่งที่มีพื้นที่ติดต่อกันก็ได้ แต่ต้องไม่นำพื้นที่เพียงบางส่วนของตำบลหนึ่งไปรวมกับ อีกเขตเลือกตั้งหนึ่ง"
มาตรา 8 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 15 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 "มาตรา 15 ทวิ เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและยุติธรรม ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือนายอำเภอมีหน้าที่ดังต่อไปนี้ (1) ในกรณีข้าราชการการเมือง นายกเทศมนตรี นายกเมืองพัทยา หรือ เทศมนตรี กระทำการช่วยเหลือหรือสนับสนุนผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือพรรคการเมืองหนึ่ง พรรคการเมืองใดโดยมิชอบ ให้แจ้งต่อบุคคลดังกล่าวนั้นให้ยุติหรือระงับการการะทำในลักษณะ ดังกล่าว ถ้าไม่เชื่อฟังให้แจ้งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย (2) ในกรณีที่บุคคลตามมาตรา 15 นอกจากบุคคลตาม (1) มีพฤติการณ์ฝักใฝ่หรือ กระทำการช่วยเหลือหรือสนับสนุนผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือพรรคการเมืองหนึ่งพรรคการเมืองใดให้ สั่งบุคคลซึ่งกระทำการดังกล่าวข้างต้นไปประจำศาลากลางจังหวัดหรือที่ว่าการอำเภอ แล้วแต่ กรณีในระหว่างที่มีการดำเนินการตาม (3) และ (3) แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเพื่อพิจารณาการกระทำของบุคคลตาม (2) ถ้าปรากฏว่ามีมูลเป็นความผิด ให้ส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาของผู้ นั้นเพื่อดำเนินการทาง ปกครองหรือทางวินัยหรือแจ้งให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป ในการนี้ให้คณะกรรมการ สอบสวนข้อเท็จจริงมีอำนาจเรียกบุคคลใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกรณีความผิดดังกล่าวข้างต้นมาให้ ถ้อยคำหรือให้ส่งเอกสารหลักฐานเพื่อประกอบการพิจารณาได้
มาตรา 9 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 16 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 "มาตรา 16 ทวิ ในการสอบสวนคดีความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ให้พนักงานสอบสวนดำเนิน การสอบสวนให้เสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันได้รับคำร้องทุกข์ หรือคำกล่าวโทษ หรือได้รับ แจ้งให้ดำเนินการทางคดีอาญาตามมาตรา 15 ทวิ(3) ถ้าไม่สามารถดำเนินการให้เสร็จ ภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ให้ขอขยายเวลาได้ไม่เกินสองครั้ง ครั้งละไม่เกินสิบห้าวัน ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือ นายอำเภอ แล้วแต่กรณี มีอำนาจสั่งการและควบคุมการ สอบสวนคดีความผิดตามวรรคหนึ่งได้ตามที่กำหนดในข้อบังคับของกระทรวงมหาดไทย"
มาตรา 10 ให้ยกเลิกความในมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 17 ภายใต้บังคับมาตรา 19 บุคคลมีสิทธิเลือกตั้งและสมัครรับเลือกตั้งตามบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญ"
มาตรา 11 ให้ยกเลิกความในมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2523
มาตรา 12 ให้ยกเลิกความในมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่2) พ.ศ. 2523 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 19 บุคคลผู้มีสัญชาติไทยซึ่งบิดาเป็นคนต่างด้าวจะเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งได้ ต้องมี คุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ด้วย คือ (1) เป็นผู้ได้เข้าเรียนอยู่ในโรงเรียนตามกำหนดเวลาและสอบไล่ได้ไม่ต่ำกว่าระดับ มัธยมศึกษาตอนปลายตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการหรือตามแผนการศึกษาของชาติ หรือ ได้เข้าเรียนอยู่ในโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาอื่นในประเทศตามกำหนดเวลามาโดยตลอด ไม่ว่าจะอยู่ในหรือนอกระบบโรงเรียนจนมีความรู้ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเทียบเท่าหรือรับรอง ว่าเทียบได้ไม่ต่ำกว่ากระดับมัธยมศึกษาตอนปลายตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธ การหรือตาม แผนการศึกษาของชาติ (2) ได้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาชั้นสูงในประเทศตามหลักสูตรจน เป็นผู้สอบไล่ได้ไม่ต่ำกว่าชั้นปริญญาตรีหรือเทียบเท่า"
มาตรา 13 ให้ยกเลิกความในมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 21 ในกรณีที่พรรคการเมืองใดส่งสมาชิกเข้าสมัครรับเลือกตั้งในเขตใด พรรคการเมืองนั้นต้องส่งสมาชิกเข้าสมัครรับเลือกตั้งให้เท่ากับจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ จะพึงมีได้ในเขตเลือกตั้งนั้น"
มาตรา 14 ให้ยกเลิกความในมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 พ.ศ. 2526 และให้ใช้ความ ต่อไปนี้แทน "มาตรา 22 ผู้สมัครแต่ละพรรคการเมืองต้องยื่นใบสมัครด้วยตนเองต่อหน้า ผู้ว่าราชการจังหวัด ในกรณีที่จังหวัดมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เกินหนึ่งคนให้ยื่นเป็นคณะ ทั้งนี้ ตามชื่อหรือรายชื่อในหนังสือของหัวหน้าพรรคการเมืองที่มีถึงผู้ว่าราชการจังหวัด ณ ศาลากลาง จังหวัดแห่งจังหวัดที่เขตเลือกตั้งที่ตนสมัครนั้นตั้งอยู่ภายในระยะเวลาที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา พร้อมกับหนังสือของหัวหน้าพรรคการเมืองรับรองว่าพรรคการเมืองนั้นส่งสมาชิกเข้าสมัคร รับเลือกตั้งทั้งหมดรวมกันไม่น้องกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบคน และค่าธรรมเนียมคนละหนึ่งหมื่นบาท หลักฐานการสมัครและรูปถ่ายหรือรูปภาพที่พิมพ์ชัดเจนเหมือนรูปถ่ายของตนเอง ขนาดกว้าง ประมาณ 8.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 13.5 เซนติเมตร มีจำนวนตามที่ ผู้ว่าราชการจังหวัด กำหนด และต้องปฏิบัติตามวิธีการเกี่ยวกับการสมัครรับเลือกตั้งที่กำหนดในกฎกระทรวง เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดได้รับใบสมัครแล้ว ให้ลงบันทึกการรับใบสมัครไว้เป็นหลักฐานและ ออกใบรับให้แก่ผู้สมัครในวันนั้น และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดตรวจสอบหลักฐานคุณสมบัติของ ผู้สมัครและสอบสวนว่าผู้สมัครจะสมัครรับเลือกตั้งได้หรือไม่ให้เสร็จภายในเจ็ดวันนับแต่วันปิดการ รับสมัคร ถ้าได้ ก็ให้ประกาศรับสมัครไว้ ณ ศาลากลางจังหวัดและให้ผู้ว่าราชการ จังหวัดส่ง สำเนาหนังสือของหัวหน้าพรรคการเมืองซึ่งรับรองการสมัครรับเลือกตั้งไปให้กระทรวงมหาดไทย ทราบ และแจ้งการรับสมัครหรือไม่รับสมัครให้ผู้สมัครและพรรคการเมืองทราบโดยเร็ว ประกาศตามวรรคสอง ให้มีชื่อผู้สมัครและเครื่องหมายประจำตัวผู้สมัครอันประกอบด้วย เลขหมายประจำตัวผู้สมัครและจำนวนจุดเท่ากับเลขหมายซึ่งจะใช้ในการลงคะแนนและรูป ผู้สมัคร ทั้งนี้ให้ปิดไว้ ณ ศาลากลางจังหวัด ที่ว่าการอำเภอ และที่เลือกตั้งหรือบริเวณใกล้ เคียงกับที่เลือกตั้งในเขนเลือกตั้งซึ่งผู้นั้นสมัครโดยเร็ว วิธีการให้เลขหมายประจำตัวผู้สมัครให้ เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ในกรณีที่เป็นการเลือกตั้งทั่วไป ถ้าพรรคการเมืองใดส่งผู้สมัครน้องกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบคน ให้ กระทรวงมหาดไทยประกาศถอนการสมัครรับเลือกตั้งของสมาชิกพรรคการเมืองนั้น"
มาตรา 15 ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 32 เมื่อได้ประกาศพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใน เขตเลือกตั้งใด ผู้สมัครแต่ละคนจะใช้จ่ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งทั้งหมดเกินหนึ่งล้านบาทไม่ได้ ทั้งนี้ไม่รวมค่าธรรมเนียมการสมัคร"
มาตรา 16 ให้ยกเลิกความในวรรคสองและวรรคสามของมาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "ตามปกติให้ใช้เขตหมู่บ้านหนึ่งเป็นหน่วยเลือกตั้งหน่วยหนึ่ง ในกรณีที่หมู่บ้านใดมีผู้เลือกตั้ง จำนวนน้อยจะให้รวมหมู่บ้านตั้งแต่สองหมู่บ้านเป็นหน่วยเลือกตั้งหน่วยหนึ่งก็ได้ สำหรับในเขต เทศบาล เขตกรุงเทพมหานคร เขตสุขาภิบาล หรือเขตชุมชนหนาแน่นผู้ว่าราชการจังหวัด อาจกำหนดให้ใช้แนวถนน ตรอก ซอย คลอง หรือแม่น้ำ แทนเขตหมู่บ้านเป็นเขตของหน่วยเลือก ตั้งได้ ให้ถือเกณฑ์จำนวนผู้เลือกตั้งหน่วยละแปดร้อยคนเป็นประมาณ ในกรณีที่มีผู้เลือกตั้งเกินหนึ่งพัน สองร้อยคนให้เพิ่มหน่วยเลือกตั้งขึ้นอีก ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ถ้าผู้ว่าราชการจังหวัด เห็นว่าไม่เป็น การสะดวกหรือไม่ปลอดภัยในการไปลงคะแนนของผู้เลือกตั้ง จะกำหนดหน่วยเลือกตั้งเพิ่มขึ้น โดยไม่คำนึงถึงจำนวนผู้เลือกตั้งก็ได้"
มาตรา 17 ให้ยกเลิกความในวรรคสองของมาตรา 47 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "ห้ามมิให้แต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาท้องถิ่น ข้าราชการการเมือง นายกเทศมนตรี นายกเมืองพัทยา เทศมนตรี กรรมการสุขาภิบาล กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบลสารวัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหรือผู้สมัครเป็นกรรมการตรวจคะแนน"
มาตรา 18 ให้ยกเลิกความในมาตรา 61 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 61 ผู้เลือกตั้งผู้ใดรับบัตรเลือกตั้งเพื่อลงคะแนนแล้ว ถ้าไม่ประสงค์จะลงคะแนน ให้ แก่ผู้สมัครคนใดเลย ให้ทำเครื่องหมายกากบาทลงในช่อง "ไม่ลงคะแนน" ในคูหาลงคะแนนแล้ว นำบัตรเลือกตั้งนั้นไปมอบแก่กรรมการตรวจคะแนนเพื่อใส่ลงในหีบบัตรเลือกตั้ง ต่อหน้าตน"
มาตรา 19 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 73 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 "มาตรา 73 ทวิ บัตรเลือกตั้งที่มีการทำเครื่องหมายลงในช่อง "ไม่ลงคะแนน" ตามมาตรา 61 ไม่ให้ถือว่าเป็นบัตรเสีย เว้นแต่ถ้ามีการทำเครื่องหมายลงคะแนนให้กับผู้สมัครรับเลือกตั้ง คนใดไว้ด้วย ให้ถือว่าเป็นบัตรเสีย ในการนับคะแนน หากปรากฏว่ามีบัตรที่มีการทำเครื่องหมายลงในช่อง "ไม่ลงคะแนน" และมิใช่เป็นบัตรเสียตามวรรคหนึ่ง ให้แยกบัตรดังกล่าวออกไว้เป็นส่วนหนึ่งต่างหากจากบัตรเสีย และห้ามมิให้นับบัตรนั้นเป็นคะแนนของผู้สมัคร และให้ประกาศจำนวนบัตรดังกล่าวไว้ที่หน่วย ลงคะแนนด้วย"
มาตรา 20 ให้ยกเลิกความในมาตรา 74 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 74 ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำด้วยประการใดให้บัตรเลือกตั้งชำรุดหรือเสียหายหรือให้ เป็นบัตรเสีย"
มาตรา 21 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 74 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 "มาตรา 74 ทวิ ห้ามมิให้ผู้ใด (1) กระทำด้วยประการใด ๆ แก่บัตรเลือกตั้งที่เป็นบัตรเสีย ให้เป็นบัตรที่ใช้ได้ (2) กระทำด้วยประการใดๆแก่บัตรเลือกตั้งที่ได้ทำเครื่องหมายลงคะแนนแล้ว เป็นบัตรเสีย "
มาตรา 22 ให้ยกเลิกความในหมวด 10 บทกำหนดโทษ มาตรา 81 มาตรา81 ทวิ มาตรา 82 มาตรา 83 มาตรา 84 มาตรา 85 มาตรา 86 มาตรา87 มาตรา89 มาตรา 90 มาตรา 91 มาตรา 92 และมาตรา 93 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ฉบับที่ 2 ) พ.ศ. 2523 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "หมวด 10 บทกำหนดโทษ มาตรา 81 นายจ้างผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 8 วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสอง ปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 82 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 10 วรรคสอง ต้องระวางโทษปรับไม่ กินหนึ่งหมื่นบาท หรือ ปรับแห่งละหนึ่งพันบาท แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่ากัน ค่าปรับตามวรรคหนึ่ง ให้นำส่งเป็นรายได้ของราชการส่วนท้องถิ่นที่การกระทำความผิดนั้น เกิดขึ้นเพื่อใช้ในการแก้ไขความเสียหายที่เกิดจากการกระทำความผิดนั้น มาตรา 83 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 11 วรรคหนึ่ง มาตรา 12 มาตรา 13 หรือมาตรา 74 ต้อง ระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 84 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 13 ทวิ มาตรา 63 มาตรา 65 หรือมาตรา 66 ต้อง ระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่ง เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดห้าปี มาตรา 85 ผู้ซึ่ง มิได้มีสัญชาติไทยผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 14 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปี ถึงสิบปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยสั่งเนรเทศ ออกจากประเทศไทยด้วย มาตรา 86 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 15 มาตรา 26 มาตรา 58 มาตรา 60 มาตรา 62 มาตรา 64 มาตรา 67 มาตรา 68 มาตรา 69 หรือมาตรา 74 ทวิ ต้องระวางโทษ จำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาทและให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด สิบปี มาตรา 87 ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายอำเภอ ซึ่งสั่งตาม มาตรา 15 ทวิ (1) หรือ (2) หรือคำสั่งของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงซึ่งสั่งตาม มาตรา 15 ทวิ (3) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ มาตรา 88 ผู้สมัครผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 20 หรือเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้ง กรรมการ ตรวจคะแนนหรือเจ้าหน้าที่คะแนนผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 52 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดห้าปี มาตรา 89 ผู้สมัครผู้ใดใช้จ่ายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง เกินค่าใช้จ่ายที่กำหนดไว้ตามมาตรา 32 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และ ให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดห้าปี มาตรา 90 ผู้สมัครผู้ใดไม่ยื่นรายการค่าใช้จ่ายต่อผู้ว่าราชการจังหวัด ภายในกำหนดตาม มาตรา 34 หรือยื่นรายการค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นเท็จ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือ ปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดห้าปี มาตรา 91 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 35 หรือมาตรา 37 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และ ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดสิบปี มาตรา 92 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 41 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่น บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 93 ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของกรรมการตรวจคะแนนซึ่งสั่งตามมาตรา 94 ต้อง ระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 93 ทวิ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 51 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี และปรับไม่ เกินหนึ่งแสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดสิบปี มาตรา 93 ตรี เจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้ง กรรมการตรวจคะแนนหรือเจ้าหน้าที่ คะแนน ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 70 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 93 จัตวา ในกรณีมีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ในเขตเลือกตั้งใด ให้ ถือว่าผู้สมัครหรือพรรคการเมืองซึ่งมีสมาชิกสมัครรับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นเป็นผู้เสียหาย ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญา" ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ อานันท์ ปันยารชุน นายกรัฐมนตรี |
หมายเหตุ: เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พุทธศักราช 2522 มีบทบัญญัติบางประการที่ไม่สอดคล้องกับ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยซึ่งใช้บังคับเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2534 ประกอบกับมี บทบัญญัติบางประการยังไม่เหมาะสม สมควรที่จะปรับปรุงเสียใหม่ จึงจำเป็นต้องตรา พระราชบัญญัตินี้ (ร.จ. เล่ม 109 ตอนที่ 3 หน้า 8 วันที่ 15 มกราคม 2535) |