พระราชบัญญัติ
                           ศุลกากร (ฉบับที่ 14)
                               พ.ศ.2534
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
                    ให้ไว้ ณ วันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ.2534
                        เป็นปีที่ 46 ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้
ประกาศว่า
   โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยศุลกากร
   จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของ
สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้

   มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 14)
พ.ศ.2534"

   มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้น
ไป

   มาตรา 3 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น(6) ของมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร
พุทธศักราช 2469

   มาตรา 4 ให้ยกเลิกความในมาตรา 61 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากรพุทธศักราช 2469 และ
ให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
   "มาตรา 61 ของที่อยู่ในอารักขาของศุลกากรในลักษณะใดลักษณะหนึ่งดังต่อไปนี้ให้ถือว่า
เป็นของตกค้าง
      (1) ของนำเข้าที่เป็นสินค้าอันตรายตามชนิดหรือประเภทที่อธิบดีประกาศกำหนดตาม
มาตรา 6(6) ที่ผู้นำของเข้ามิได้เสียอากร และนำของออกไปจากเขตศุลกากรภายในระยะ
เวลาที่อธิบดีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา
      (2) ของนำเข้าอื่นใดนอกจาก (1) เมื่ออยู่ในอารักขาของศุลกากรถึงสองเดือน โดย
ไม่มีใบขนสินค้าอันได้รับรองและไม่ได้เสียอากรหรือวางประกันค่าอากรที่พึงเรียกเก็บแก่ของนั้น
ให้อธิบดีมีคำบอกกล่าวไปยังตัวแทนของเรือที่นำของเข้ามาโดยพลัน และเมื่อตัวแทนของเรือนั้น
ได้รับคำบอกกล่าวครบสิบห้าวันแล้ว
   การดำเนินการกับของตกค้างตามวรรคหนึ่ง ให้อธิบดีมีอำนาจสั่งพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ทำ
ลายหรือนำของนั้นออกขายทอดตลาด หรือสั่งให้ผู้นำของเข้าหรือตัวแทนของเรือที่นำของเข้า
ส่งของออกไปนอกราชอาณาจักรและถ้าไม่มีการปฏิบัติตามให้มีอำนาจสั่งพนักงานเจ้าหน้าที่ให้
ทำลายได้  โดยผู้นำของเข้าหรือตัวแทนของเรือ แล้วแต่กรณี เป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการนั้น
   ในการสั่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทำลายของตกค้างตากวรรคสอง ให้ดำเนินการตามวิธีการ
ที่ปลอดภัยต่อบุคคล สัตว์ พืช ทรัพย์สิน และสิ่งแวดล้อม
   ถ้าอธิบดีเห็นว่าการขายทอดตลาดตามวรรคสอง จะไม่ได้เงินเท่าที่ควรหรือมีเหตุอันสมควร
ประการอื่น อธิบดีจะสั่งให้ขายโดยวิธีอื่นก็ได้ และในกรณีที่การขายทอดตลาดหรือขายโดยวิธี
อื่นดังกล่าวจะไม่ได้เงินคุ้มค่าภาษีหรืออาจจะทำให้เกิดความเสียหายอันไม่สมควรอย่างหนึ่ง
อย่างใด ให้จำหน่ายของนั้นตามแต่อธิบดีจะสั่ง
   สำหรับของตกค้างตามวรรคหนึ่ง (1) ให้อธิบดีกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการและระยะเวลาเพื่อ
ให้การดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในมาตรานี้แล้วเสร็จโดยเร็วโดยคำนึงถึงอันตรายที่อาจ
เกิดขึ้นประกอบด้วย"

   มาตรา 5 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 63 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช
2469
   "มาตรา 63 ทวิ ในกรณีที่ของตกค้างเป็นของเสียที่อาจก่อให้เกิดอันตรายหรือความเสียหาย
ต่อบุคคล สัตว์ พืช ทรัพย์สิน หรือสิ่งแวดล้อมถ้าข้อเท็จจริงปรากฏต่ออธิบดีว่านายเรือ
รู้เห็นเป็นใจให้นำของเสียนั้นเข้ามาก็ดี หรือนายเรือไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าตนได้จัดการเต็มวิสัยที่จะ
จัดได้เพื่อที่จะสืบค้นให้พบหรือป้องกันการนำของเสียนั้นเข้ามาทิ้งเป็นของตกค้างก็ดี นอกจาก
โทษที่มีตามกฎหมายแล้ว ให้อธิบดีมีอำนาจสั่งให้ผู้รับผิดชอบท่าเรือหรือสนามบินแห่งหนึ่งแห่งใด
หรือทุกแห่งในประเทศดำเนินการโดยพลันให้ตัวแทนของเรือที่นำของเสียเข้ามานำของเสียนั้น
ออกไปนอกราชอาณาจักร หรืองดการให้ใช้ท่าเรือหรือสนามบินและบริการต่าง ๆ แก่เรือลำ
นั้นหรือเรืออื่น ๆ ทั้งหมดของเจ้าของเรือลำนั้นได้ตามระยะเวลาที่จะกำหนด ตามความร้ายแรง
แห่งการกระทำ"
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลตำรวจเอก เภา สารสิน
รองนายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ:-เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้โดยที่ในปัจจุบันได้มีการนำสินค้า
จำพวกเคมีภัณฑ์ สิ่งมีพิษ หรือสิ่งที่เป็นอันตรายอย่างอื่นเข้ามาในราชอาณาจักรและนำมา
เก็บรักษาไว้ในเขตศุลกากรเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจเกิดอันตรายหรือความเสียหายต่อบุคคล สัตว์
พืช ทรัพย์สินหรือสิ่งแวดล้อมขึ้นได้สมควรกำหนดวิธีการเก็บภาษีอากรสำหรับสินค้าอันตราย
ตลอดจนเงื่อนไขในการขนถ่าย การเก็บรักษาสินค้า และการนำสินค้าออกไปจากเขตศุลกากร
ขึ้นโดยเฉพาะเพื่อให้มีการนำสินค้าเหล่านั้นออกไปจากเขตศุลกากรได้โดยรวดเร็วและเหมาะสม
กับสถานที่เก็บรักษาสินค้าดังกล่าว นอกจากนี้ สมควรกำหนดมาตรการดำเนินการกับของตกค้างที่
เป็นสินค้าอันตรายและของเสียและเรือที่นำของดังกล่าวเข้ามาในราชอาณาจักรให้เหมาะสมและ
มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
(ร.จ. เล่ม 108 ตอนที่ 240 หน้า 77 วันที่ 29 ธันวาคม 2534)