พระราชบัญญัติ
                    บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม
                              พ.ศ. 2534
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
                    ให้ไว้ ณ วันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2534
                        เป็นปีที่ 46 ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
ให้ประกาศว่า
   โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม
   จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของ
สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้

   มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม
พ.ศ. 2534"

   มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

   มาตรา 3 ในพระราชบัญญัตินี้
             "บรรษัท" หมายความว่า บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม
             "คณะกรรมการ" หมายความว่า คณะกรรมการบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรม
ขนาดย่อม
             "ภารธุระอุตสาหกรรมขนาดย่อม" หมายความว่า การประกอบอุตสาหกรรม
การทำหัตถกรรม หรือการประกอบกิจการอื่นตามที่คณะกรรมการกำหนด ทั้งนี้ โดยมีลักษณะเป็น
กิจการขนายย่อมที่บุคคลภาคเอกชนเท่านั้นเป็นเจ้าของ และมีทรัพย์สินถาวรตามจำนวนที่กำหนด
โดยกฎกระทรวง
             "หลักทรัพย์" หมายความว่า
             (1) ตั๋วเงินคลัง
             (2) พันธบัตร
             (3) ตั๋วเงิน
             (4) หุ้นหรือใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น
             (5) หุ้นกู้หรือหุ้นกู้แปลงภาพ
             (6) ตราสารหรือหลักฐานแสดงสิทธิในทรัพย์สินของโครงการลงทุน หรือ
ใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อตราสารหรือหลักฐานแสดงสิทธิในทรัพย์สินของโครงการลงทุน
             (7) ตราสารหรือใบสำคัญหรือหลักฐานแสดงสิทธิอื่นใดที่รัฐมนตรีประกาศ
กำหนดในราชกิจจานุเบกษา
             "สถาบันการเงิน" หมายความว่า
             (1) ธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
             (2) บริษัทเงินทุน บริษัทหลักทรัพย์ และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ตามกฎหมาย
ว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
             (3) สถาบันการเงินอื่นตามที่คณะกรรมการกำหนดโดยได้รับความเห็นชอบจาก
รัฐมนตรี โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
             "เงินกองทุน" หมายความว่า ทุนที่ชำระแล้ว ซึ่งรวมทั้งส่วนล้ำมูลค่าหุ้น
ทุนสำรองเงินสำรองที่ได้จัดสรรจากกำไรสุทธิ และกำไรสุทธิคงเหลือจากการจัดสรรแล้ว
             "ผู้ถือหุ้น" หมายความว่า ผู้ถือหุ้นของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม
             "ประกันซื้อ" หมายความว่า ซื้อหรือตกลงจะซื้อหลักทรัพย์ที่ออกใหม่ทั้งหมด หรือ
แต่บางส่วนจากผู้ออก เพื่อการจำหน่ายต่อไป
             "รัฐมนตรี" หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

   มาตรา 4 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้
มีอำนาจออกกฎกระทรวงและประกาศเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินั้น
      กฎกระทรวงและประกาศนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้

   มาตรา 5 ให้จัดตั้งบรรษัทขึ้นตามบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ เรียกว่า "บรรษัทประกันสินเชื่อ
อุตสาหกรรมขนาดย่อม" และให้บรรษัทเป็นนิติบุคคล
      ให้บรรษัทตั้งสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพมหานคร และจะตั้งสาขาขึ้น ณ ที่ใดใน
ราชอาณาจักรก็ได้ แต่การตั้งสำนักงานสาขาต้องได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรีก่อน

   มาตรา 6 ความรับผิดชอบของผู้ถือหุ้นแต่ละคน ให้จำกัดเพียงเท่าจำนวนเงินที่ยังส่งใช้ไม่ครบ
มูลค่าของหุ้นที่ตนถือ

   มาตรา 7 ให้กำหนดทุนเรือนหุ้นของบรรษัทเป็นจำนวนหุ้นสามัญสี่ล้านหุ้นมีมูลค่าหุ้นละหนึ่งร้อย
บาทรวมเป็นทุนสี่ร้อยล้านบาท
      ทุนของบรรษัทอาจเพิ่มขึ้นได้ด้วยการออกหุ้นสามัญใหม่ โดยมติพิเศษของที่ประชุมผู้ถือหุ้น แต่
การลดทุนจะกระทำมิได้
   ในระยะเริ่มแรกให้กระทรวงการคลังถือหุ้นตามวรรคหนึ่งไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้า แต่เมื่อ
พ้นสามปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับแล้ว ให้นับหุ้นที่รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการ
งบประมาณหรือนิติบุคคลที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น รวมเข้าเป็นจำนวนหุ้นที่กระทรวงการคลังจะ
ต้องถือไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้าดังกล่าวนั้นด้วย

   มาตรา 8 ให้บรรษัทเสนอต่อประชาชนและหรือบุคคลใด ๆ ตามที่บรรษัทจะกำหนด ให้เข้า
ชื่อซื้อหุ้นที่ระบุในมาตรา 7 ตามเวลา วิธีการ และจำนวนที่บรรษัทกำหนด และให้บรรษัทจัดออก
หุ้นเหล่านั้นได้

   มาตรา 9 เมื่อมีผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นที่ระบุในมาตรา 7 เป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าสองล้านหุ้นและได้
ชำระเงินเต็มมูลค่าแล้ว ให้คณะกรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งตามมาตรา 15 นัดประชุมผู้ถือหุ้น
โดยไม่ชักช้าเพื่อปรึกษากิจการที่กำหนดตามพระราชบัญญัตินี้ และกิจการอื่นตามที่จำเป็น

   มาตรา 10 ภายหลังที่บรรษัทได้มีผู้ถือหุ้น และได้มีการประชุมผู้ถือหุ้นเลือกตั้งกรรมการตาม
ความในพระราชบัญญัตินี้แล้ว ให้นำบทบัญญัติที่ว่าด้วยบริษัทจำกัดในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาใช้บังคับแก่บรรษัทโดยอนุโลมเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อพระราชบัญญัตินี้
      ให้นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทปฏิบัติแก่บรรษัทเช่นเดียวกับบริษัทจำกัด

   มาตรา 11 วัตถุประสงค์ของบรรษัทมีดังต่อไปนี้
             (1) ช่วยเหลือภารธุระอุตสาหกรรมขนาดย่อมให้ได้รับสินเชื่อจาก
สถาบันการเงินจำนวนมากขึ้น
             (2) ช่วยให้สถาบันการเงินมีความมั่นใจในการให้สินเชื่อแก่ภารธุระ
อุตสาหกรรมขนาดย่อมมากยิ่งขึ้น
             (3) เร่งการกระจายสินเชื่อไปยังภารธุระอุตสาหกรรมขนาดย่อมทั่วประเทศ
ได้เร็วขึ้น
             (4) ช่วยให้การพัฒนาภารธุระอุตสาหกรรมขนาดย่อม บรรลุเป้าหมายตามแผน
พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

   มาตรา 12 เมื่อได้มีการประชุมผู้ถือหุ้นตามมาตรา 9 แล้ว ให้บรรษัทมีอำนาจกระทำกิจการ
ต่าง ๆ ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ก็ตาม มาตรา 11 และอำนาจเช่นว่านี้ให้รวมถึง
             (1) ให้การค้าประกันสินเชื่อแก่ภารธุระอุตสาหกรรมขนาดย่อม
             (2) ประกันซื้อ
             (3) จัดให้มีเงินกลับมาลงทุนใหม่ด้วยวิธีขายทรัพย์สินที่บรรษัทได้มาจากการลงทุน
             (4) กู้ยืมเงินในหรือนอกราชอาณาจักรเพื่อธุรกิจของบรรษัท และให้
หลักประกันเงินที่กู้ยืม
             (5) ให้เงินคงเหลืออยู่เปล่าของบรรษัทซื้อหลักทรัพย์ที่มั่นคง
             (6) จัดให้ได้มา ถือกรรมสิทธิ์ เช่าหรือให้เช่า จำนองหรือรับจำนอง จำนำ
หรือรับจำนำ และขายหรือจำหน่ายด้วยวิธีอื่นใดซึ่งอสังหาริมทรัพย์ สังหาริมทรัพย์หรือหลักทรัพย์
             (7) เปิดบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคาร
             (8) จัดให้ได้มาซึ่งสัมปทาน สิทธิ หรือเอกสิทธิใด ๆ บรรดาที่บรรษัทเห็นว่า
จะช่วยให้วัตถุประสงค์ของบรรษัทสำเร็จผล
             (9) ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการบริหาร การจัดการ และทางเทคนิคแก่ภารธุระ
อุตสาหกรรมขนาดย่อม และช่วยให้ภารธุระอุตสาหกรรมขนาดย่อมนั้นได้รับบริการเกี่ยวกับ
การบริหารการจัดการและทางเทคนิค
             (10) สั่งจ่าย รับรอง หรือสลักหลังตั๋วเงินหรือใช้ตามตั๋วเงินเพื่อประโยชน์
แห่งธุรกิจของบรรษัท
             (11) จัดให้มีการสงเคราะห์ตามสมควรแก่ลูกจ้าง หรือผู้ที่พ้นจากการเป็น
ลูกจ้างของบรรษัทและครอบครัวของบุคคลเหล่านั้น
             (12) กระทำการอย่างอื่นบรรดาที่เกี่ยวกับหรือเนื่องในการจัดให้สำเร็จตาม
วัตถุประสงค์ของบรรษัท

   มาตรา 13 บรรษัทต้องไม่ลงทุนในกิจการใดที่กรรมการของบรรษัทเป็นหุ้นส่วนหรือเป็น
กรรมการหรือเป็นผู้ถือหุ้น หรือมีส่วนได้เสียอย่างหนึ่งอย่างใดอยู่ด้วยไม่ว่าโดยทางตรงหรือ
ทางอ้อม

   มาตรา 14 ห้ามมิให้บรรษัทซื้อหรือมีไว้เป็นประจำซึ่งอสังหาริมทรัพย์ เว้นแต่
             (1) เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับดำเนินธุรกิจ หรือสำหรับลูกจ้างของบรรษัท
             (2) เป็นการได้มาจากการชำระหนี้ การประกันหนี้หรือจากการซื้อ
อสังหาริมทรัพย์ที่จำนองไว้กับบรรษัทจากการขายทอดตลาดโดยคำสั่งศาลหรือ
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
      บรรดาอสังหาริมทรัพย์ที่ตกเป็นของบรรษัทตาม (2) ให้บรรษัทจำหน่ายภายในห้าปีนับแต่
วันที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตกเป็นของบรรษัท เว้นแต่รัฐมนตรีจะขยายระยะเวลาให้หรือให้
ความเห็นชอบเพื่อใช้เป็นสถานที่ตาม (1)

   มาตรา 15 ในวาระเริ่มแรกก่อนมีผู้ถือหุ้น ให้รัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่งมี
จำนวนสี่คนมีหน้าที่กำหนดข้อบังคับของบรรษัทว่าด้วยกิจการต่าง ๆ ที่มิได้บัญญัติไว้ใน
พระราชบัญญัตินี้ และออกหนังสือชี้ชวนเพื่อเสนอขายหุ้น และกระทำหน้าที่และกิจการอื่น ซึ่งเป็น
หน้าที่ของผู้เริ่มจัดตั้งบริษัท
      มิให้นำบทบัญญัติมาตรา 18 (4) และมาตรา 19 (1) มาใช้บังคับแก่การดำรงตำแหน่ง
ของกรรมการที่ได้รับแต่งตั้งตามวรรคหนึ่ง
      ข้อบังคับของบรรษัทตามวรรคหนึ่ง ต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น และบรรษัทจะ
แก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับได้ต่อเมื่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นลงมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของ
จำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมด

   มาตรา 16 ในการประชุมผู้ถือหุ้นตามมาตรา 9 ให้เลือกตั้งกรรมการเพิ่มขึ้นจากจำนวน
กรรมการตามมาตรา 15 อีกสองคน รวมเป็นหกคนและเมื่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเห็นสมควรจะ
เลือกตั้งกรรมการเพิ่มขึ้นอีกไม่เกินสองคนก็ได้

   มาตรา 17 เมื่อสิ้นรอบปีบัญชีของบรรษัทแต่ละปี ให้กรรมการตามมาตรา 15 และกรรมการ
ตามมาตรา 16 ออกจากตำแหน่งฝ่ายละหนึ่งคนโดยวิธีจับสลาก และให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นเลือกตั้ง
กรรมการเพื่อเข้าดำรงตำแหน่งแทน
      เมื่อสิ้นรอบปีบัญชีที่สี่ของบรรษัท และทุกสิ้นปีบัญชีถัดไป ให้กรรมการทั้งคณะพ้นจาก
ตำแหน่งและให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นเลือกตั้งคณะกรรมการขึ้นใหม่ ทั้งนี้ โดยให้คณะกรรมการซึ่งพ้น
จากตำแหน่งนั้นยังคงอยู่ในตำแหน่งเพื่อดำเนินกิจการของบรรษัทต่อไปเพียงเท่าที่จำเป็นจนกว่า
คณะกรรมการซึ่งได้รับเลือกตั้งขึ้นใหม่เข้ารับหน้าที่
      การเลือกตั้งกรรมการตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง ให้เป็นไปตามวิธีการที่กำหนดใน
ข้อบังคับของบรรษัท และกรรมการที่ที่ประชุมผู้ถือหุ้นเลือกตั้งต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะ
ต้องห้ามตามมาตรา 19
      กรรมการที่พ้นจากตำแหน่งอาจได้รับเลือกตั้งใหม่อีกได้

   มาตรา 18 นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 17 กรรมการพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ
             (1) ตาย
             (2) ลาออก
             (3) เป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 19
             (4) ที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบรรษัทให้ออก
      ในกรณีที่กรรมการพ้นจากตำแหน่งตามวรรคหนึ่ง ให้เลือกตั้งบุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มี
ลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 19 เข้าดำรงตำแหน่งแทน

   มาตรา 19 กรรมการต้องมีคุณสมบัติตาม (1) และไม่มีลักษณะต้องห้ามตาม (2) (3) และ (4)
ดังต่อไปนี้
             (1) เป็นผู้ถือหุ้นของบรรษัทไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยหุ้นหรือเป็นผู้แทนของบริษัทจำกัด
หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ถือหุ้นของบรรษัทไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยหุ้น
             (2) เป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลาย
             (3) เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
             (4) เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในความผิดเกี่ยวกับทรัพย์
ที่กระทำโดยทุจริต

   มาตรา 20 ตราบใดที่เงินซึ่งรัฐบาลให้บรรษัทกู้ยืมยังมีค้างอยู่ หรือการค้ำประกันที่รัฐบาลให้
ไว้ตามมาตรา 26 ยังไม่สิ้นอายุการบังคับ ให้รัฐมนตรีแต่งตั้งบุคคลที่เห็นสมควรคนหนึ่งเป็น
กรรมการเพิ่มขึ้นจากจำนวนกรรมการที่บัญญัติไว้ในมาตรา 15 และมาตรา 16 และให้รัฐมนตรี
มีอำนาจถอดถอนและแต่งตั้งบุคคลอื่นเข้าดำรงตำแหน่งแทนได้
      กรรมการที่รัฐมนตรีแต่งตั้งตามวรรคหนึ่ง ให้อยู่ในตำแหน่งคราวละสองปี
      กรรมการที่พ้นจากตำแหน่งตามวรรคสอง อาจได้รับแต่งตั้งใหม่อีกได้ แต่ต้องไม่เกินสอง
คราวติดต่อกัน
      ให้นำมาตรา 15 วรรคสอง มาใช้บังคับโดยอนุโลม

   มาตรา 21 ให้คณะกรรมการมีอำนาจและหน้าที่กำกับและควบคุมโดยทั่วไปซึ่งการดำเนินงาน
การบริหารกิจการ และธุรกิจของบรรษัท และให้มีอำนาจกระทำการต่าง ๆ ที่บรรษัทจะพึง
กระทำได้อำนาจเช่นว่านี้ให้รวมถึง
             (1) จ่ายเงินของบรรษัทเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใด ๆ ที่เกิดขึ้นในการจัดกิจการ
และการประกอบธุรกิจตามวัตถุประสงค์ของบรรษัทการให้สินจ้างแก่กรรมการและลูกจ้างของ
บรรษัท
             (2) ควบคุมให้มีการตรวจคำร้องทุกฉบับที่ภารธุระอุตสาหกรรมขนาดย่อมยื่นขึ้น
มาเพื่อขอรับการค้ำประกันสินเชื่อของบรรษัท และให้รับไว้พิจารณาเฉพาะแต่ที่เห็นสมควรในทาง
เทคนิคการเงินการเศรษฐกิจ และนโยบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมขนาดย่อมของรัฐบาลโดย
มิต้องคำนึงถึงการอื่นใดทั้งสิ้น
      ตราบใดที่เงินซึ่งรัฐบาลให้บรรษัทกู้ยืมยังมีค้างอยู่หรือการค้ำประกันที่รัฐบาลให้ไว้ตาม
มาตรา 26 ยังไม่สิ้นอายุการบังคับ การกำหนดนโยบายในการบริหารกิจการของบรรษัทจะต้องได้
รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี

   มาตรา 22 ให้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารคณะหนึ่งประกอบด้วยผู้ซึ่ง
อยู่ในตำแหน่งคณะกรรมการไม่น้อยกว่าสามคนและไม่เกินห้าคน เป็นกรรมการ และให้มีอำนาจ
และหน้าที่ตามาที่คณะกรรมการมอบหมาย อำนาจและหน้าที่ที่จะมอบหมายให้นั้นต้องไม่เป็นการ
เสื่อมเสียต่ออำนาจและหน้าที่ของผู้จัดการทั่วไปตามมาตรา 23

   มาตรา 23 ให้คณะกรรมการแต่งตั้งผู้ซึ่งมีสัญชาติไทยและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา
19 (2)(3) และ(4) เป็นผู้จัดการทั่วไปของบรรษัท
      ให้ผู้จัดการทั่วไปเป็นผู้บริหารกิจการของบรรษัทให้เป็นไปตามนโยบายที่คณะกรรมการ
กำหนดและมีอำนาจบังคับบัญชาลูกจ้างของบรรษัททุกตำแหน่ง
      ให้ผู้จัดการทั่วไปเป็นกรรมการของบรรษัทโดยตำแหน่ง

   มาตรา 24 ตราบใดที่เงินซึ่งรัฐบาลให้บรรษัทกู้ยืมยังมีค้างอยู่ หรือการค้ำประกันที่รัฐบาลให้
ไว้ตามมาตรา 26 ยังไม่สิ้นอายุการบังคับ การแต่งตั้งผู้จัดการทั่วไปของบรรษัทจะต้องได้รับ
ความเห็นชอบจากรัฐมนตรี

   มาตรา 25 ในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก ให้ผู้จัดการทั่วไปเป็นผู้แทนของบรรษัท และ
ผู้จัดการทั่วไปจะมอบอำนาจให้บุคคลอื่นกระทำการแทนตนเฉพาะในกิจการใดก็ได้

   มาตรา 26 ในกรณีที่บรรษัทขอให้รัฐบาลค้ำประกันเงินกู้ที่บรรษัทกู้ยืมเงินจากแหล่งให้กู้ยืมใน
ต่างประเทศหรือภายในประเทศ ให้รัฐบาลมีอำนาจค้ำประกันเงินกู้นั้นได้แต่จำนวนเงินกู้ที่จะ
ค้ำประกันเมื่อรวมกับต้นเงินกู้ที่การค้ำประกันของรัฐบาลยังค้างอยู่ต้องไม่เกินสิบสองเท่าของ
เงินกองทุนของบรรษัทเมื่อคำนวณเป็นเงินตราไทย ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการค้ำประกันตามอำนาจที่
มีอยู่ในกฎหมายใด
      การคำนวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยเพื่อทราบยอดรวมของเงินกู้ตาม
วรรคหนึ่งให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามอัตราถัวเฉลี่ยประจำวันที่ทุนรักษาระดับ
อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราได้กำหนดไว้ในวันทำสัญญา

   มาตรา 27 ให้บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้ดำเนินงานกองทุน
ประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมโอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และความรับผิดชอบที่
เกี่ยวกับกองทุนดังกล่าวไปเป็นของบรรษัท ทั้งนี้ ภายในระยะเวลาไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
      ส่วนของทรัพย์สิน เมื่อหักด้วยหนี้ที่โอนตามวรรคหนึ่งแล้วให้นำไปซื้อหุ้นของบรรษัทในนาม
ของสมาชิกกองทุนตามสัดส่วนเงินลงทุนในกองทุนของสมาชิกแต่ละราย
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลตำรวจเอก เภา สารสิน
รองนายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ:-เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรจัดตั้ง
บรรษัทประกันภัยสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ซึ่งมีฐานะเป็นนิติบุคคลเพื่อช่วยให้สถาบันการเงิน
มีความมั่นใจในการให้สินเชื่อแก่อุตสาหกรรมขนาดย่อมและส่งผลให้อุตสาหกรรมขนาดย่อมได้รับ
สินเชื่อจากสถาบันการเงินจำนวนมากขึ้น ซึ่งเป็นการเร่งรัดการพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดย่อมให้มี
บทบาทต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศยิ่งขึ้น อันจะมีผลส่งเสริมอุตสาหกรรมขนาด
ย่อมให้ขยายตัวไปสู่ชนบทเพื่อบรรเทาปัญหาการว่างงานและการชะลอการอพยพของประชาชน
เข้ากรุงเทพมหานคร จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
(ร.จ. เล่ม 108 ตอนที่ 240 หน้า 58 วันที่ 29 ธันวาคม 2534)