พระราชบัญญัติ โอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ ในท้องที่ตำบลนาพันสาม อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี ของวัดแก่นเหล็ก ตำบลคลองกระแชง อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี ให้แก่กรมชลประทาน พ.ศ. 2534 |
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2534 เป็นปีที่ 46 ในรัชกาลปัจจุบัน |
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรโอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ ในท้องที่ตำบลนาพันสาม อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี ของวัดแก่นเหล็ก ตำบลคลองกระแชง อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี ให้แก่กรมชลประทาน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้
มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ ในท้องที่ตำบล นาพันสาม อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี ของวัดแก่นเหล็ก ตำบลคลองกระแชง อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี ให้แก่กรมชลประทาน พ.ศ. 2534"
มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา 3 ให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ ในท้องที่ตำบลนาพันสาม อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี เนื้อที่ 2 งาน 50 ตารางวา ของวัดแก่นเหล็ก ตำบลคลองกระแชง อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี ภายในเขตตามแผนที่ท้ายพระราชบัญญัตินี้ให้แก่ กรมชลประทาน
มาตรา 4 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ อานันท์ ปันยารชุน นายกรัฐมนตรี |
หมายเหตุ : เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากกรมชลประทานได้ ก่อสร้างคลองระบายน้ำสาย 23 ขวา เพื่อประโยชน์แก่การชลประทานตามโครงการเพชรบุรี ที่ ตำบลพันนาสาม อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี และได้ทำการสำรวจแล้วปรากฏว่า แนวเขตคลองส่งน้ำสายนี้ตอน กม.ที่ 11.000 ถูกที่ธรณีสงฆ์ที่ตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลนาพันสาม อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี ของวัดแก่นเหล็ก ตำบลคลองกระแชง อำเภอ เมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี เนื้อที่ 2 งาน 50 ตารางวา ตามโฉนดที่ดิน เลขที่ดิน 4125 คณะกรรมการจัดซื้อและกำหนดค่าทดแทนทรัพย์สินเพื่อการชลประทานจังหวัดเพชรบุรีได้กำหนด ค่าผาติกรรมให้แล้ว กรมชลประทานจึงได้ติดต่อกับกรมการศาสนาเพื่อขอโอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ ดังกล่าวให้แก่กรมชลประทานซึ่งกรมการศาสนาได้นำเสนอมหาเถรสมาคมพิจารณาแล้วไม่ ขัดข้อง และกรมชลประทานได้ชำระค่าผาติกรรมเป็นค่าทดแทนแล้วสมควรโอนกรรมสิทธิ์ ที่ธรณีสงฆ์ดังกล่าวให้แก่กรมชลประทาน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ (ร.จ. เล่ม 108 ตอนที่ 239 หน้า 22 วันที่ 29 ธันวาคม 2534) |