พระราชบัญญัติ ภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2534 |
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2534 เป็นปีที่ 46 ในรัชกาลปัจจุบัน |
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยภาษีสรรพสามิต จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้
มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2534"
มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2535 เป็นต้นไป
มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 และ ให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 4 ในพระราชบัญญัตินี้ "ภาษี" หมายความว่า ภาษีสรรพสามิตที่เรียกเก็บจากสินค้าและบริการตามพระราชบัญญัตินี้ "สินค้า" หมายความว่า สิ่งซึ่งผลิตหรือนำเข้าและระบุไว้ในกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตรา ภาษีสรรพสามิต "บริการ" หมายความว่า การให้บริการในทางธุรกิจในสถานบริการ "รายรับ" หมายความว่า เงิน ทรัพย์สิน ค่าตอบแทนหรือประโยชน์ใด ๆ ที่อาจคำนวณได้ เป็นเงินที่ได้รับหรือพึงได้รับเนื่องจากการให้บริการ "ผลิต" หมายความว่า ทำ ประกอบ ปรับปรุง แปรรูปหรือแปรสภาพสินค้าหรือทำการ อย่างใดอย่างหนึ่งให้มีขึ้นซึ่งสินค้าไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ แต่มิให้รวมถึงการประดิษฐ์ค้นคว้าที่มิได้ทำขึ้น เพื่อขาย "นำเข้า" หมายความว่า นำเข้ามาในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ซึ่งสินค้า ตามพระราชบัญญัตินี้ "โรงอุตสาหกรรม" หมายความว่า สถานที่ที่ใช้ในการผลิตสินค้า รวมตลอดทั้งบริเวณ แห่งสถานที่นั้น และให้หมายความรวมถึงเครื่องขายเครื่องดื่มด้วย "สถานบริการ" หมายความว่า สถานที่ให้สำหรับประกอบกิจการในด้านบริการตามที่ระบุใน กฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต "คลังสินค้าทัณฑ์บน" หมายความว่า สถานที่นอกโรงอุตสาหกรรม ที่อธิบดีอนุญาตให้ใช้เป็น ที่เก็บสินค้าได้โดยยังไม่ต้องเสียภาษี "ผู้ประกอบอุตสาหกรรม" หมายความว่า เจ้าของหรือผู้จัดการหรือบุคคลอื่นซึ่งรับผิดชอบใน การดำเนินงานของโรงอุตสาหกรรม "ผู้ประกอบกิจการสถานบริการ" หมายความว่า เจ้าของหรือผู้จัดการหรือบุคคลอื่นซึ่ง รับผิดชอบในการดำเนินงานของสภานบริการ "ผู้นำเข้า" หมายความว่า ผู้นำของเข้าตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร "เจ้าของคลังสินค้าทัณฑ์บน" หมายความรวมถึงผู้จัดการหรือบุคคลอื่นซึ่งรับผิดชอบในการ ดำเนินงานของคลังสินค้าทัณฑ์บน "แสตมป์สรรพสามิต" หมายความว่า แสตมป์ที่รัฐบาลทำหรือจัดให้มีขึ้นเพื่อใช้ในการจัดเก็บ ภาษีตามพระราชบัญญัตินี้ "เครื่องหมายแสดงการเสียภาษี" หมายความว่า เครื่องหมายที่ใช้แสดงการเสียภาษีแทน แสตมป์สรรพสามิต "เจ้าพนักงานสรรพสามิต" หมายความว่า ข้าราชการพลเรืองสังกัดกรมสรรพสามิต "พนักงานเจ้าหน้าที่" หมายความว่า ข้าราชการพลเรือนสังกัดกระทรวงการคลังหรือ บุคคลอื่น ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ "อธิบดี" หมายความว่า อธิบดีกรมสรรพสามิต "รัฐมนตรี" หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา 4 ให้ยกเลิกความในมาตรา 7 และมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 7 ให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบกิจการสถานบริการ ผู้นำเข้าซึ่งสินค้า หรือผู้อื่นที่พระราชบัญญัตินี้กำหนดให้เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษี มีหน้าที่เสียภาษีตามมูลค่าหรือปริมาณ ของสินค้าหรือบริการนั้น ตามอัตราที่ระบุไว้ในกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตที่ใช้อยู่ใน เวลาที่ความรับผิดในอันจะต้องเสียภาษีเกิดขึ้น มาตรา 8 ภายใต้บังคับมาตรา 11 วรรคหนึ่ง และมาตรา 12 วรรคหนึ่ง การเสียภาษี ตามมูลค่านั้น ให้ถือมูลค่าตาม (1) (2) และ (3) โดยให้รวมภาษีสรรพสามิตที่พึงต้องชำระด้วย ดังนี้ (1) ในกรณีสินค้าที่ผลิตในราชอาณาจักร ให้ถือตามราคาขาย ณ โรงงานอุตสาหกรรม ในกรณีไม่มีราคาขาย ณ โรงงานอุตสาหกรรม หรือราคาขาย ณ โรงงานอุตสาหกรรมมี หลายราคา ให้ถือตามราคาที่อธิบดีกำหนดตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง เพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษี อธิบดีโยอนุมัติรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศมูลค่าของสินค้าที่ผลิต ในราชอาณาจักร เพื่อถือเป็นเกณฑ์ในการคำนวณภาษี โดยกำหนดจากราคาขาย ณ โรงอุตสาหกรรมในตลาดปกติได้ (2) ในกรณีบริการ ให้ถือตามรายรับของสถานบริการ เพื่อประโยชน์ในการคำนวณรายรับของสถานบริการ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ มีอำนาจกำหนด รายรับขั้นต่ำของสถานบริการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง (3) ในกรณีสินค้าที่นำเข้า ให้ถือราคา ซี.ไอ.เอฟ. ของสินค้าบวกด้วยอากรขาเข้า ค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน และภาษี และค่าธรรมเนียมอื่น ตามที่จะได้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา แต่ไม่รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่มตามที่กำหนดในหมวด 4 ลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร ในกรณีที่บุคคลผู้นำเข้าได้รับยกเว้นหรือลดอากรขาเข้าตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริม การลงทุน หรือตามกฎหมายอื่น ให้นำอากรขาเข้าซึ่งได้รับยกเว้นหรือลดอัตราดังกล่าวมารวมใน การคำนวณมูลค่าตาม (3) ด้วย ราคา ซี.ไอ.เอฟ. ตาม (3) ได้แก่ราคาสินค้าที่บวกด้วยค่าประกันภัยและค่าขนส่งถึงด่าน ศุลกากรในราชอาณาจักร ทั้งนี้ เว้นแต่ (ก) ในกรณีที่อธิบดีกรมศุลกากร ประกาศให้ราคาในท้องตลาดสำหรับของประเภทใด ประเภทหนึ่งที่ต้องเสียอากรลงราคาเป็นรายเฉลี่ย ตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากร ให้ถือ ราคานั้นเป็นราคาสินค้าในการคำนวณราคา ซี.ไอ.เอฟ. (ข)ในกรณีที่เจ้าหน้าที่พนักงานศุลกากรประเมินราคาเพื่อเสียอากรขาเข้าใหม่ตาม กฎหมายว่าด้วยศุลกากร ให้ถือราคานั้นเป็นราคาสินค้าในการคำนวณราคา ซี.ไอ.เอฟ.
มาตรา 5 ให้ยกเลิกความในมาตรา 10 มาตรา 11 และมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติภาษี สรรพสามิต พ.ศ. 2527 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 10 ภายใต้บังคับมาตรา 11 วรรคสอง และมาตรา 12 วรรคสอง ความรับผิด ในอันจะต้องเสียภาษี มีดังนี้ (1) ในกรณีสินค้าที่ผลิตขึ้นในราชอาณาจักร (ก) ถ้าสินค้าอยู่ในโรงอุตสาหกรรม ให้ถือว่าความรับผิดในอันจะต้องเสียภาษีเกิดขึ้น ในเวลาที่นำสินค้าออกจากโรงอุตสาหกรรมเว้นแต่เป็นการนำสินค้าออกจากโรงอุตสาหกรรมไปเก็บ ไว้ในคลังสินค้าทัณฑ์บน และถ้าผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือบุคคลใดนำสินค้าดังกล่าวไปใช้ภายในโรง อุตสาหกรรมก็ให้ถือว่าเป็นการนำสินค้าออกจากโรงอุตสาหกรรม (ข) ถ้าสินค้าที่เก็บอยู่ในคลังสินค้าทัณฑ์บน ให้ถือว่าความรับผิดในอันจะต้องเสียภาษี เกิดขึ้นในเวลาที่นำสินค้าออกจากคลังสินค้าทัณฑ์บน เว้นแต่การนำสินค้ากลับคืนไปเก็บไว้ในโรง อุตสาหกรรมหรือไปเก็บไว้ในคลังสินค้าทัณฑ์บนอีกแห่งหนึ่ง ในกรณีที่ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามหมวด 4 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนเกิดขึ้นก่อนนำสินค้าออกจากโรงอุตสาหกรรมหรือคลังสินค้าทัณฑ์บน ให้ถือ ว่าความรับผิดในอันจะต้องเสียภาษีเกิดขึ้นพร้อมกับความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (2) ในกรณีบริการ ให้ถือว่าความรับผิดในอันจะต้องเสียภาษีเกิดขึ้นเมื่อได้รับชำระราคา ค่าบริการ ในกรณีที่ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 4 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนเกิดขึ้นก่อนได้รับชำระราคาค่าบริการ ให้ถือว่าความรับผิดในอันจะต้อง เสียภาษีเกิดขึ้นพร้อมกับความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (3)ในกรณีสินค้าที่นำเข้า ให้ถือว่าความรับผิดในอันจะต้องเสียภาษีเกิดขึ้นในเวลา เดียวกับความรับผิดในอันจะต้องเสียภาษีศุลกากรสำหรับของที่นำเข้าตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร เว้นแต่ในกรณีสินค้าที่เก็บอยู่ในคลังสินค้าทัณฑ์บนตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ให้ถือว่าความรับผิดใน อันจะต้องเสียภาษีเกิดขึ้นในเวลาที่นำสินค้าออกจากคลังสินค้าทัณฑ์บนนั้น มาตรา 11 ในกรณีสินค้าซึ่งในเวลานำเข้าได้รับยกเว้นหรือลดอัตราภาษี เพราะเหตุที่นำ เข้ามาเพื่อใช้เองโดยบุคคลที่มีสิทธิเช่นนั้นหรือเพราะเหตุที่นำเข้ามาเพื่อใช้ประโยชน์อย่างใดที่ กำหนดไว้โดยเฉพาะ ถ้าสินค้านั้นได้โอนไปเป็นของบุคคลที่ไม่มีสิทธิได้รับยกเว้นหรือลดอัตราภาษี หรือได้นำไปใช้ในการอื่นนอกจากที่กำหนดไว้หรือสิทธิที่ได้รับยกเว้นหรือลดอัตราภาษีสิ้นสุดลง สิน ค้านั้นจะต้องเสียภาษีโดยถือตามมูลค่าหรือปริมาณและอัตราภาษีที่เป็นอยู่ในวันโอนหรือนำไปใช้ใน การอื่น หรือวันที่สิทธิได้รับยกเว้นหรือลดอัตราภาษีสิ้นสุดลงเป็นเกณฑ์ในการคำนวณภาษี ความรับผิดในอันจะต้องเสียภาษีตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปดังนี้ (1) ในกรณีที่มีการโอน ให้เป็นความรับผิดร่วมกันของผู้โอนและผู้รับโอน (2) ในกรณีที่มีการนำไปใช้ในการอื่น ให้เป็นความรับผิดของผู้ที่ได้รับสิทธิยกเว้นหรือลด อัตราภาษี (3) ในกรณีที่สิทธิที่ได้รับยกเว้นหรือลดอัตราภาษีสิ้นสุดลง ให้เป็นความรับผิดของผู้ที่ได้รับ สิทธิยกเว้นหรือลดอัตราภาษี (4) ในกรณีที่ผู้ได้รับสิทธิยกเว้นหรือลดอัตราภาษีถึงแก่ความตามในขณะเป็นเจ้าของ ให้ เป็นความรับผิดของผู้จัดการมรดกหรือทายาทผู้ได้รับมรดกสินค้านั้นแล้วแต่กรณี ในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีได้ประกาศ ตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากร กำหนดให้สินค้าบางประเภทหรือบางชนิดตามวรรคหนึ่งไม่ ต้องเสียอากรขาเข้า เมื่อสินค้านั้นได้โอนไปเป็นของบุคคลที่ไม่มีสิทธิได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนอากร หรือเมื่อได้นำไปใช้ในการอื่นนอกจากที่กำหนดไว้หรือเมื่อสิทธิที่ได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนอากรสิ้น สุดลงก็ให้สินค้าประเภทและชนิดนั้นได้รับยกเว้นจากบทบังคับตามมาตรานี้ด้วย มาตรา 12 ในกรณีสินค้าซึ่งผู้ประกอบอุตสาหกรรมได้รับคืนหรือยกเว้นภาษีตามมาตรา 102 (3) ถ้าสินค้านั้นได้โอนไปเป็นของบุคคลอื่นที่ไม่มีเอกสิทธิ์ หรือเอกสิทธิ์ของผู้ได้รับเอกสิทธิ์ นั้นสิ้นสุดลงโดยเหตุอื่นนอกจากความตาย สินค้านั้นจะต้องเสียภาษีโดยถือตามมูลค่าหรือปริมาณและ อัตราภาษีที่เป็นอยู่ในวันโอนหรือวันที่เอกสิทธิ์สิ้นสุดลงเป็นเกณฑ์ในการคำนวณภาษี ความรับผิดในอันจะต้องเสียภาษีตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปดังนี้ (1) ในกรณีที่มีการโอน ให้เป็นความรับผิดร่วมกันของผู้โอนและผู้รับโอน (2) ในกรณีที่เอกสิทธิสิ้นสุดลง ให้เป็นความรับผิดของผู้ที่ได้รับเอกสิทธิ์ ให้รัฐมนตรีโดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรี มีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนดให้สินค้า บางประเภทหรือบางชนิดซึ่งผู้ประกอบอุตสาหกรรมมีสิทธิได้รับคืนหรือยกเว้นภาษีตามวรรคหนึ่งได้รับ ยกเว้นจากบทบังคับแห่งมาตรานี้ โดยจะกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขใด ๆ ไว้ด้วยก็ได้"
มาตรา 6 ให้ยกเลิกมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติภาษีกรมสรรพสามิต พ.ศ. 2527
มาตรา 7 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (5) ของวรรคหนึ่ง ในมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติภาษี สรรพสามิต พ.ศ. 2527 "(5) การประกอบกิจการสถานบริการ"
มาตรา 8 ให้ยกเลิกความในมาตรา 25 มาตรา 26 มาตรา 27 และมาตรา 28 แห่ง พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 25 การจดทะเบียนสรรพสามิต (1) ในกรณีมีการประกอบอุตสาหกรรมหรือประกอบกิจการสถานบริการอยู่ก่อนกฎหมายว่า ด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตใช้บังคับแก่สินค้าหรือบริการนั้น ให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ ประกอบกิจการสถานบริการยื่นคำขอจดทะเบียนสรรพสามิตตามแบบที่อธิบดีกำหนดภายในสามสิบ วันนั้นแต่วันที่กฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตใช้บังคับแก่สินค้าหรือบริการนั้น (2)ในกรณีเริ่มประกอบอุตสาหกรรมหรือเริ่มประกอบกิจการสถานบริการ เมื่อมีกฎหมาย ว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตใช้บังคับแก่สินค้าหรือบริการนั้นแล้ว ให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรม หรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการยื่นคำขอจดทะเบียนสรรพสามิตตามแบบที่อธิบดีกำหนดภายใน สามสิบวัน ก่อนวันเริ่มผลิตสินค้าหรือเริ่มบริการ ในกรณีที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการมีโรงอุตสาหกรรม หรือ สถานบริการหลายแห่ง ให้แยกยื่นคำขอเป็นรายโรงอุตสาหกรรม หรือสถานบริหาร มาตรา 26 ให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการที่มีโรงอุตสาหกรรม หรือสถานบริการอยู่ในกรุงเทพมหานคร ยื่นคำขอจดทะเบียนสรรพสามิตต่ออธิบดี ณ กรมสรรพสามิต ให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการที่มีโรงอุตสาหกรรม หรือสถาน บริการอยู่ในเขตจังหวัดอื่น ยื่นคำขอจดทะเบียนสรรพสามิตต่อสรรพสามิตจังหวัด ณ สำนักงาน สรรพสามิตจังหวัดแห่งท้องที่ที่โรงอุตสาหกรรม หรือสถานบริการนั้นตั้งอยู่ มาตรา 27 เมื่อผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการได้ยื่นคำขอ จดทะเบียนสรรพสามิตโดยถูกต้องแล้ว ให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายหรือสรรพสามิตจังหวัดออก ใบทะเบียนสรรพสามิตให้ มาตรา 28 ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการต้องแสดงใบทะเบียน สรรพสามิตไว้ในที่เปิดเผยซึ่งเห็นได้ง่าย ณ โรงอุตสาหกรรมหรือสถานบริการ เว้นแต่อยู่ในระหว่าง การขอรับใบแทนใบทะเบียนสรรพสามิตตามมาตรา 29 หรือนำส่งคืนใบทะเบียนสรรพสามิตตาม มาตรา 30 หรือมาตรา 31"
มาตรา 9 ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 29 ในกรณีที่ใบทะเบียนสรรพสามิตชำรุดในสาระสำคัญ หรือสูญหายให้ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการยื่นคำขอรับใบแทนใบทะเบียนสรรพสามิต ต่ออธิบดีหรือสรรพสามิตจังหวัด ณ สถานที่ที่ได้จดทะเบียนสรรพสามิตไว้เดิมภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่ทราบถึงการชำรุดในสาระสำคัญหรือการสูญหาย และให้นำมาตรา 27 มาใช้บังคับ โดยอนุโลม"
มาตรา 10 ให้ยกเลิกความในมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 30 เมื่อผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการประสงค์จะย้าย โรงอุตสาหกรรมหรือสถานบริการ ให้แจ้งย้ายโรงอุตสาหกรรมหรือสถานบริการ ณ สถานที่ที่ได้ จดทะเบียนสรรพสามิตไว้เดิมก่อนวันย้ายไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน เมื่อผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการย้ายโรงอุตสาหกรรมหรือ สถานบริการแล้ว ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนสรรพสามิตสำหรับโรงอุตสาหกรรมหรือสถานบริการแห่ง ใหม่โดยให้นำมาตรา 25 มาตรา 26 และมาตรา 27 มาใช้บังคับโดยอนุโลมและเมื่อได้รับใบ ทะเบียนสรรพสามิตฉบับใหม่แล้ว ให้คืนใบทะเบียนสรรพสามิตฉบับเดิมแก่เจ้าพนักงานสรรพสามิต ณ สถานที่ที่ยื่นจดทะเบียนสรรพสามิตแห่งใหม่"
มาตรา 11 ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 31 เมื่อผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการจะเลิกหรือ โอนกิจการ ให้แจ้งการเลิกหรือโอนกิจการตามแบบที่อธิบดีกำหนดต่ออธิบดีหรือสรรพสามิตจังหวัด ณ สถานที่ที่ได้จดทะเบียนสรรพสามิตไว้ ก่อนวันเลิกหรือโอนกิจการไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน และให้คืน ใบทะเบียนสรรพสามิตแก่เจ้าพนักงานสรรพสามิต ณ สถานที่ที่ได้แจ้งเลิกหรือโอนกิจการนั้นภายใน สิบห้าวันนับแต่วันที่หยุดประกอบกิจการ"
มาตรา 12 ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 32 ในกรณีที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการสถานบริหารตาย ถ้า ทายาทประสงค์จะประกอบกิจการต่อไป ให้ทายาทหรือผู้จัดการมรดกยื่นคำขอจดทะเบียนสรรพสามิต ตามมาตรา 26 ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการ ตาย"
มาตรา 13 ให้ยกเลิกความในมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 48 การยื่นแบบรายการภาษีและการชำระภาษีให้เป็นไปดังนี้ (1) ในกรณีสินค้าที่ผลิตขึ้นในราชอาณาจักร ให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมยื่นแบบรายการภาษี ตามแบบที่อธิบดีกำหนดพร้อมกับชำระภาษีก่อนความรับผิดในอันจะต้องเสียภาษีเกิดขึ้น เว้นแต่ในกรณี ที่ความรับผิดในอันจะต้องเสียภาษีเกิดขึ้นพร้อมกับความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามที่กำหนด ในมาตรา 10 (1) วรรคสอง ก็ให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมยื่นแบบรายการภาษีดังกล่าวพร้อมกับ ชำระภาษีภายในวันที่สิบห้าของเดือนถัดจากเดือนที่มีความรับผิดในอันจะต้องเสียภาษีเกิดขึ้นหรือก่อน การนำสินค้าออกจากโรงอุตสาหกรรมหรือคลังสินค้าทัณฑ์บนแล้วแต่กรณีใดจะเกิดขึ้นก่อน (2) ในกรณีบริการ ให้ผู้ประกอบกิจการสถานบริการยื่นแบบรายการภาษีตามแบบที่อธิบดี กำหนดพร้อมกับชำระภาษีภายในวันที่สิบห้าของเดือนถัดจากเดือนที่มีความรับผิดในอันจะต้องเสีย ภาษีเกิดขึ้น (3)ในกรณีสินค้าที่นำเข้า ให้ผู้นำเข้ายื่นแบบรายการภาษีตามแบบที่อธิบดีกำหนดพร้อม กับชำระภาษีในเวลาที่ออกใบขนสินค้าให้ตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร (4) ในกรณีอื่น ให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษียื่นแบบรายการภาษีตามแบบที่อธิบดีกำหนดพร้อมกับ ชำระภาษีภายในวันที่สิบห้าของเดือนถัดจากเดือนที่มีความรับผิดในอันจะต้องเสียภาษีเกิดขึ้น หากมีการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีอันเป็นเหตุให้การชำระภาษีตาม (1) (2) (3) หรือ (4) ขาดหรือเกินไปจากที่ได้ชำระไว้แล้ว ให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีชำระภาษีเพิ่มให้ครบถ้วนตามอัตราที่ เปลี่ยนแปลงนั้น หรือขอคืนเงินภาษีที่ได้ชำระไว้เกิน ทั้งนี้ ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่มีการ เปลี่ยนแปลงอัตราภาษีดังกล่าว"
มาตรา 14 ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 52 ให้รัฐมนตรีมีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษา กำหนดสินค้าใดให้เป็น สินค้าที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมอาจขอชำระภาษีภายในวันที่สิบห้าของเดือนถัดจากเดือนที่นำสินค้า ออกจากโรงอุตสาหกรรมหรือคลังสินค้าทัณฑ์บนโดยมีหลักประกันได้"
มาตรา 15 ให้ยกเลิกความในมาตรา 53 แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 53 ในกรณีที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการมี โรงอุตสาหกรรมหรือสถานบริการอยู่ในกรุงเทพมหานคร ให้ยื่นแบบรายการภาษีและชำระภาษีต่อ เจ้าพนักงานสรรพสามิต ณ กรมสรรพสามิต ในกรณีที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการมีโรงอุตสาหกรรมหรือ สถานบริการอยู่ในเขตจังหวัดอื่น ให้ยื่นแบบรายการภาษีและชำระภาษีต่อเจ้าพนักงานสรรพสามิต ณ สำนักงานสรรพสามิตอำเภอ สำนักงานสรรพสามิตกิ่งอำเภอ หรือสำนักงานสรรพสามิตจังหวัด แห่งท้องที่ที่โรงอุตสาหกรรมหรือสถานบริการนั้นตั้งอยู่ ในกรณีที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการมีโรงอุตสาหกรรมหรือ สถานบริการหลายแห่ง อาจยื่นคำร้องต่ออธิบดีขอยื่นแบบรายการภาษีและชำระภาษีรวม ณ กรมสรรพสามิตหรือสำนักงานสรรพสามิตแห่งใดแห่งหนึ่งเมื่ออธิบดีพิจารณาเห็นสมควรจะอนุญาตก็ได้ เพื่อประโยชน์ในการชำระภาษีตามมาตรานี้ อธิบดีโดยอนุมัติรัฐมนตรีจะประกาศให้ยื่น แบบรายการภาษีและชำระภาษีต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ สถานที่อื่นก็ได้
มาตรา 17 ให้ยกเลิกความในมาตรา 83 แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 83 การประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ให้กระทำได้ภายในกำหนดเวลา ดังต่อไปนี้ (1) สองปีนับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นแบบรายการภาษี หรือวันสุดท้ายแห่งกำหนด เวลาที่รัฐมนตรีขยายหรือเลื่อนออกไป แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ เฉพาะในกรณีที่มีการยื่นแบบรายการภาษี ภายในกำหนดเวลาดังกล่าว (2) สองปีนับแต่วันยื่นแบบรายการภาษี ทั้งนี้ เฉพาะในกรณีที่มีการยื่นแบบรายการภาษี ภายหลังวันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลาดังกล่าวใน (1) แต่ต้องไม่เกินสิบปีนับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนด เวลายื่นแบบรายการภาษี (3) สิบปีนนับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นแบบรายการภาษี ในกรณีที่ไม่มีการยื่น แบบรายการภาษี หรือมีการยื่นแบบรายการภาษีโดยแสดงมูลค่าของสินค้าหรือบริการขาดไปเกินกว่า ร้อยละสิบห้าของมูลค่าที่แสดงไว้ในแบบรายการภาษี"
มาตรา 18 ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา 101 แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 101 ผู้ประกอบอุตสาหกรรมใดประสงค์จะขอลดหย่อนภาษีสำหรับสินค้าที่กำหนดใน กฎกระทรวง โดยนำจำนวนเงินภาษีตามพระราชบัญญัตินี้ที่ได้เสียไว้แล้ว สำหรับสินค้าที่นำมาใช้เป็น วัตถุดิบหรือส่วนประกอบในการผลิตสินค้ามาหักออกจากจำนวนเงินภาษีต้องเสียสำหรับสินค้านั้น ให้ยื่น คำร้องและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด"
มาตรา 19 ให้เพื่อความต่อไปนี้เป็นมาตรา 102 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 "มาตรา 102 ทวิ ผู้ประกอบกิจการสถานบริการมีสิทธิได้รับยกเว้นภาษี ในกรณีดังต่อไปนี้ (1) บริการที่กำหนดในกฎกระทรวงที่บริจาครายรับให้แก่ประชาชนเป็นการสาธารณกุศล โดยผ่านส่วนราชการ ในราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือ ผ่านองค์การสาธารณกุศลที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา (2) บริการที่กำหนดในกฎกระทรวง ที่บริจาครายรับเป็นสาธารณประโยชน์แก่ส่วน ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือแก่องค์การสาธารณกุศลที่ รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา การขอยกเว้นภาษีตามวรรคหนึ่ง ให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด"
มาตรา 20 ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา 103 แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 103 เพื่อประโยชน์แก่การเศรษฐกิจของประเทศหรือเพื่อความผาสุกของ ประชาชน รัฐมนตรีโดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศลดอัตรา หรือยกเว้นภาษีสำหรับ สินค้าหรือบริการใด ๆ ได้ ทั้งนี้ จำกำหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขไว้ด้วยก็ได้"
มาตรา 21 ให้ยกเลิกความในมาตรา 112 แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 112 ให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมทำบัญชีประจำวันและงบเดือนแสดงรายการเกี่ยว กับวัตถุดิบ การผลิต และการจำหน่ายสินค้า ตามแบบที่อธิบดีกำหนด ให้ผู้ประกอบกิจการสถานบริการทำบัญชีประจำวันและงบเดือนแสดงรายการเกี่ยวกับรายรับ ของกิจการสถานบริการ ตามแบบที่อธิบดีกำหนด บัญชีประจำวันตามวรรคหนึ่ง และวรรคสอง ให้ทำให้แล้วเสร็จภายในสามวันนับแต่วันที่มีเหตุที่ จะต้องลงรายการนั้นเกิดขึ้น และให้เก็บรักษาไว้ไม่น้อยกว่าห้าปีที่โรงอุตสาหกรรมหรือสถานบริการ พร้องทั้งเอกสารประกอบการลงบัญชีดังกล่าว งบเดือนตามวรรคหนึ่ง และวรรคสองให้ยื่นต่อเจ้าพนักงานสรรพสามิต ณ สถานที่ที่ระบุไว้ใน มาตรา 53 ภายในวันที่สิบห้าของเดือนถัดไป และให้มีสำเนาเก็บไว้ที่โรงอุตสาหกรรมหรือสถาน บริการไม่น้อยกว่าห้าปี การทำบัญชีประจำวันและงบเดือนตามมาตรานี้ อธิบดีจะอนุญาตให้กระทำโดยใช้เครื่องจักรหรือ เครื่องกลก็ได้ "
มาตรา 22 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 112 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติบริการ ประสงค์จะ ใช้เครื่องบันทึกการเก็บเงินออกหลักฐานการรับเงินให้ขออนุมัติต่ออธิบดี การใช้เครื่องบันทึกการ เก็บเงินดังกล่าวจะต้องปฏิบัติตามระเบียบเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขว่าด้วยการใช้ เครื่องบันทึกการเก็บเงินตามที่อธิบดีกำหนดโดยเคร่งครัด"
มาตรา 23 ให้ยกเลิกความในมาตรา 113 แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 113 เพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บและการเสียภาษี ให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรม หรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการยอมให้พนักงานเจ้าหน้าที่ติดตั้งเครื่องจักร เครื่องกล หรือ เครื่องมือใดๆในโรงอุตสาหกรรมหรือสถานบริการ ให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการสงวนรักษาไว้ซึ่งเครื่องจักร เครื่องกล หรือเครื่องมือตามวรรคหนึ่ง รวมทั้งตราหรือสิ่งที่ติดอยู่กับเครื่องจักร เครื่องกล หรือ เครื่องมือดังกล่าว ที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้จัดทำไว้ให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยตลอดเวลาโดยใช้ ความระมัดระวังและฝีมือดังเช่นที่พึงปฏิบัติในการประกอบธุรกิจของตน ในกรณีที่เครื่องจักร เครื่องกล หรือเครื่องมือตามวรรคหนึ่ง ตราหรือสิ่งที่ติดอยู่กับเครื่องจักร เครื่องกล หรือเครื่องมือดังกล่าว ที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้จัดทำไว้ สูญหายบุบสลาย หรือชำรุด ให้ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการแจ้งให้เจ้าพนักงานสรรพสามิตแห่งท้องที่ที่ โรงอุตสาหกรรมหรือสถานบริการนั้นตั้งอยู่ทราบโดยมิชักช้าทั้งนี้ โดยให้แจ้งถึงสาเหตุของการ สูญหาย บุบสลาย หรือชำรุดด้วยและหากการสูญหาย บุบสลายหรือชำรุดได้เกิดขึ้นเพราะผู้ประกอบ อุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการมิได้ใช้ความระมัดระวังและฝีมือดังเช่นที่พึงปฏิบัติใน การประกอบธุรกิจของตนแล้ว อธิบดีมีอำนาจกำหนดให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการ สถานบริการต้องรับผิดชอบชดใช้ในความสูญหายบุบสลาย หรือชำรุดดังกล่าว ในกรณีนี้ให้อธิบดี เรียกร้องและดำเนินการเพื่อให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการ ชดใช้ให้ แก่ทางราชการตามระเบียบที่กรมสรรพสามิตกำหนด"
มาตรา 24 ให้ยกเลิกความในมาตรา 115 และมาตรา 116 แห่งพระราชบัญญัติ ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 115 ในกรณีที่มีการติดตั้งเครื่องจักร เครื่องกลหรือเครื่องมือใด ๆ ในโรงงาน อุตสาหกรรม หรือสถานบริการตามมาตรา 113 พนักงานเจ้าหน้าที่จะให้ใช้ปริมาณสินค้าหรือปริมาณ รายรับที่คำนวณได้จากเครื่องจักร เครื่องกลหรือเครื่องมือดังกล่าวเป็นเกณฑ์ในการจัดเก็บภาษีก็ได้ มาตรา 116 ให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการแจ้งวันเวลาทำ การตามปกติ และวันเวลาหยุดทำการของโรงอุตสาหกรรม หรือสถานบริการให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดี มอบหมายทราบเป็นหนังสือก่อนวันเริ่มผลิตสินค้าหรือวันเริ่มบริการ และถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลง กำหนดวันเวลาดังกล่าว ให้มีหนังสือแจ้งให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายทราบล่วงหน้าอย่างน้อย สามวันก่อนวันที่จะมีการเปลี่ยนแปลง ถ้าโรงอุตสาหกรรม หรือสถานบริการต้องเพิ่มเวลาทำการโดยเร่งด่วนหรือต้องหยุดงานเพราะ เหตุจำเป็น ให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการแจ้งให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดี มอบหมายทราบโดยมิชักช้า ให้อธิบดีมีอำนาจผ่อนผันการปฏิบัติตามความในวรรคหนึ่ง และวรรคสอง ได้ตามที่เห็นสมควร"
มาตรา 25 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 117 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 "มาตรา 117 ทวิ เพื่อประโยชน์ในการกำหนดรายรับของกสถานบริการให้ผู้ประกอบ กิจการสถานบริการแจ้งราคาค่าบริการที่เรียกเก็บในการประกอบกิจการต่ออธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดี มอบหมายตามแบบรายละเอียด และกำหนดเวลา ที่อธิบดีกำหนด ถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลงราคาที่ได้แจ้งไว้ตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้ประกอบกิจการสถานบริการแจ้ง ราคาค่าบริการที่เปลี่ยนแปลงต่ออธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายไม่น้อยกว่าเจ็ดวันก่อนวันที่จะมีการ เปลี่ยนแปลงราคา ให้อธิบดีมีอำนาจผ่อนผันการปฏิบัติตามความในระบบหนึ่ง และวรรคสอง ได้ตามที่เห็นสมควร"
มาตรา 26 ให้ยกเลิกความใน (1) ของมาตรา 118 แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "(1) เข้าไปในโรงอุตสาหกรรมหรือคลังสินค้าทัณฑ์บนหรือสถานบริการในระหว่างเวลาทำ การ เพื่อตรวจสอบหรือควบคุมให้การเป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้"
มาตรา 27 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นหมวด 12 ทวิ การเสียภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ ตามตอนที่ 5 แห่งพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตท้ายพระราชบัญญัติพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 มาตรา 144 ทวิ มาตรา 144 จัตวา มาตรา 144 เบญจ และมาตรา 144 ฉ แห่ง พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 "หมวด 12 ทวิ การเสียภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ตามตอนที่ 5 แห่งพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต ท้ายพระราชบัญญัติพิกัดอัตราภาษี สรรพสามิต พ.ศ. 2527 มาตรา 144 ทวิ ภายใต้บังคับบทบัญญัติในหมวดอื่นแห่งพระราชบัญญัตินี้การเสียภาษีสรรพสามิต สำหรับรถยนต์ตามตอนที่ 5 แห่งพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตท้ายพระราชบัญญัติพิกัดอัตราภาษี สรรพสามิต พ.ศ. 2527 ให้อยู่ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติในหมวดนี้ด้วย มาตรา 144 ตรี ให้หมวดนี้ "ดัดแปลง" หมายความว่า การกระทำใด ๆ ต่อรถยนต์กระบะหรือสิ่งใด ๆ ตามที่กำหนด ในกฎกระทรวงให้เป็นรถยนต์นั่งหรือเป็นรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกินสิบคน โดยผู้กระทำมิใช่ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมรถยนต์ การกระทำที่เป็นการดัดแปลงตามวรรคหนึ่ง มิให้ถือเป็นการผลิตตามความหมายของบทนิยม คำว่า "ผลิต" ตามมาตรา 4 เว้นแต่การดัดแปลงนั้นจะกระทำโดยผู้ดัดแปลงที่ประกอบกิจการ เป็นธุรกิจ "ผู้ดัดแปลง" ให้หมายความรวมถึงผู้ที่จ้างหรือจัดให้ผู้อื่นทำการดัดแปลงด้วย "สถานแสดงรถยนต์เพื่อขาย" หมายความว่า สถานที่ใช้สำหรับแสดงรถยนต์เพื่อขายของ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมตามที่ได้รับอนุญาตจากอธิบดี และเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามมาตรา 10 (1) (ก) มาตรา 19 มาตรา 50 (1) มาตรา 84 มาตรา 118 (1) และ (4) มาตรา 119 มาตรา 161 (1) และมาตรา 162 (1) ให้ถือว่าสถานแสดงรถยนต์เพื่อขายดังกล่าวเป็นคลัง สินค้าทัณฑ์บน และให้การนี้ให้นำมาตรา 36 มาตรา 37 มาตรา 39 มาตรา 42 มาตรา 44 มาตรา 151 และมาตรา 152 (2) มาใช้บังคับ มาตรา 144 จัตวา ภายใต้บังคับความรับผิดในอันจะต้องเสียภาษีตามหมวด 1 ความรับผิดใน อันจะต้องเสียภาษีสำหรับรถยนต์ ให้เกิดขึ้นในกรณีดังต่อไปนี้ (1) กรณีดัดแปลง ให้เกิดขึ้นเมื่อการดัดแปลงสิ้นสุดลง (2)ในกรณีนำรถยนต์ไปแสดงหรือเก็บไว้ในสถานแสดงรถยนต์เพื่อขาย ให้เกิดขึ้นพร้อม กับความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามหมวด 4 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร มาตรา 144 เบญจ ให้ผู้ดัดแปลงเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีตามมูลค่าจากการดัดแปลง โดยให้ถือ ราคาค่าจ้างแรงงานดัดแปลงบวกด้วยค่าวัสดุอุปกรณ์หรือค่าจ้างทำของซึ่งรวมค่าวัสดุอุปกรณ์อยู่ด้วย แต่ต้องไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำสำหรับค่าใช้จ่ายในการดัดแปลงและค่าวัสดุอุปกรณ์ตามอธิบดีกำหนด มาตรา 144 ฉ เพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีตามความในหมวดให้อธิบดีมีอำนาจ ดังต่อไปนี้ (1) อนุญาตให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมมีสถานแสดงรถยนต์เพื่อขาย ทั้งนี้ ตามจำนวน หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดกฎกระทรวง (2) กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับการนำรถยนต์ที่อยู่ในสถานแสดงรถยนต์เพื่อ ขายออกไปจากสถานแสดงรถยนต์เพื่อขาย เพื่อประโยชน์ในการทดลองเป็นการชั่วคราวสำหรับ การจำหน่าย (3) กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการชำระภาษีดัดแปลงตามมาตรา 144 จัตวา(1) (4) กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการชำระภาษีรถยนต์ที่ความรับผิดในอันจะต้อง เสียภาษีเกิดขึ้นพร้อมกับความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 144 จัตวา (2) "
มาตรา 28 ให้ยกเลิกความในมาตรา 160 แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 160 ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 113 วรรคสอง หรือวรรคสาม มาตรา 116 วรรคหนึ่งหรือวรรคสอง มาตรา 117 วรรคหนึ่งหรือวรรคสอง หรือมาตรา 117 ทวิ วรรคหนึ่ง หรือวรรคสอง ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท"
มาตรา 29 บทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัตินี้ ไม่ใช้บังคับแก่สินค้าที่ยังมิได้นำออกจากโรงอุตสาหกรรม และเป็นสินค้าที่ต้อง เสียภาษีการค้าตามมาตรา 24 และมาตรา 26 (1) แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 30) พ.ศ. 2534
มาตรา 30 บทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 ก่อนการแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัตินี้ ให้ยังคงใช้บังคับต่อไปสำหรับสินค้าในกรณีดังต่อไปนี้ (1) สินค้าที่การปฏิบัติจัดเก็บภาษียังค้างอยู่หรือที่ถึงกำหนดชำระก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ ใช้บังคับ (2) สินค้าที่ได้เสียภาษีโดยใช้แสตมป์สรรพสามิตหรือเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีครบ ถ้วนแล้ว แต่ยังมิได้นำออกจากโรงอุตสาหกรรมก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ (3) สินค้าที่นำเข้าก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับที่อยู่ในอารักขาของศุลกากรและยังมิได้ เสียภาษี เว้นแต่สินค้าที่เก็บอยู่ในคลังสินค้าทัณฑ์บนตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร (4) สินค้าที่ได้รับการขยายเวลาการชำระภาษีตามมาตรา 14 หรือมาตรา 52 แห่ง พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 ที่ได้นำออกจากโรงอุตสาหกรรมหรือคลังสินค้าทัณฑ์บน ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา 31 เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามมาตรา 29 และมาตรา 30 ให้ผู้ประกอบ อุตสาหกรรม ยื่นบัญชีรายละเอียดสินค้าโดยแสดงรายการประเภท ชนิด และปริมาณ ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2534 พร้อมทั้งระบุโรงอุตสาหกรรมหรือคลังสินค้าทัณฑ์บนที่เก็บสินค้านั้นและให้ยื่น บัญชีดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานสรรพสามิตแห่งท้องที่ที่โรงอุตสาหกรรมหรือคลังสินค้าทัณฑ์บนนั้นตั้งอยู่ ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ผู้นำเข้ายื่นบัญชีสินค้าที่ได้นำเข้าและอยู่ในอารักขาของศุลกากรแล้วต่อเจ้าพนักงาน สรรพสามิตแห่งท้องที่ที่มีการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรภายในเวลาที่กำหนดในวรรคหนึ่ง ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้นำเข้าผู้ใด ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง ต้อง ระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท
มาตรา 32 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ อานันท์ ปันยารชุน นายกรัฐมนตรี |
หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากได้มีการปรับปรุงระบบ ภาษีอากรของประเทศให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยพระราชบัญญัติแก้ไข เพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 30) พ.ศ. 2534 ได้ยกเลิกภาษีการค้าและนำภาษีมูลค่าเพิ่มมา ใช้แทน สมควรเพิ่มการเก็บภาษีสรรพสามิตจากบริการของสถานบริการตามที่กำหนดในกฎหมาย ว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต และปรับปรุงภาษีสรรพสามิตเพื่อให้มีความสอดคล้องกับการจัดเก็บ ภาษีมูลค่าเพิ่มตามประมวลรัษฎากรดังกล่าว อีกทั้งเพื่อให้เกิดความสะดวกในการจัดเก็บ จึงจำเป็น ต้องตราพระราชบัญญัตินี้ (ร.จ. เล่ม 108 ตอนที่ 201 หน้า 135 วันที่ 21 พฤศจิกายน 2534) |