พระราชบัญญัติ
                      คณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ 3)
                              พ.ศ. 2534
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
                    ให้ไว้ ณ วันที 21 สิงหาคม พ.ศ. 2534
                        เป็นปีที่ 46 ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้
ประกาศว่า
   โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา
   จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของ
สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้

   มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ 3)
พ.ศ. 2534"

   มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

   มาตรา 3 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 15 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา
พ.ศ. 2522
   "มาตรา 15 ทวิ ในการพิจารณาร่างกฎหมายให้กรรมการร่างกฎหมายคำนึงถึงความจำเป็น
ความเป็นไปได้และขอบเขตที่จะต้องมีกฎหมายดังกล่าว ความสอดคล้องกับหลักกฎหมายและ
บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่น ความมีประสิทธิภาพของการจัดองค์กรและกลไกเพื่อการใช้
บังคับกฎหมายผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับการบริหารราชการ และภาระหรือความยุ่งยากของประชาชน
หรือผู้ที่จะอยู่ในบังคับแห่งกฎหมายนั้นด้วย และแก้ไขปรับปรุงให้ถูกต้องเหมาะสม ในกรณีที่กรรการ
ร่างกฎหมายเห็นว่าร่างกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับสาระสำคัญของหลักการ หรือมีความเห็น
ขัดแย้งกับหน่วยงานของรัฐหรือเอกชนซึ่งมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย กรรมการร่างกฎหมายจะ
เสนอความเห็นเพื่อขอให้มีการทบทวนในหลักการเสียก่อน หรือจะปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสม
ตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น และรายงานคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาวินิจฉัยต่อไปก็ได้"

   มาตรา 4 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น หมวด 2 ทวิ คณะกรรมการพัฒนากฎหมาย และมาตรา
17 ทวิ มาตรา 17 ตรี มาตรา 17 จัตวา มาตรา 17 เบญจ มาตรา 17 ฉ มาตรา 17 สัตต
และมาตรา 17 อัฏฐ แห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2522
                              "หมวด 2 ทวิ
                         คณะกรรมการพัฒนากฎหมาย
   มาตรา 17 ทวิ ให้มีคณะกรรมการเรียกว่า "คณะกรรมการพัฒนากฎหมาย" ประกอบด้วย
กรรมการร่างกฎหมายตามมาตรา 11 และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากมหาวิทยาลัยหรือหน่วยงาน
ของรัฐหรือของเอกชน ซึ่งประธานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นผู้แต่งตั้ง มีจำนวนไม่น้อยกว่าเก้าคน
แต่ไม่เกินสิบห้าคน เป็นกรรมการพัฒนากฎหมาย ในจำนวนนี้ให้มีกรรมการร่างกฎหมายเป็น
ประธานและกรรมการร่างกฎหมายอื่นไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง และให้เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
เป็นกรรมการพัฒนากฎหมายโดยตำแหน่ง ให้คณะกรรมการพัฒนากฎหมายมีอำนาจหน้าที่ตามที่บัญญัติ
ไว้ในหมวดนี้
   ให้เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาแต่งตั้งข้าราชการของสำนักงานคณะกรรมการการกฤษฎีกา
เป็นเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการ
   ในกรณีที่เห็นสมควร ประธานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย
ตามสาขาวิชากฎหมายก็ได้
   ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยวาระการดำรงตำแหน่งตามมาตรา 12 มาใช้บังคับแก่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
โดยอนุโลม
   มาตรา 17 ตรี ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีหน้าที่ศึกษาพิจารณาตรวจสอบบรรดา
กฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ ถ้าเห็นว่ากฎหมายฉบับใดหรือเรื่องใดมีบทบัญญัติที่จำกัดเสรีภาพในร่างกาย
ทรัพย์สิน หรือการประกอบอาชีพของประชาชนโดยไม่สมควรหรือก่อให้เกิดภารแก่การประกอบ
อาชีพหรือธุรกิจของบุคคลโดยไม่จำเป็น หรือไม่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลหรือการพัฒนา
เศรษฐกิจ สังคม การเมือง หรือการบริหารราชการ หรือเห็นว่าประเทศไทยควรจะมีกฎหมายขึ้น
ใหม่เพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น หรือเพื่อประโยชน์แก่การพัฒนา
เศรษฐกิจ สังคม การเมืองหรือการบริหารราชการ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
เสนอความเห็นต่อคณะกรรมการพัฒนากฎหมายเพื่อจัดทำแผนงานหรือโครงการพัฒนากฎหมายต่อไป
โดยระบุขอบเขตของงาน ขั้นตอนและวิธีดำเนินการ ตลอดจนงบประมาณสำหรับดำเนินการ และใน
กรณีที่มีความจำเป็น ต้องมีงบประมาณสำหรับดำเนินการ และในกรณีที่มีความจำเป็น ต้องมี
งบประมาณเพิ่มเติมให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป ความในวรรคนี้ไม่ใช้บังคับแก่
การตรวจพิจารณาร่างกฎหมายของกระทรวง ทบวง กรม ซึ่งคณะรัฐมนตรีส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกา
ตรวจพิจารณา
   การเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย ถ้าได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนา
กฎหมายตามสาขาวิชากฎหมายให้เสนอต่อคณะกรรมการตามสาขาวิชากฎหมาย
   มาตรา 17 จัตวา เมื่อคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติแผนงานหรือโครงการพัฒนากฎหมายตามมาตรา
17 ตรี แล้ว ให้คณะกรรมการพัฒนากฎหมายดำเนินการศึกษาวิจัยและจัดทำรายงานพร้อมทั้งร่าง
กฎหมายที่เกี่ยวข้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป โดยจะแต่งตั้งผู้วิจัยเพื่อจัดทำรายงาน
ตามที่มอบหมายก็ได้เพื่อการนี้ให้คณะกรรมการพัฒนากฎหมายมีอำนาจกำหนดค่าตอบแทนหรือให้เงิน
อุดหนุนแก่การวิจัยตามระเบียบที่ประธานคณะกรรมการกฤษฎีกากำหนด
   ในกรณีมีเหตุอันควร คณะกรรมการพัฒนากฎหมายจะขอให้ที่ประชุมใหญ่กรรมการร่างกฎหมาย
พิจารณาให้ความเห็นในเรื่องหนึ่งเรื่องใดก็ได้
   มาตรา 17 เบญจ เพื่อประโยชน์ในการดำเนินงานตามมาตรา 17 ตรี หรือมาตรา 17 จัตวา
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะจัดให้มีการวิจัย การสัมมนา หรือการรับฟังความคิดเห็นจาก
หน่วยงานหรือบุคคลต่าง ๆ ทั้งในภาครัฐบาลและภาคเอกชนตามความเหมาะสมแก่กรณีก็ได้
   มาตรา 17 ฉ ในกรณีที่เห็นสมควร คณะกรรมการการพัฒนากฎหมายจะแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ
คณะหนึ่งหรือหายคณะ เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่คณะกรรมการพัฒนากฎหมายมอบหมายก็ได้
   มาตรา 17 สัตต ให้คณะกรรมการพัฒนากฎหมายและคณะอนุกรรมการตามมาตรา 17 ฉ มี
อำนาจเชิญผู้แทนหน่วยงานและบุคคลต่าง ๆ ทั้งในภาครัฐบาลและภาคเอกชนมาให้ข้อเท็จจริงหรือ
แสดงความคิดเห็นได้
   มาตรา 17 อัฏฐ ให้คณะกรรมการพัฒนากฎหมายและคณะอนุกรรมการตามมาตรา 17 ฉ ได้รับ
ค่าตอบแทนเช่นเดียวกับกรรมการกฤษฎีกา"

   มาตรา 5 ให้ยกเลิกความในมาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2522
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
   "มาตรา 23 การยื่นคำร้องทุกข์ต้องกระทำภายในกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึง
เหตุแห่งการร้องทุกข์ หรือนับแต่วันที่พ้นกำหนดหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่ผู้ร้องทุกข์ได้มีหนังสือร้อง
ขอต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดและไม่ได้รับหนังสือ
ชี้แจงจากเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือได้รับแต่เป็นคำชี้แจงที่ไม่มีเหตุผลอันสมควรแล้วแต่กรณี
   คำร้องทุกข์ที่ได้ยื่นเมื่อพ้นกำหนดอายุความตามวรรคหนึ่ง ถ้าคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์เห็น
ว่ากรณีจะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมหรือประโยชน์สาธารณะ หรือเป็นปัญหาสำคัญอันควรแก่การแก้ไข
คณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์อาจดำเนินการพิจารณาวินิจฉัยและเสนอความเห็นต่อนายกรัฐมนตรี
เพื่อสั่งการตามพระราชบัญญัตินี้ได้ ตามที่เห็นสมควร"

   มาตรา 6 ให้ยกเลิกความในมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ.
2522 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
   "มาตรา 29 กรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์มีวาระดำรงตำแหน่งคราวละสามปีนับแต่วันที่
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้ง ผู้ที่พ้นจากตำแหน่งแล้วจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้ง
อีกก็ได้
   ในกรณีที่การแต่งตั้งกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ไม่อาจกระทำได้เนื่องจากอยู่ในระหว่างปิดสมัย
ประชุมรัฐสภา หรือสภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุ หรือถูกยุบหรือมีเหตุอย่างอื่น ให้กรรมการวินิจฉัยร้อง
ทุกข์ที่วาระดำรงตำแหน่งครบกำหนดในขณะนั้นยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไปพลางก่อนได้ จนกว่าจะมีการ
แต่งตั้งกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ขึ้นใหม่
   นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 31  วรรคสองแล้ว ให้นำมาตรา 14 มาใช้บังคับ
แก่การพ้นจากตำแหน่งกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์โดยอนุโลม"

   มาตรา 7 ให้ยกเลิกความใน (9) มาตรา 62 แห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา
พ.ศ. 2522 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
   "(9) จัดทำรายงานประจำปีเกี่ยวกับผลงานและอุปสรรคในการดำเนินงานของคณะกรรมการ
ร่างกฎหมายคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย และคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์เสนอต่อคณะรัฐมนตรี"

   มาตรา 8 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (10) ของมาตรา 62 แห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการ
กฤษฎีกา พ.ศ. 2522
   "(10) จัดให้ได้มาซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับระบบกฎหมายไทยและระบบกฎหมายต่างประเทศ และ
งานวิจัยกฎหมายหรือวิชาอื่นที่เกี่ยวกับกฎหมายทั้งของไทยและต่างประเทศเพื่อประโยชน์แก่
การปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัตินี้"
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
อานันท์ ปันยารชุน
   หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรจัดให้มี
องค์กรขึ้นเป็นการเฉพาะทำหน้าที่เสนอให้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัยหรือไม่เหมาะสม
กับสถานการณ์ของประเทศหรือกฎหมายที่จำกัดเสรีภาพในร่างกาย ทรัพย์สินหรือการประกอบ
อาชีพของประชาชนโดยไม่สมควร หรือก่อให้เกิดภาระแก่การประกอบอาชีพหรือธุรกิจของบุคคล
โดยไม่จำเป็นหรือไม่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลหรือการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การเมือง
หรือการบริหารราชการประกอบกับบทบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวกับหลักเกณฑ์การตรวจพิจารณา
ร่างกฎหมายของกรรมการร่างกฎหมายการเริ่มนับอายุความร้องทุกข์ ข้อยกเว้นอายุความ
ร้องทุกข์ การดำรงตำแหน่งตามวาระของกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์และอำนาจหน้าที่ของ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เป็นอยู่ในปัจจุบันยังไม่เหมาะสม สมควรได้รับการแก้ไข
เพิ่มเติมให้เหมาะสมยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
(ร.จ. เล่ม 108 ตอนที่ 146 หน้า 11 วันที่ 21 สิงหาคม 2534)