พระราชบัญญัติ พนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534 |
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2534 เป็นปีที่ 46 ในรัชกาลปัจจุบัน |
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ โดยคำแนะนำและยินยอมของ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้
มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534"
มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา 3 บรรดากฎหมาย กฎ และข้อบังคับอื่นในส่วนที่มีบัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัตินี้ หรือ ซึ่งขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้แทน
มาตรา 4 ในพระราชบัญญัตินี้ "รัฐวิสาหกิจ" หมายความว่า (1) องค์การของรัฐบาลตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาลหรือกิจการ ของรัฐตามกฎหมายที่จัดตั้งกิจการนั้น และหมายความรวมถึงหน่วยงานธุรกิจที่รัฐเป็นเจ้าของ (2) บริษัทจำกัดหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่กระทรวง ทบวง กรม หรือทบวงการเมืองที่มี ฐานะเทียบเท่า และหรือรัฐวิสาหกิจตาม (1) มีทุนรวมอยู่ด้วยเกินร้อยละห้าสิบ "พนักงาน" หมายความว่า พนักงานและลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจแต่ไม่หมายความรวมถึง ฝ่ายบริหาร "ฝ่ายบริหาร" หมายความว่า พนักงานรัฐวิสาหกิจตั้งแต่ระดับหัวหน้ากองหรือเทียบเท่าขึ้น ไป และหมายความรวมถึงผู้อำนวยการ ผู้ว่าการ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กรรมการผู้จัดการ และ ผู้จัดการด้วย "สิทธิประโยชน์" หมายความว่า สิทธิประโยชน์เกี่ยวกับวันและเวลาทำงาน ค่าจ้าง เงินเดือนและสวัสดิการของพนักงาน "นัดหยุดงาน" หมายความว่า การที่พนักงานร่วมกันไม่ทำงานหรือร่วมกันเฉื่อยงาน ถ่วงงาน หรือกระทำโดยวิธีใดๆ ทั้งนี้เพื่อให้การดำเนินงานบางส่วนหรือทั้งหมดของรัฐวิสาหกิจ ต้องหยุดชะงักหรือช้าลง เป็นผลให้เกิดความเสียหายแก่รัฐวิสาหกิจหรือประชาชน "สมาคม" หมายความว่า สมาคมพนักงานรัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัตินี้ "คณะกรรมการ" หมายความว่า คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ "นายทะเบียน" หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ "พนักงานเจ้าหน้าที่" หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งจากข้าราชการให้ปฏิบัติการ ตามพระราชบัญญัตินี้ "รัฐมนตรี" หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา 5 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มี อำนาจแต่งตั้งนายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ การแต่งตั้งตามวรรคหนึ่ง ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา 6 ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า "คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์" ประกอบ ด้วย รัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงมหาดไทย อธิบดี กรมบัญชีกลาง อธิบดีกรมแรงงาน เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง และกรรมการอื่นซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้ง จากฝ่ายบริหารห้าคน ผู้แทนพนักงานห้าคน และผู้ทรงคุณวุฒิห้าคน และให้หัวหน้าสำนักงาน คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์เป็นกรรมการและเลขานุการ ผู้แทนพนักงานตามวรรคหนึ่ง ให้นายกของสมาคมคัดเลือกกันเองและเสนอรายชื่อให้รัฐมนตรี เพื่อแต่งตั้ง
มาตรา 7 กรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งมีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสองปี กรรมการซึ่งพ้น จากตำแหน่งอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้ แต่ต้องไม่เกินสองคราวติดต่อกัน
มาตรา 8 นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา 7 กรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้ง พ้นจากตำแหน่งเมื่อ (1) ตาย (2) ลาออก (3) รัฐมนตรีให้ออกเพราะมีการกระทำอันเป็นการต้องห้ามหรือมีความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ (4) เป็นบุคคลล้มละลาย (5) เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ หรือ (6) ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกเว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้ กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ในกรณีที่กรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระให้รัฐมนตรีแต่งตั้งกรรมการ แทนตำแหน่งที่ว่าง และให้ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งตนแทน
มาตรา 9 ในกรณีที่กรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งดำรงตำแหน่งครบตามวาระแล้ว แต่ยังมิได้มี การแต่ตั้งคณะกรรมการขึ้นใหม่ ให้กรรมการที่พ้นจากแหน่งตามวาระปฏิบัติหน้าที่ไปพลางก่อนจนกว่า กรรมการที่ได้รับแต่งตั้งใหม่จะเข้ารับหน้าที่
มาตรา 10 การประชุมคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของ จำนวนกรรมการทั้งหมด จึงเป็นองค์ประชุม ในการประชุมคราวใด ถ้าประธานกรรมการไม่อยู่ในที่ประชุมหรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม มติในที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการคนหนึ่งมีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน ถ้าคะแนน เสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
มาตรา 11 ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (1) กำหนดมาตรฐานของสิทธิประโยชน์ (2) พิจารณาให้ความเห็นชอบเกี่ยวกับกับผลการพิจารณาของคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์ ในเรื่องสิทธิประโยชน์ของพนักงานตามมาตรา 18 วรรคสอง (3) พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ตามมาตรา 18 วรรคสี่และมาตรา 41 (4) พิจารณาวินิจฉัยคำร้องของพนักงานตามมาตรา 20 (5) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่รัฐมนตรีมอบหมาย มาตรฐานของสิทธิประโยชน์ตาม (1) เมื่อได้รับความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีแล้ว ให้ใช้ บังคับแก่รัฐวิสาหกิจทุกแห่ง การพิจารณาตาม (2) ให้คำนึงถึงมาตรฐานของสิทธิประโยชน์ตาม (1)
มาตรา 12 คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาหรือปฏิบัติการอย่างหนึ่ง อย่างใดตามที่คณะกรรมการมอบหมายก็ได้ แล้วรายงานต่อคณะกรรมการ ให้นำมาตรา 10 มาใช้บังคับแก่การประชุมของคณะอนุกรรมการโดยอนุโลม
มาตรา 13 ในการปฏิบัติการตามหน้าที่ ให้กรรมการหรืออนุกรรมการมีอำนาจเรียกบุคคลซึ่ง เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำหรือมีหนังสือสอบถาม หรือให้ส่งสิ่งของหรือเอกสารที่เกี่ยวข้องมาเพื่อ ประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการ ให้ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องอำนวยความสะดวก ชี้แจงข้อเท็จจริง ตอบหนังสือสอบถามหรือส่งสิ่งของหรือ เอกสารที่เกี่ยวข้องแก่กรรมการหรืออนุกรรมการ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง
มาตรา 14 ให้มีคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์ขึ้นในรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง ประกอบด้วย กรรมการของรัฐวิสาหกิจนั้นคนหนึ่ง ซึ่งคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจแห่งนั้นกำหนด เป็น ประธานกรรมการผู้แทนฝ่ายบริหารซึ่งคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจแต่งตั้งจากฝ่ายบริหารของ รัฐวิสาหกิจนั้นตามจำนวนที่คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจกำหนดซึ่งต้องไม่น้อยกว่าสามคนแต่ไม่เกิน เจ็ดคน และผู้แทนของสมาคมในรัฐวิสาหกิจซึ่งสมาคมได้เลือกจากสมาชิกมีจำนวนเท่ากับจำนวน ผู้แทนฝ่ายบริหารเป็นกรรมการ ในกรณีที่ไม่มีสมาคมในรัฐวิสาหกิจใด หรือในระหว่างที่สมาคมต้องเลิกไปตามมาตรา 39 ให้ คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจนั้นแต่งตั้งพนักงานจำนวนเท่ากับจำนวนผู้แทนฝ่ายบริหารเข้าร่วมเป็น กรรมการ
มาตรา 15 กรรมการกิจการสัมพันธ์อยู่ในตำแหน่งคราวละสองปี แต่อาจได้รับแต่งตั้งใหม่อีกได้ ทั้งนี้ต้องไม่เกินสองคราวติดต่อกัน
มาตรา 16 นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา 15 กรรมการกิจการสัมพันธ์ พ้นจากตำแหน่งเมื่อ (1) ตาย (2) ลาออก (3) เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ (4) พ้นจากการเป็นฝ่ายบริหาร สมาชิกสมาคมหรือพนักงาน (5) พ้นจากการเป็นผู้แทนของฝ่ายบริหาร ผู้แทนของสมาคม หรือผู้แทนพนักงานแล้วแต่กรณี (6) ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้ กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ เมื่อกรรมการกิจการสัมพันธ์พ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ ให้มีการแต่งตั้งกรรมการกิจการสัมพันธ์ แทนตำแหน่งที่ว่าง ให้กรรมการผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระของกรรมการซึ่งตนแทน
มาตรา 17 ให้คณะกรรมการกิจการสัมพันธ์ประชุมอย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้ง หรือเมื่อ กรรมการกิจการสัมพันธ์ไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามร้องขอ
มาตรา 18 ให้คณะกรรมการกิจการสัมพันธ์มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (1) ปรึกษาหารือเพื่อเสนอให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจจัดให้มีหรือปรับปรุงระเบียบข้อบังคับ ในการทำงานอันเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายบริหารและพนักงาน (2) พิจารณาคำร้องทุกข์ของพนักงานหรือของสมาคมเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ตามหลักเกณฑ์ที่ กำหนดในข้อบังคับของรัฐวิสาหกิจนั้น (3) พิจารณาข้อเสนอของสมาคมเพื่อปรับปรุงสิทธิประโยชน์ของพนักงาน ในการพิจารณาข้อเสนอตาม (3) ให้คณะกรรมการกิจการสัมพันธ์คำนึงถึงฐานะ ความรับผิดชอบ และความสามารถของรัฐวิสาหกิจตลอดจนผลกระทบต่อการบริการประชาชน และถ้าข้อเสนอนั้น เกี่ยวกับการเงิน ให้คณะกรรมการกิจการสัมพันธ์เสนอผลการพิจารณาต่อคณะกรรมการเพื่อ พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน ให้คณะกรรมการกิจการสัมพันธ์เสนอผลการพิจารณาคำร้องทุกข์ของพนักงานตาม (2) หรือ ข้อเสนอของสมาคมตาม (3) ต่อผู้บังคับบัญชาของรัฐวิสาหกิจและกระทรวงเจ้าสังกัดเพื่อดำเนินการต่อไป ผู้ร้องหรือสมาคมซึ่งไม่พอใจผลการพิจารณาคำร้องทุกข์ตาม (2) หรือข้อเสนอเกี่ยวกับสิทธิ ประโยชน์อันไม่เกี่ยวกับการเงินตาม (3) ของคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์ แล้วแต่กรณี มีสิทธิ อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการได้ภายในสิบห้าวันนับแต่วันทราบผลการพิจารณา ให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์และแจ้งผลให้ทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือ อุทธรณ์ คำวินิจฉัยชี้ขาดหรือการให้ หรือการไม่ให้ความเห็นชอบของคณะกรรมการให้เป็นที่สุด ให้ ฝ่ายบริหารและพนักงานปฏิบัติตามคำวินิจฉัยดังกล่าว พนักงานหรือสมาคมจะยื่นคำร้องทุกข์หรือข้อเสนอที่ได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดแล้วในปีงบประมาณ เดียวกันนั้นอีกไม่ได้
มาตรา 19 ไม่ว่าในกรณีใดห้ามมิให้พนักงานนัดหยุดงานหรือดำเนินการใด ๆ ในลักษณะที่เป็น การนัดหยุดงาน
มาตรา 20 ห้ามมิให้ฝ่ายบริหารเลิกจ้าง หรือโยกย้ายพนักงานเพราะเหตุที่พนักงานได้ดำเนิน การขอจัดตั้งสมาคม หรือเข้าเป็นสมาชิกหรือกรรมการสมาคม กรรมการกิจการสัมพันธ์ หรือกรรมการ รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ หรือดำเนินการฟ้องร้อง เป็นพยาน หรือให้หลักฐาน ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ นายทะเบียน หรือคณะกรรมการ เว้นแต่เป็นการฟ้องร้องเท็จเป็นพยานเท็จ หรือให้หลักฐานเท็จ พนักงานผู้ได้รับความเสียหายตามวรรคหนึ่งอาจยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการได้ภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่ได้รับความเสียหาย ในคณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดและออกคำสั่งภายในเก้าสิบวันนั้นแต่วันที่ได้รับคำร้อง และให้ฝ่ายบริหารและพนักงานปฏิบัติตามคำชี้ขาดต่อไป
มาตรา 21 สมาคมพนักงานรัฐวิสาหกิจจะขึ้นได้ก็แต่โดยอาศัยอำนาจตามบทแห่งพระราชบัญญัติ นี้ และมีวัตถุที่ประสงค์เพื่อ (1) ส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างพนักงานกับฝ่ายบริหาร และระหว่างพนักงานด้วยกัน (2) พิจารณาช่วยเหลือพนักงานตามคำร้องทุกข์เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ (3) พิทักษ์และคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของพนักงาน ให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งมีสมาคมพนักงานรัฐวิสาหกิจได้เพียงสมาคมเดียว
มาตรา 22 สมาคมต้องมีสมาชิกไม่น้อยกว่าร้อยละสามสิบของพนักงานทั้งหมด มีข้อบังคับและ ต้องจดทะเบียนต่อนายทะเบียน เมื่อได้จดทะเบียนแล้วให้สมาคมเป็นนิติบุคคล
มาตรา 23 ผู้มีสิทธิจัดตั้งสมาคมต้องเป็นพนักงานในรัฐวิสาหกิจเดียวกัน บรรลุนิติภาวะ และ มีสัญชาติไทย
มาตรา 24 การขอจดทะเบียนสมาคม ให้พนักงานผู้มีสิทธิจัดตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าสิบคนเป็นผู้ เริ่มก่อการ ยื่นคำขอเป็นหนังสือตามแบบที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดต่อนายทะเบียน พร้อมด้วย ร่างข้อบังคับของสมาคมอย่างน้อยสามฉบับ และบัญชีรายชื่อและลายมือชื่อของผู้แสดงความจำนงเข้า เป็นสมาชิกสมาคมไม่น้อยกว่าร้อยละสิบของพนักงานทั้งหมด เมื่อนายทะเบียนรับคำขอจดทะเบียนสมาคมแล้ว ให้นายทะเบียนปิดประกาศโดยเปิดเผย ณ สถานที่ทำงานในรัฐวิสาหกิจของพนักงานผู้เริ่มก่อการนั้น เพื่อให้พนักงานทั้งหมดทราบ
มาตรา 25 ข้อบังคับของสมาคมต้องมีข้อความดังต่อไปนี้ (1) ชื่อ ซึ่งต้องมีคำว่า "สมาคมพนักงานรัฐวิสาหกิจ" กำกับไว้หน้าชื่อนั้นด้วย (2) วัตถุที่ประสงค์ (3) ที่ตั้งสำนักงาน (4) วิธีรับสมาชิกและการขาดจากสมาชิกภาพ (5) อัตราเงินค่าสมัครและค่าบำรุงและวิธีการชำระเงิน (6) ข้อกำหนดเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของสมาชิก (7)ข้อกำหนดเกี่ยวกับการจัดการ การใช้จ่าย การเก็บรักษาเงิน และทรัพย์สินอื่น ตลอดจนการทำบัญชีและการตรวจบัญชี (8) ข้อกำหนดเกี่ยวกับการประชุมใหญ่ (9)ข้อกำหนดเกี่ยวกับจำนวนกรรมการสมาคมซึ่งอย่างมากต้องไม่เกินสามสิบคน การเลือก ตั้งกรรมการสมาคม วาระของการเป็นกรรมการสมาคม ซึ่งจะกำหนดให้นายกสมาคมอยู่ในตำแหน่ง เกินสองคราวติดต่อกันไม่ได้ การพ้นจากตำแหน่งของกรรมการสมาคมและการประชุมของ คณะกรรมการสมาคม
มาตรา 26 เมื่อนายทะเบียนได้รับคำขอจดทะเบียนสมาคมและตรวจสอบแล้วเห็นว่า วัตถุที่ ประสงค์ถูกต้องตามขอบเขตของมาตรา 21 และไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี ของประชาชน ผู้ยื่นคำขอมีคุณสมบัติถูกต้องตามมาตรา 23 คำขอดังกล่าวมีข้อความตลอดจน เอกสารหลักฐานครบถ้วนถูกต้องตามมาตรา 24 และข้อบังคับถูกต้องตามมาตรา 25 มีลายมือชื่อ ผู้แสดงความจำนงเข้าเป็นสมาชิกสมาคมเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละสามสิบของพนักงานทั้งหมด และยังไม่มีการจดทะเบียนสมาคมขึ้นในรัฐวิสาหกิจนั้น ให้นายทะเบียนรับจดทะเบียนและออก ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนสมาคมแก่ผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนดังกล่าวทันที คำขอจดทะเบียนรายใดมีข้อความตลอดจนเอกสารหลักฐานไม่ครบถ้วนถูกต้องอย่างใด อย่างหนึ่งหรือมีผู้แสดงความจำนงเข้าเป็นสมาชิกสมาคมไม่ถึงร้อยละสามสิบของพนักงานทั้งหมด ตามวรรคหนึ่งให้ผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนรายดังกล่าวดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมให้ถูกต้องครบถ้วน ภายในกำหนดเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่นายทะเบียนมีหนังสือแจ้งให้ทราบ ถ้าผู้ยื่นคำขอจดทะเบียน ไม่ดำเนินการดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลานั้น ให้ถือว่าคำขอจดทะเบียนสมาคมราย ดังกล่าวเป็นอันตกไป กรณีมีผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนสมาคมเกินกว่าหนึ่งราย หากคำขอจดทะเบียนรายใดมีข้อความ และเอกสารหลักฐานครบถ้วนถูกต้องตลอดจนมีจำนวนผู้แสดงความจำนงเข้าเป็นสมาชิกสมาคมถึง ร้อยละสามสิบของพนักงานทั้งหมดตามวรรคหนึ่งเป็นลำดับแรกให้นายทะเบียนรับจดทะเบียนและ ออกใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนแก่ผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนรายนั้นก่อน ถ้ามีคำขอจดทะเบียน สมาคมที่มีเอกสารหลักฐานครบถ้วนถูกต้องตลอดจนมีผู้แสดงความจำนงเข้าเป็นสมาชิกสมาคมถึง ร้อยละสามสิบของพนักงานทั้งหมดตามวรรคหนึ่งพร้อมกันตั้งแต่สองรายขึ้นไป ให้นายทะเบียน ดำเนินการให้ผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนแต่ละรายมาร่วมพิจารณาทำความตกลงเพื่อรวมคำขอ จดทะเบียนนั้น ๆ ให้เป็นคำขอเดียวกัน ถ้าไม่สามารถตกลงกันได้ ให้รับจดทะเบียนและออก ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนแก่ผู้ยื่นคำขอจดทะเบียน รายที่มีจำนวนรายชื่อผู้แสดงความจำนง เข้าเป็นสมาชิกสมาคมมากที่สุด ผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งไม่รับจดทะเบียนต่อรัฐมนตรีโดยทำเป็นหนังสือยื่นต่อ นายทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งดังกล่าว ให้รัฐมนตรีวินิจฉัยอุทธรณ์และแจ้งให้ผู้อุทธรณ์ทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือ อุทธรณ์ คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของรัฐมนตรีให้เป็นที่สุด
มาตรา 27 ให้นายทะเบียนประกาศการจดทะเบียนสมาคมในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา 28 ให้ผู้เริ่มก่อการจัดตั้งสมาคม จัดให้มีการประชุมใหญ่สามัญครั้งแรกภายในหนึ่ง ร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่จดทะเบียน เพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการสมาคมและมอบหมายการทั้งปวงให้ แก่คณะกรรมการสมาคม และอนุมัติว่าข้อบังคับที่ได้ยื่นแก่นายทะเบียนตามมาตรา 26 เมื่อที่ประชุมใหญ่ได้เลือกตั้งคณะกรรมการสมาคม และอนุมัติร่างข้อบังคับแล้ว ให้นำสำเนา ข้อบังคับและรายชื่อ ที่อยู่ อาชีพหรือวิชาชีพของกรรมการสมาคมไปจดทะเบียนภายในสิบสี่วัน นับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่ลงมติ การประชุมใหญ่ไม่ว่ากรณีใด ๆ ให้กระทำได้เฉพาะในวันที่เป็นวันหยุดราชการหรือวันหยุด ตามประเพณี
มาตรา 29 การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของสมาคมและการเปลี่ยนแปลงกรรมการสมาคมจะ กระทำโดยมติของที่ประชุมใหญ่ และต้องนำไปจดทะเบียนภายในสิบสี่วันนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่ ลงมติ การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับและการเปลี่ยนแปลงกรรมการสมาคมตามวรรคหนึ่งจะมีผลใช้บังคับ ต่อเมื่อนายทะเบียนได้รับจดทะเบียนแล้ว ให้นำมาตรา 26 มาใช้บังคับแก่การขอแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับโดยอนุโลม
มาตรา 30 ผู้ซึ่งจะเป็นสมาชิกของสมาคมในรัฐวิสาหกิจใด จะต้องเป็นพนักงานใน รัฐวิสาหกิจนั้น และต้องไม่เป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานใด ๆ
มาตรา 31 สมาชิกของสมาคมมีสิทธิขอตรวจสอบทะเบียนสมาชิก เอกสารหรือบัญชี เพื่อ ทราบการดำเนินกิจการของสมาคมได้ในเวลาเปิดทำการ ในการขอตรวจสอบตามวรรคหนึ่ง เจ้าหน้าที่ของสมาคมต้องให้ความสะดวกตามสมควร
มาตรา 32 สมาชิกภาพของสมาชิกสมาคมสิ้นสุดเมื่อ ตาย ลาออก ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะ ต้องห้ามตามมาตรา 30 หรือมีเหตุอื่นตามที่กำหนดให้ข้อบังคับของสมาคม
มาตรา 33 เพื่อประโยชน์ของสมาชิกของสมาคม ให้สมาคมมีอำนาจหน้าที่ต่อไปนี้ (1) ยื่นข้อเสนอต่อคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์แทนสมาชิก (2) ยื่นคำร้องทุกข์เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ต่อคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์แทนสมาชิก (3) ตั้งผู้แทนเข้าร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์ (4) จัดให้มีการให้บริการเพื่อสวัสดิการของสมาชิกหรือจัดสรรเงินหรือทรัพย์สินหรือเพื่อ สาธารณประโยชน์ ทั้งนี้ ตามที่ที่ประชุมใหญ่เห็นสมควร (5) เรียกเก็บเงินค่าสมัครเป็นสมาชิกและเงินค่าบำรุงตามอัตราที่กำหนดในข้อบังคับ ของสมาคม (6) ดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุที่ประสงค์ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 21
มาตรา 34 ให้สมาคมมีคณะกรรมการสมาคมเป็นผู้ดำเนินกิจการและเป็นผู้แทนของสมาคมใน กิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก เพื่อการนี้คณะกรรมการสมาคมจะมอบหมายให้กรรมการคนหนึ่งหรือ หลายคนทำแทนก็ได้ คณะกรรมการสมาคมอาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการสมาคมเพื่อปฏิบัติงานตามที่มอบหมายได้
มาตรา 35 ผู้ซึ่งจะได้รับเลือกตั้งหรือแต่งตั้งเป็นกรรมการสมาคมหรืออนุกรรมการสมาคม 34 ต้องเป็นสมาชิกของสมาคมนั้นและไม่เป็นผู้ซึ่งนายทะเบียนสั่งให้ออกจากตำแหน่งกรรมการสมาคม ภายในระยะเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่นายทะเบียนสั่งให้ออกจากตำแหน่ง
มาตรา 36 สมาคมจะกระทำการดังต่อไปนี้ได้ก็แต่โดยมติของที่ประชุมใหญ่ (1) แก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับ (2) เลือกตั้งกรรมการสมาคม เลือกตั้งผู้สอบบัญชี รับรองงบดุล รายงานประจำปี และ งบประมาณ (3) จัดให้มีการให้บริการเพื่อสวัสดิการของสมาชิกหรือจัดสรรเงินหรือทรัพย์สินเพื่อ สาธารณประโยชน์ (4) รับเงินช่วยเหลือจากบุคคลหรือนิติบุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทย (5) เลิกสมาคม
มาตรา 37 สมาคมต้องจัดให้มีทะเบียนสมาชิกตามแบบที่รัฐมนตรีกำหนดและเก็บรักษาไว้ที่สำนัก งานพร้อมที่จะให้ตรวจสอบได้ในเวลาทำการ ให้สมาคมประกาศวันและเวลาเปิดทำการไว้ที่สำนักงาน
มาตรา 38 ให้นายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายมีอำนาจดังต่อไปนี้ (1) เข้าไปในสำนักงานของสมาคมในเวลาทำการ เพื่อตรวจสอบกิจการของสมาคม (2)สั่งให้กรรมการสมาคม อนุกรรมการสมาคมและเจ้าหน้าที่ของสมาคมส่งหรือแสดง เอกสารหรือบัญชีของสมาคมเพื่อประกอบการพิจารณากรณีที่มีปัญหาเกิดขึ้น (3) สอบถามบุคคลใน (2) หรือเรียนบุคคลดังกล่าวมาเพื่อสอบถามหรือให้ชี้แจงข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการดำเนินกิจการของสมาคม
มาตรา 39 สมาคมย่อมเลิกด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง ดังต่อไปนี้ (1) ถ้ามีข้อบังคับของสมาคมกำหนดให้เลิกในกรณีใด เมื่อมีกรณีนั้น (2) เมื่อที่ประชุมใหญ่มีมติให้เลิก (3) เมื่อมีจำนวนสมาชิกน้อยกว่าร้อยละสิบของจำนวนพนักงานทั้งหมด (4) เมื่อนายทะเบียนมีคำสั่งให้ยกเลิกเนื่องจากสมาคมกระทำการอันเป็นการขัดต่อ กฎหมายหรือความสงบเรียนร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเป็นภัยต่อเศรษฐกิจหรือ ความมั่นคงของประเทศ (5) เมื่อล้มละลาย
มาตรา 40 นายทะเบียนมีอำนาจสั่งให้กรรมการสมาคมผู้ใดผู้หนึ่ง หรือคณะกรรมการสมาคม ออกจากตำแหน่งได้ เมื่อปรากฏว่า (1) กระทำการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นการขัดขวางการปฏิบัติงานตามหน้าที่ของ คณะกรรมการ คณะอนุกรรมการนายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่ (2) ดำเนินกิจการไม่ถูกต้องตามวัตถุที่ประสงค์ของสมาคมอันเป็นการขัดต่อกฎหมายหรือ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรืออาจเป็นภัยแก่เศรษฐกิจหรือความมั่นคง ของประเทศ หรือ (3) ให้หรือยินยอมให้ผู้ใดผู้หนึ่งซึ่งมิใช่กรรมการสมาคมเป็นผู้ดำเนินกิจการของสมาคม คำสั่งตามวรรคหนึ่ง ให้ทำเป็นหนังสือและแจ้งให้ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องและสมาคมทราบโดยมิชักช้า เมื่อนายทะเบียนสั่งให้ออกจากตำแหน่งตามมาตรานี้แล้ว ให้แจ้งผู้บังคับบัญชาของพนักงานซึ่ง เป็นกรรมการนั้นเพื่อดำเนินการลงโทษทางวินัยต่อไป
มาตรา 41 ผู้ซึ่งได้รับคำสั่งให้ออกจากตำแหน่งกรรมการสมาคมตามมาตรา 40 มีสิทธิอุทธรณ์ คำสั่งนั้นต่อคณะกรรมการ โดยทำเป็นหนังสือยื่นต่อนายทะเบียนภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับคำสั่ง ให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์และแจ้งให้ผู้อุทธรณ์ทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับ หนังสืออุทธรณ์ คำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการให้เป็นที่สุด
มาตรา 42 สมาคมต้องจัดให้มีการตรวจสอบบัญชี และต้องเสนองบดุลพร้อมด้วยรายงาน การสอบบัญชีของผู้สอบบัญชีต่อที่ประชุมใหญ่ เมื่อที่ประชุมใหญ่รับรองงบดุลและรายงานการสอบบัญชีแล้ว ให้ส่งสำเนาหนึ่งชุดให้แก่นายทะเบียน ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่มีมติรับรอง
มาตรา 43 ให้จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ขึ้นในกรมแรงงาน กระทรวงมหาดไทย มีอำนาจหน้าที่ต่อไปนี้ (1) ปฏิบัติงานธุรการของคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการตามพระราชบัญญัตินี้ (2) เก็บ รวมรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ของพนักงาน (3) ดำเนินการเป็นไปตามมติของคณะกรรมการ (4) ปฏิบัติหน้าที่ตามที่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการมอบหมาย
มาตรา 44 ผู้ใดไม่อำนวยความสะดวกขัดขวาง ไม่ตอบหนังสือสอบถาม ไม่ชี้แจงข้อเท็จจริง หรือไม่ส่งสิ่งของหรือเอกสารที่เกี่ยวข้องแก่กรรมการหรืออนุกรรมการตามมาตรา 13 หรือ นายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายตามมาตรา 38 ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 45 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 19 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสอง หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ผู้ใดยุยงส่งเสริมหรือสนับสนุนการกระทำผิดตามวรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษเป็นสองเท่าของ โทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
มาตรา 46 ผู้ใดดำเนินกิจการใด ๆ ในรัฐวิสาหกิจในลักษณะหรือทำนองเดียวกันกับสมาคม โดยยังไม่ได้จดทะเบียนตามมาตรา 26 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกิน หนึ่งพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 47 ผู้เริ่มก่อการจัดตั้งสมาคมผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 28 หรือกรรมการสมาคมผู้ใด ไม่ปฏิบัติตามมาตรา 29 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินวันละห้าสิบบาทตลอดระยะเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่
มาตรา 48 สมาคมใดรับบุคคลเข้าเป็นสมาชิกโดยฝ่าฝืนมาตรา 30 ต้องระวางโทษปรับไม่ เกินหนึ่งพันบาท
มาตรา 49 สมาคมใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 37 หรือมาตรา 42 ต้องระวางโทษปรับ ไม่เกินสองพันบาท กรรมการสมาคมผู้ใดรู้เห็นเป็นใจให้สมาคมกระทำการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 37 หรือ มาตรา 42 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 50 ผู้ใดใช้ชื่อมีอักษรไทยประกอบว่า "สมาคมพนักงานรัฐวิสาหกิจ" หรืออักษร ต่างประเทศซึ่งมีความหมายทำนองเดียวกันประกอบในป้ายชื่อ ดวงตรา จดหมาย ใบแจ้งความ หรือเอกสารอย่างอื่นเกี่ยวกับกิจการธุรกิจโดยมิได้เป็นสมาคม ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพัน บาท และปรับอีกเป็นรายวันไม่เกินวันละห้าสิบบาท จนกว่าจะเลิกใช้
มาตรา 51 เมื่อสมาคมได้เลิกตามพระราชบัญญัตินี้ กรรมการหรืออนุกรรมการสมาคมผู้ใด ขัดขวางการดำเนินการของผู้ชำระบัญชี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกิน หนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 52 ผู้ใดยังคงดำเนินกิจการของสมาคมซึ่งได้เลิกไปแล้วตามพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่ การชำระบัญชีของสมาคม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 53 ในระหว่างที่ยังไม่มีการจัดตั้งสมาคมตามพระราชบัญญัตินี้ถึงห้าสมาคม ผู้แทน พนักงานตามมาตรา 6 ให้แต่งตั้งจากพนักงานที่รัฐมนตรีเห็นสมควร และให้พนักงานที่ได้รับ แต่งตั้งดังกล่าวอยู่ในตำแหน่งกรรมการจนกว่าจะสามารถแต่งตั้งกรรมการตามมาตรา 6 วรรคสองได้ ซึ่งต้องกระทำภายในสิบห้าวันนับแต่มีการจัดตั้งสมาคมตามพระราชบัญญัตินี้ถึงห้า สมาคม
มาตรา 54 บรรดาคำร้องกล่าวหา ข้อเรียกร้องเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ข้อพิพาทแรงงาน ของฝ่ายบริหารหรือพนักงาน ซึ่งยังไม่ถึงที่สุดตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ในวันที่ พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้ผู้ยื่นคำร้องกล่าวหา ผู้แจ้งข้อเรียกร้อง หรือรัฐวิสาหกิจนั้นนำเรื่อง เข้าสู่การชี้ขาดของคณะกรรมการภายในกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ บรรดาข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง คำชี้ขาดของผู้ชี้ขาดข้อพิพาทแรงงาน หรือคำวินิจฉัย คำชี้ขาด หรือคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ถึงที่สุดแล้วตามกฎหมายว่าด้วย แรงงานสัมพันธ์ ซึ่งมีอย่างก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ยังคงใช้บังคับต่อไป
มาตรา 55 บรรดาสหภาพแรงงานของรัฐวิสาหกิจซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วย แรงงานสัมพันธ์ ให้เป็นอันสิ้นสุดลง เว้นแต่การดำเนินการเพื่อการชำระบัญชี เมื่อชำระบัญชีแล้ว ถ้ามีทรัพย์สินเหลืออยู่ให้โอนทรัพย์สินนั้นให้แก่สมาคมที่จัดตั้งขึ้นตาม พระราชบัญญัตินี้ในรัฐวิสาหกิจนั้น ถ้าการโอนทรัพย์สินดังกล่าวไม่อาจกระทำให้แล้วเสร็จได้ ภายในหนึ่งปีนับแต่เสร็จสิ้นการชำระบัญชี ให้โอนทรัพย์สินนั้นให้แก่นิติบุคคลอื่นตามที่ได้ระบุไว้ใน ข้อบังคับของสหภาพแรงงานนั้น ๆ ถ้าไม่มีข้อบังคับหรือในข้อบังคับมิได้ ระบุให้โอนทรัพย์สินที่ เหลือนั้นให้แก่นิติบุคคลใด ให้ดำเนินการโอนทรัพย์สินนั้นให้แก่สภากาชาดไทย
มาตรา 56 คณะกรรมการสหภาพแรงงานและคณะกรรมการลูกจ้างในรัฐวิสาหกิจซึ่งตั้งขึ้น ตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ให้เป็นอันสิ้นสุดลง ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ อานันท์ ปันยารชุน นายกรัฐมนตรี |
หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่รัฐวิสาหกิจเป็นกิจการ ของรัฐที่จัดตั้งขึ้นเพื่ออำนวยประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน และมีหลายรัฐวิสาหกิจที่ ดำเนินกิจการสาธารณูปโภคและสาธารณูปการแก่ประชาชน มีความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานกับรัฐ ตลอดจนการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ แตกต่างจากความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างในกิจ การของเอกชน สมควรมีกฎหมายกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานรัฐวิสาหกิจกับรัฐการจัดตั้ง สมาคมพนักงานรัฐวิสาหกิจตลอดจนหลักเกณฑ์และวิธีการยื่นข้อเสนอและข้อร้องทุกข์ องค์กรที่ทำ หน้าที่พิจารณาและชี้ขาดข้อเสนอเป็นการเฉพาะแตกต่างไปจากกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ที่ บังคับใช้ระหว่างนายจ้างและลูกจ้างในองค์กรของเอกชน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ (ร.จ. เล่ม 108 ตอนที่ 69 หน้า 1 วันที่ 18 เมษายน 2534) |