พระราชบัญญัติ องค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย พ.ศ. 2533 |
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2533 เป็นปีที่ 45 ในรัชกาลปัจจุบัน |
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยองค์กรร่วมไทย มาเลเซีย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของ รัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติองค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย พ.ศ. 2533"
มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้น ไป
มาตรา 3 บรรดาบทกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับอื่นใดในส่วนที่บัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัตินี้ หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้แทน
มาตรา 4 ในพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่ข้อความจะแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น "บันทึกความเข้าใจ ค.ศ. 1979 (พ.ศ. 2522)" หมายความว่า บันทึก ความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทยและมาเลเซียเกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กรร่วมเพื่อแสวง ประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นดินใต้ทะเลในบริเวณที่กำหนดของไหล่ทวีปของประเทศทั้งสองใน อ่าวไทย ฉบับลงนามวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1979 (พ.ศ. 2522) "ความตกลง" หมายความว่า ความตกลงว่าด้วยธรรมนูญและเรื่องอื่น ๆ ที่ เกี่ยวเนื่องกับการจัดตั้งองค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย ซึ่งได้ลงนามโดยรัฐบาลแห่งราชอาณาจักร ไทยและรัฐบาลแห่งมาเลเซีย เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2533 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย "รัฐบาลทั้งสอง" หมายความว่า รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่ง มาเลเซีย "องค์กรร่วม" หมายความว่า องค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย "กองทุน" หมายความว่า กองทุนองค์กรร่วมไทย - มาเลเซียตามมาตรา 12 "พื้นที่พัฒนาร่วม" หมายความว่า พื้นที่ในบริเวณที่กำหนดของไหล่ทวีปของ ราชอาณาจักรไทยและมาเลเซียในอ่าวไทยตามมาตรา 9 "เส้นแบ่งเขตอำนาจ" หมายความว่า เส้นตรงซึ่งเชื่อมจุดพิกัดดังต่อไปนี้ (เอ) 6 องศา 50.0 ลิปดา เหนือ 102 องศา21.2 ลิปดาตะวันออก (เอ็กซ์) 7 องศา 35.0 ลิปดา เหนือ 103 องศา23.0 ลิปดาตะวันออก ซึ่งแบ่งเขตอำนาจทางแพ่งและทางอาญาในพื้นที่พัฒนาร่วม "ทรัพยากรธรรมชาติ" หมายความว่า ทรัพยากรธรรมชาติใด ๆ ที่ไม่มีชีวิต รวมทั้ง แร่ น้ำมันแร่ดิบ และโลหะใด ๆ "ปิโตรเลียม" หมายความว่า น้ำมันแร่ดิบใด ๆ หรือไฮโดรคาร์บอนอื่นใดและ ก๊าซธรรมชาติซึ่งอยู่ในสภาพอันเป็นธรรมชาติและก๊าซธรรมชาติเหลวที่ปากหลุม รวมทั้งหินบิทูเมน และทรัพยากรอื่นที่สะสมอยู่เป็นชั้น ๆ ซึ่งสามารถจะสกัดน้ำมันออกมาได้ "รัฐมนตรี" หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา 5 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และ ให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่กับออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้
มาตรา 6 ให้จัดตั้งองค์กรขึ้นองค์กรหนึ่ง เรียกว่า "องค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย" ให้องค์กรร่วมเป็นนิติบุคคล และมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรไทยและมาเลเซีย ภายใต้บังคับและเพื่อวัตถุประสงค์แห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้องค์กรร่วมมีอำนาจทำ สัญญา ได้มา ซื้อ รับเอา ถือเอาประโยชน์ซึ่งสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ทุกรูปแบบ ยกเว้นการถือกรรมสิทธิ์ในที่ดิน และมีอำนาจ โอนสิทธิ มอบ คืน ก่อให้เกิดภาระติดพัน จำนอง มอบช่วง โอน หรือจำหน่าย โดยวิธีอื่นใด หรือจัดการเกี่ยวกับสังหาริมทรัพย์และ อสังหาริมทรัพย์ใดๆ หรือผลประโยชน์ใดๆในทรัพย์สินดังกล่าว ซึ่งเป็นองค์กรร่วม ทั้งนี้ ตาม ข้อกำหนดที่องค์กรร่วมจะเห็นสมควร
มาตรา 7 ให้องค์กรร่วมมีอำนาจและปฏิบัติหน้าที่ตามที่จำเป็นสำหรับการดำเนินงาน ตามหน้าที่ของตน และสำหรับการใช้สิทธิและเอกสิทธิ์ของตนภายใต้และเท่าที่ไม่ขัดต่อ พระราชบัญญัตินี้
มาตรา 8 โดยผลแห่งพระราชบัญญัตินี้ องค์กรร่วมได้รับมอบอำนาจและเข้าถือเอาซึ่งสิทธิแต่ ผู้เดียว อำนาจ ความเป็นอิสระและเอกสิทธิ์ในการสำรวจและแสวงประโยชน์จาก ทรัพยากรธรรมชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปิโตรเลียม ในพื้นที่พัฒนาร่วม
มาตรา 9 พื้นที่พัฒนาร่วม คือ บริเวณที่กำหนดขอบเขตโดยเส้นตรงซึ่งเชื่อมจุดพิกัด ดัง ต่อไปนี้ (เอ) 6 องศา 50.0 ลิปดา เหนือ 102 องศา 21.2 ลิปดา ตะวันออก (บี) 7 องศา 10.25 ลิปดา เหนือ 102 องศา 29.0 ลิปดา ตะวันออก (ซี) 7 องศา 49.0 ลิปดา เหนือ 103 องศา 02.5 ลิปดา ตะวันออก (ดี) 7 องศา 22.0 ลิปดา เหนือ 103 องศา 42.5 ลิปดา ตะวันออก (อี) 7 องศา 20.0 ลิปดา เหนือ 103 องศา 39.0 ลิปดา ตะวันออก (เอฟ) 7 องศา 03.0 ลิปดา เหนือ 103 องศา 06.0 ลิปดา ตะวันออก (จี) 6 องศา 53.0 ลิปดา เหนือ 102 องศา 34.0 ลิปดา ตะวันออก และแสดงไว้ในส่วนที่เกี่ยวข้องของแผนที่เดินเรืออังกฤษ เลขที่ 2414 ฉบับ ค.ศ. 1967 (พ.ศ. 2510) ดังปรากฎในแผนที่ท้ายพระราชบัญญัตินี้
มาตรา 10 ให้องค์กรร่วมชำระค่าภาคหลวงแก่รัฐบาลทั้งสองแต่ละฝ่ายในอัตราฝ่ายละ ร้อยละห้าของผลผลิตรวมของปิโตรเลียมตามวิธีการและเวลาที่กำหนดโดยกฎกระทรวง
มาตรา 11 ค่าใช้จ่ายทั้งปวงที่เกิดขึ้นและผลประโยชน์ที่องค์กรร่วมได้รับจากกิจกรรมที่ ดำเนินไปในพื้นที่พัฒนาร่วม รัฐบาลทั้งสองจะรับภาระและแบ่งปันเท่า ๆ กัน ในระหว่างที่องค์กรร่วมยังไม่มีรายได้เพียงพอที่จะใช้เป็นค่าใช้จ่ายประจำปีใน การดำเนินกิจการรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยจะชำระเงินเข้ากองทุนเป็นรายปีตามที่จะกำหนด ตามความตกลง ทั้งนี้ตามจำนวนเงินที่เท่ากันกับจำนวนเงินที่รัฐแห่งมาเลเซียจะชำระด้วย
มาตรา 12 เพื่อวัตถุประสงค์แห่งพระราชบัญญัตินี้และความตกลง ให้จัดตั้งกองทุนขึ้นกองทุน หนึ่ง เรียกว่า "กองทุนองค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย" โดยให้องค์กรร่วมเป็นผู้บริหารและ ควบคุม สินทรัพย์ของกองทุนประกอบด้วย (1) เงินอุดหนุนที่ได้จากรัฐบาลทั้งสองตามความตกลงและตามมาตรา 11 วรรคสอง (2) เงินที่ได้จากการดำเนินโครงการ แผนงานหรือกิจการลงทุนใด ๆ ที่ใช้เงิน กองทุน (3) เงินที่ได้จากหรือเกิดจากทรัพย์สิน การลงทุนการจำนองหรือค่าภาระใด ๆ ที่ได้มาหรือตกเป็นขององค์กรร่วม (4) เงินที่องค์กรร่วมยืมมาเพื่อปฏิบัติตามพันธะกรณี หรือเพื่อปฏิบัติหน้าที่ใด ๆ และ (5) เงินหรือทรัพย์สินอื่นใดที่จะพึงชำระให้แก่หรือตกเป็นขององค์กรร่วมไม่ว่า ด้วยวิธีใดและในเรื่องใดที่เกี่ยวเนื่องกับอำนาจและหน้าที่ขององค์กรร่วม
มาตรา 13 กองทุนสามารถนำไปใช้เพื่อ (1) เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการที่องค์กรร่วมปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจตาม บทบัญญัติว่าด้วยงบประมาณที่ได้รับความเห็นชอบแล้ว และภายใต้บังคับแห่งกฎกระทรวงที่ออกตาม มาตรา 18 (2) ชำระเงินใด ๆ ที่องค์กรร่วมยืมมาตามมาตรา 15 วรรคหนึ่ง (3) รวมทั้งดอกเบี้ยและค่าภาระอื่น ๆ อันเป็นผลจากการยืมนั้น (3) การลงทุนตามที่องค์กรร่วมจะตัดสินใจทำ โดยต้องได้รับความเห็นชอบจาก รัฐบาลทั้งสอง และ (4) การชำระเงินในจำนวนเท่า ๆ กันให้แก่รัฐบาลทั้งสอง จากรายได้ซึ่ง องค์กรร่วมได้รับหลังจากได้หักค่าใช้จ่ายตาม (1) และ (2) รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตามที่ รัฐบาลทั้งสองจะได้ตกลงกันทั้งนี้ ภายใต้บังคับมาตรา 14
มาตรา 14 ให้องค์กรร่วมตั้งและจัดการทุนสำรองในกองทุนตามข้อกำหนดและเงื่อนไขที่ รัฐบาลทั้งสองจะได้ร่วมกันกำหนดขึ้น
มาตรา 15 การกระทำดังต่อไปนี้ องค์กรร่วมจะกระทำมิได้เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบ จากรัฐบาลทั้งสองก่อน (1) ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่บริษัท คณะบุคคล หรือบุคคลใด ๆ โดย เข้าถือหุ้นหรือซื้อหุ้นกู้ หรือโดยวิธีให้กู้ทดลองจ่าย ให้เงินช่วยเหลือหรือโดยวิธีอื่น (2) ซื้อ จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหรือทำให้ได้มาโดยวิธีอื่นใด ซึ่ง หุ้นประเภทใด ๆ ในบริษัทมหาชนหรือบริษัทเอกชน หรือ (3) ยืมเงิน ค้ำประกันหรือรับจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่เกี่ยวเนื่องกับ ความรับผิดทางการเงิน ในการให้ความเห็นชอบตามวรรคหนึ่ง รัฐบาลทั้งสองจะร่วมกันวางข้อกำหนดและ เงื่อนไขตามที่เห็นสมควรก็ได้
มาตรา 16 บทบัญญัติทั้งหลายในพระราชบัญญัตินี้ไม่ก่อให้เกิดความรับผิดชอบใด ๆ แก่รัฐบาล แห่งราชอาณาจักรไทยหรือรัฐบาลแห่งมาเลเซีย สำหรับความรับผิดใด ๆ ขององค์กรร่วม
มาตรา 17 ไม่ว่าจะมีกฎหมายอื่นใดบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรไว้อย่างไรก็ตาม ห้ามมิให้ผู้ใด นอกจากองค์กรร่วมประกอบธุรกิจการสำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติใด ๆ รวมทั้งปิโตรเลียมในพื้นที่พัฒนาร่วม เว้นแต่จะได้มีการทำสัญญาระหว่างองค์กรร่วมกับผู้นั้นเพื่อ สำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติดังกล่าว สัญญาตามวรรคหนึ่งจะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลทั้งสองก่อน ภายใต้บังคับของวรรคสี่ ในกรณีที่สัญญาตามวรรคหนึ่งเป็นสัญญาเพื่อสำรวจและ แสวงหาประโยชน์จากปิโตรเลียม สัญญานั้นจะต้องเป็นสัญญาแห่งปันผลผลิตและนอกจากเรื่องอื่น ๆ ต้องมีข้อกำหนดและเงื่อนไข ดังต่อไปนี้ด้วย (1) เพื่อวัตถุประสงค์ตามมาตรา 10 ผู้ได้รับสัญญาต้องชำระค่าภาคหลวงเป็น จำนวนร้อยละสิบของผลผลิตรวมของปิโตรเลียมให้แก่องค์กรร่วมตามวิธีการและเวลาที่จะกำหนด ในสัญญา (2) ให้ผู้ได้รับสัญญาใช้อัตราร้อยละห้าสิบของผลผลิตรวมของปิโตรเลียมเพื่อ วัตถุประสงค์ในการหักค่าใช้จ่ายสำหรับการประกอบกิจการปิโตรเลียม (3) ให้ถือว่าส่วนที่เหลือของผลผลิตรวมของปิโตรเลียมหลังจากการหักเพื่อ วัตถุประสงค์ตาม (1) และ (2) แล้วเป็นปิโตรเลียมส่วนที่เป็นกำไร และให้แบ่งให้แก่ องค์กรร่วมและผู้ได้รับสัญญาเท่า ๆ กัน (4) สัญญาจะมีอายุไม่เกินสามสิบห้าปี แต่ต้องไม่เกินอายุของการใช้บังคับของ ความตกลง (5) ให้บรรดาค่าใช้จ่ายทั้งปวงในการประกอบกิจการปิโตรเลียมตกเป็นภาระของ ผู้ได้รับสัญญาและภายใต้บังคับของ (2) ให้หักจากผลผลิตได้ (6) จำนวนเงินขั้นต่ำที่ผู้ได้รับสัญญาต้องใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการประกอบกิจการ ปิโตรเลียมตามสัญญาในฐานะข้อผูกพันขั้นต่ำ ตามที่ตกลงกันระหว่างองค์กรร่วมและผู้ได้รับสัญญา (7) ผู้ได้รับสัญญาต้องชำระเงินบำรุงการวิจัยให้แก่องค์กรร่วมในอัตราร้อยละศูนย์ จุดห้าของจำนวนรวมแห่งส่วนของผลผลิตรวมที่ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการหักค่าใช้จ่ายตาม (2) และส่วนแบ่งของปิโตรเลียมส่วนที่เป็นกำไรของผู้ได้รับสัญญาตาม (3) ตามวิธีการและเวลาที่จะ ได้กำหนดโดยองค์กรร่วม แต่ทั้งนี้ การชำระเงินดังกล่าวจะหักจากผลผลิตมิได้ และ (8) ข้อพิพาทหรือข้อขัดแย้งใด ๆ ซึ่งเกิดจากหรือเกี่ยวเนื่องกับสัญญาซึ่ง ไม่สามารถตกลงกันได้โดยฉันท์มิตร ให้เสนอต่ออนุญาโตตุลาการ ซึ่งมีองค์คณะที่ประกอบด้วย อนุญาโตตุลาการ 3 คน เพื่อชี้ขาด โดยคู่กรณีเป็นผู้ตั้งฝ่ายละหนึ่งคน และให้คู่กรณีร่วมกันตั้งคน ที่สาม หากคู่กรณีไม่อาจตกลงกันได้ในการเลือกอนุญาโตตุลาการคนที่สามภายในระยะเวลาที่ กำหนดไว้ ให้เสนอเรื่องไปยังคณะกรรมาธิการกฎหมายการค้าระหว่างประเทศของ สหประชาชาติ (UNCITRAL) เพื่อตั้งอนุญาโตตุลาการคนที่สาม กระบวนพิจารณาของ อนุญาโตตุลาการให้เป็นไปตามกฎของคณะกรรมาธิการดังกล่าว สถานที่พิจารณาของ อนุญาโตตุลาการให้อยู่ที่กรุงเทพมหานครหรือกรุงกัวลาลัมเปอร์หรือสถานที่อื่นใดตามแต่คู่กรณีจะ ตกลงกัน ให้องค์กรร่วมเปลี่ยนแปลงอัตราตาม (2) (3) และ (7) ของวรรคสามสำหรับ สัญญาใด ๆได้โดยความเห็นชอบของรัฐบาลทั้งสอง ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ดังกล่าวใน สัญญาที่ยังมีผลใช้บังคับอยู่จะกระทำมิได้ เว้นแต่ผู้ได้รับสัญญาจะตกลงยินยอมด้วย เพื่อวัตถุประสงค์แห่งมาตรานี้ "ผลผลิตรวม" เมื่อเกี่ยวกับก๊าซให้หมายถึงรายได้ ทั้งหมดจากการขายก๊าซ
มาตรา 18 รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของรัฐบาลทั้งสองมีอำนาจออกกฎกระทรวงได้ใน เรื่องดังต่อไปนี้ (1) การประกอบการ หรือดำเนินธุรกิจหรือบริการใด ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับ การสำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่พัฒนาร่วม (2) การชำระเงินใด ๆ ที่จะต้องชำระแก่รัฐบาลทั้งสองจากองค์กรร่วมตาม มาตรา 10 และมาตรา 13 (4) (3) ข้อกำหนดและเงื่อนไขในการแต่งตั้ง และการจ่ายค่าตอบแทนค่าเดินทาง และเบี้ยเลี้ยงที่ต้องจ่ายให้แก่ประธานร่วมและสมาชิกอื่นขององค์กรร่วม (4) วิธีการสำหรับยื่นข้อเสนอและตกลงทำสัญญาใด ๆ ที่อาจทำตามมาตรา 17 รวมทั้งข้อกำหนดและเงื่อนไขที่อาจมีในสัญญานั้น ๆ (5) การทำบัญชีและบันทึกหลักฐานอื่น ๆ ที่ถูกต้องของกิจกรรมในเชิงธุรกิจและ กิจการต่างๆขององค์กรร่วม ตามหลักการทำบัญชีอันเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป (6) การจัดทำงบการบัญชีประจำปี และการจัดสรรกำไรตามบทบัญญัติแห่ง พระราชบัญญัตินี้ (7) การสอบบัญชีและการเสนอบัญชีต่อรัฐบาลทั้งสองหลังจากนั้น (8) การจัดทำและการเสนองบประมาณประจำปีต่อรัฐบาลทั้งสอง (9) หลักเกณฑ์และวิธีการสำหรับการสำรวจและแสวงประโยชน์จากปิโตรเลียม ในพื้นที่พัฒนาร่วม และ (10) เรื่องอื่นใดเพื่อวัตถุประสงค์ในอันที่จะทำให้บทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ บังเกิดผล ทั้งนี้ กฎกระทรวงในส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องตาม (1) (4) (5) (6) (7) (8) และ (9) จะออกได้เมื่อได้หารือองค์กรร่วมแล้ว
มาตรา 19 ให้สมาชิก เจ้าหน้าที่ ลูกจ้างและตัวแทนขององค์กรร่วม และพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งตามมาตรา 5 เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 20 ไม่ว่าจะมีกฎหมายอื่นใดบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรไว้อย่างไรก็ตามให้ศาลจังหวัด สงขลา ศาลแพ่ง หรือศาลอาญา มีเขตอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาคดีตามพระราชบัญญัตินี้หรือ ตามกฎกระทรวงใด ๆ ที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้ เพื่อวัตถุประสงค์ในการใช้เขตอำนาจศาลเหนือความผิดใด ๆ ที่ได้กระทำตาม พระราชบัญญัตินี้ หรือกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา 18 ให้นำมาตรา 21 วรรคสอง และมาตรา 21 วรรคหก (2) และ (4) มาใช้บังคับ
มาตรา 21 ภายใต้บังคับวรรคสอง และวรรคสาม ราชอาณาจักรไทยยังคงมีและใช้ เขตอำนาจเหนือพื้นที่พัฒนาร่วมต่อไป เขตอำนาจทางแพ่งและทางอาญาของ (1) ราชอาณาจักรไทยในพื้นที่พัฒนาร่วมคลุมถึงบริเวณที่กำหนดขอบเขตโดย เส้นตรงซึ่งเชื่อมจุดพิกัด ดังต่อไปนี้ (เอ) 6 องศา 50.0 ลิปดา เหนือ 102 องศา 21.2 ลิปดา ตะวันออก (บี) 7 องศา 10.25 ลิปดา เหนือ 102 องศา 29.0 ลิปดา ตะวันออก (ซี) 7 องศา 49.0 ลิปดา เหนือ 103 องศา 02.5 ลิปดา ตะวันออก (เอ็กซ์) 7 องศา 35.0 ลิปดา เหนือ 103 องศา 23.0 ลิปดา ตะวันออก (2) มาเลเซียในพื้นที่พัฒนาร่วมคลุมถึงบริเวณที่กำหนดขอบเขตโดยเส้นตรงซึ่ง เชื่อมจุดพิกัดดังต่อไปนี้ (เอ) 6 องศา 50.0 ลิปดา เหนือ 102 องศา 21.2 ลิปดา ตะวันออก (เอ็กซ์) 7 องศา 35.0 ลิปดา เหนือ 103 องศา 23.0 ลิปดา ตะวันออก (ดี) 7 องศา 22.0 ลิปดา เหนือ 103 องศา 42.5 ลิปดา ตะวันออก (อี) 7 องศา 20.0 ลิปดา เหนือ 103 องศา 39.0 ลิปดา ตะวันออก (เอฟ) 7 องศา 03.0 ลิปดา เหนือ 103 องศา 06.0 ลิปดา ตะวันออก (จี) 6 องศา 53.0 ลิปดา เหนือ 102 องศา 34.0 ลิปดา ตะวันออก บทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ ไม่มีผลกระทบกระเทือนต่อสิทธิอธิปไตยของ ราชอาณาจักรไทยเหนือพื้นที่พัฒนาร่วมแต่อย่างใด และการสละเขตอำนาจใด ๆ ตามมาตรานี้ ไม่มีผลบังคับและไม่มีผลเกินอายุของการใช้บังคับของความตกลง การที่ราชอาณาจักรไทย ยินยอมให้มาเลเซียใช้เขตอำนาจทางแพ่งและทางอาญา ตามวรรคสอง (2) และยอมให้ใช้เขตอำนาจในเรื่องที่เกี่ยวกับศุลกากรและสรรพสามิต และ ภาษีอากรภายในพื้นที่พัฒนาร่วมต่อไป ให้เป็นไปตามเงื่อนไขแห่งการรับรองในลักษณะต่าง ตอบแทนต่อสิทธิของราชอาณาจักรไทยตามวรรคสอง (1) เขตอำนาจใด ๆ ที่เป็นของราชอาณาจักรไทยหรือของมาเลเซียตามมาตรานี้ใน ส่วนที่เกี่ยวกับพื้นที่พัฒนาร่วม ให้มีเฉพาะในเรื่องและภายในขอบเขตเท่าที่กำหนดไว้ในกฎหมายที่ เกี่ยวกับไหล่ทวีปและตามที่เป็นที่ยอมรับกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อวัตถุประสงค์แห่งมาตรานี้ (1) เขตอำนาจทางแพ่งและทางอาญาไม่รวมถึงเขตอำนาจในเรื่องที่เกี่ยวกับ ศุลกากรและสรรพสามิต และภาษีอากร (2) เขตอำนาจทางอาญาเหนือความผิดที่ได้กระทำลงบนแท่นหรือสิ่งติดตั้งซึ่งอยู่ ค่อมเส้นแบ่งเขตอำนาจ และได้สร้างไว้เพื่อวัตถุประสงค์ในการสำรวจและแสวงประโยชน์จาก ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นดินใต้ทะเลและใต้ดินภายในพื้นที่พัฒนาร่วม ให้ราชอาณาจักรไทยหรือ มาเลเซียใช้อำนาจนั้นแต่เพียงผู้เดียว ตามแต่จะกำหนดว่าแท่นหรือสิ่งติดตั้งนั้นเป็นไทยหรือ มาเลเซีย (3) การวินิจฉัยว่าแท่นหรือสิ่งติดตั้งซึ่งอยู่คร่อมเส้นแบ่งเขตอำนาจ และได้สร้าง ไว้เพื่อวัตถุประสงค์ในการสำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในพื้นดินใต้ทะเล และใต้ดินภายในพื้นที่พัฒนาร่วมเป็นของราชอาณาจักรไทยหรือของมาเลเซีย ในเรื่องที่เกี่ยวกับ ปัญหาใด ๆ ที่จะต้องมีการวินิจฉัยในกระบวนพิจารณาทางแพ่งใด ๆ หรือเพื่อวัตถุประสงค์ของ การเข้าไปใช้หรือใช้เขตอำนาจ ทางแพ่งโดยราชอาณาจักรไทยหรือมาเลเซีย ให้เป็นไปตาม การกำหนดว่าแท่นหรือสิ่งติดตั้งนั้นเป็นไทยหรือมาเลเซียและ (4) การกำหนดว่าแท่นหรือสิ่งติดตั้งเป็นไทยหรือมาเลเซียตาม (2) และ (3) ให้วินิจฉัยตามหลักการว่าที่ตั้งส่วนใหญ่อยู่ที่ใด
มาตรา 22 บทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ ไม่ใช้บังคับแก่สิทธิ ความเป็นอิสระ และเอกสิทธิ์ ใด ๆ ซึ่งรวมถึงเรื่องที่เกี่ยวกับการประมง และไม่กระทบกระเทือนต่อการอ้างสิทธิดังกล่าว ที่ ราชอาณาจักรไทยหรือมาเลเซียอาจมีเหนือห้วงน้ำของพื้นที่พัฒนาร่วมโดยผลของข้อ 4 แห่งบันทึก ความเข้าใจ ค.ศ. 1979 (พ.ศ. 2522)
มาตรา 23 ภายใต้บังคับมาตรา 25 ผู้ใด รวมทั้งกรรมการหรือเจ้าหน้าที่ของนิติบุคคลฝ่าฝืน มาตรา 17 วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับและในกรณีที่เป็นความผิดต่อเนื่อง ต้องระวางโทษปรับอีกไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทต่อวันหรือ เศษของวันในระหว่างที่ความผิดนั้นยังดำเนินอยู่ต่อไปหลังจากวันแรกที่มีคำพิพากษา และบรรดา เครื่องจักร เครื่องมือโรงงาน สิ่งก่อสร้าง และทรัพย์สินอื่นใด หรือสิ่งของที่ได้ใช้หรือมีไว้เพื่อ ใช้ในการกระทำความผิด ให้ริบเสียทั้งสิ้น
มาตรา 24 ภายใต้บังคับมาตรา 23 และมาตรา 25 ผู้ใด รวมทั้งกรรมการหรือเจ้าหน้าที่ ของนิติบุคคล ฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ หรือกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา 18 ต้อง ระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับและในกรณีที่เป็น ความผิดต่อเนื่อง ต้องระวางโทษปรับอีกไม่เกินสองพันบาทต่อวันหรือเศษของวันในระหว่างที่ ความผิดนั้นยังดำเนินอยู่ต่อไปหลังจากวันแรกที่มีคำพิพากษา
มาตรา 25 ในกรณีที่ผู้ซึ่งถูกพิพากษาว่าได้กระทำความผิดตามมาตรา 23 หรือมาตรา 24 เป็นนิติบุคคล ผู้นั้นจะถูกลงโทษได้เพียงโทษปรับตามที่กำหนดไว้ในมาตราดังกล่าว
มาตรา 26 ในกรณีที่ผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ หรือกฎกระทรวงที่ออก ตามมาตรา 18 เป็นนิติบุคคล บุคคลทุกคนซึ่งในขณะที่มีการกระทำความผิดนั้น เป็นกรรมการหรือ เจ้าหน้าที่ของนิติบุคคลดังกล่าว อาจถูกฟ้องร่วมกันในคดีเดียวกับนิติบุคคลนั้น และในกรณีที่ นิติบุคคลนั้นถูกพิพากษาว่าได้กระทำความผิดตามฟ้อง ให้ถือว่ากรรมการหรือเจ้าหน้าที่ดังกล่าว ทุกคนได้กระทำความผิดนั้น เว้นแต่ผู้นั้นจะพิสูจน์ได้ว่าความผิดนั้นได้กระทำลงโดยตนไม่ได้มีส่วน รู้เห็นด้วยหรือได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแล้วที่จะป้องกันมิให้มีการกระทำความผิดนั้น
มาตรา 27 ถ้าตัวแทนกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้หรือตามกฎกระทรวงที่ออกตาม มาตรา 18 ให้ถือว่าตัวการมีความผิดด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตาม สมควรในการป้องกันการกระทำหรือการละเว้นการกระทำนั้น ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรี |
หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากได้มีการลงนาม ในบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทยและมาเลเซียเกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กรร่วมเพื่อ แสวงประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นดินใต้ทะเลในบริเวณที่กำหนดของไหล่ทวีปของประเทศทั้งสอง ในอ่าวไทย เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์พ.ศ. 2522 และต่อมาได้มีการลงนามในความตกลงว่าด้วย ธรรมนูญและเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการจัดตั้งองค์การร่วมไทย - มาเลเซียระหว่างรัฐบาล แห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งมาเลเซีย เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2533 ตาม ความตกลงดังกล่าวมีข้อกำหนดด้วยว่า ทั้งสองประเทศจะต้องออกกฎหมายอนุวัตรการก่อตั้ง องค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย โดยมีสาระสำคัญเหมือนกัน และประกาศใช้บังคับพร้อมกันด้วย จึง จำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ (ร.จ.เล่ม 108 ตอนที่ 11 หน้า 1 22 มกราคม 2534) |