พระราชบัญญัติ
           แก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ 12)
                         พ.ศ. 2532
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
               ให้ไว้ ณ วันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2532
                   เป็นปีที่ 44 ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ
ให้ประกาศว่า
   โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
   จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอม
ของรัฐสภา ดังต่อไปนี้

   มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
(ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2532"

   มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป

   มาตรา 3 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 3 ทวิ แห่งพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
   "มาตรา 3 ทวิ ศาลอุทธรณ์ตามพระธรรมนูญนี้ สำหรับท้องที่ที่ยังมิได้มีศาลอุทธรณ์ภาค
เปิดทำการได้แก่ศาลอุทธรณ์ และสำหรับท้องที่ที่มีศาลอุทธรณ์ภาคเปิดทำการแล้วได้แก่
ศาลอุทธรณ์ภาค"

   มาตรา 4 ให้ยกเลิกความในมาตรา 8 แห่งพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ซึ่งแก้ไข
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ 11) พ.ศ.
2532 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
   "มาตรา 8 ให้มีประธานศาลฎีกาประจำศาลฎีกาหนึ่งคน และให้มีอธิบดีผู้พิพากษา
ประจำศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ศาลแพ่ง ศาลอาญา ศาลแพ่งกรุงเทพใต้
ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรี และศาลอาญาธนบุรี ศาลละหนึ่งคน กับให้มี
รองประธานศาลฎีกาประจำศาลฎีกา และรองอธิบดีผู้พิพากษาประจำศาลอุทธรณ์ ศาลแพ่ง
ศาลอาญาศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรี และศาลอาญาธนบุรี
ศาลละสองคน และให้มีรองอธิบดีผู้พิพากษาประจำศาลอุทธรณ์ภาค ศาลละหนึ่งคน แต่ถ้า
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเห็นว่ามีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในทางราชการจะ
กำหนดให้มีรองประธานศาลฎีกาหรือมีรองอธิบดีผู้พิพากษาประจำศาลใดมากกว่าที่ระบุไว้
ข้างต้นก็ได้
   เมื่อตำแหน่งประธานศาลฎีกา อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ อธิบดีผู้พิพากษา
ศาลอุทธรณ์ภาค อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่ง อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา อธิบดีผู้พิพากษา
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งธนบุรี
หรืออธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาธนบุรี ว่างลง หรือเมื่อผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวไม่อาจปฏิบัติ
ราชการได้ ให้รองประธานศาลฎีกา หรือรองอธิบดีผู้พิพากษา แล้วแต่กรณี เป็นผู้ทำการ
แทน ถ้ามีผู้ดำรงตำแหน่งนั้นมากกว่าหนึ่งคนให้ผู้มีอาวุโสสูงสุดเป็นผู้ทำการแทน ถ้าผู้มี
อาวุโสสูงสุดไม่อาจปฏิบัติราชการได้ให้ผู้มีอาวุโสถัดลงมาตามลำดับเป็นผู้ทำการแทน
   ในกรณีที่ไม่อาจมีผู้ทำการแทนตามวรรคสองได้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมจะ
สั่งให้ผู้พิพากษาคนหนึ่งซึ่งประจำศาลนั้นหรือศาลใดศาลหนึ่งเป็นผู้ทำการแทนก็ได้"

   มาตรา 5 ให้ยกเลิกความในมาตรา 10 ทวิ แห่งพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ซึ่งแก้ไข
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ 11) พ.ศ.
2532 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
   "มาตรา 10 ทวิ ให้รองประธานศาลฎีกา รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ รองอธิบดี
ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่ง รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา
รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งกรุงเทพใต้ รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้
รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งธนบุรี หรือรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาธนบุรี มีอำนาจตามที่
กำหนดไว้ใน (1) และ (2) ของมาตรา 10 (4) และให้มีหน้าที่เป็นผู้ช่วยประธาน
ศาลฎีกา อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค อธิบดีผู้พิพากษา
ศาลแพ่ง อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งกรุงเทพใต้ อธิบดีผู้พิพากษา
ศาลอาญากรุงเทพใต้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งธนบุรี หรืออธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาธนบุรี
แล้วแต่กรณี ตามที่ประธานศาลฎีกาหรืออธิบดีผู้พิพากษาศาลนั้น ๆ จะได้มอบหมาย"

   มาตรา 6 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 18 ทวิ แห่งพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
   "มาตรา 18 ทวิ ศาลอุทธรณ์มีเขตตลอดท้องที่ที่มิได้อยู่ในเขตศาลอุทธรณ์ภาค แต่
บรรดาคดีที่อยู่นอกเขตของศาลอุทธรณ์ จะอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ก็ได้ ทั้งนี้ ให้อยู่ในดุลพินิจ
ของศาลอุทธรณ์ที่จะไม่ยอมรับพิจารณาพิพากษาคดีใดคดีหนึ่งที่อุทธรณ์เช่นนั้นได้ เว้นแต่คดี
นั้นจะได้โอนมาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย"

   มาตรา 7 ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา 19 แห่งพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
   "มาตรา 19 ศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาคมีอำนาจพิจารณาพิพากษาบรรดาคดีที่
อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อยู่ในเขตอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
ว่าด้วยการอุทธรณ์ และให้ศาลอุทธรณ์ภาคมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในวรรคสอง (1) และ
(2) ด้วย"

   มาตรา 8 ให้ยกเลิกความในมาตรา 24 แห่งพระธรรมนูญศาลยุติธรรม และให้ใช้
ความต่อไปนี้แทน
   "มาตรา 24 ศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาคต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสองคน และ
ศาลฎีกาอย่างน้อยสามคน จึงจะเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีได้"
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ
นายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้คือ โดยที่มีการตรา
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอุทธรณ์ภาค พ.ศ. 2532 ขึ้น แต่เนื่องจากพระธรรมนูญ
ศาลยุติธรรมมิได้มีบทบัญญัติรองรับการจัดตั้งศาลอุทธรณ์ภาค การกำหนดเขตศาลและ
อำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลอุทธรณ์ภาค อีกทั้งอำนาจหน้าที่ของอธิบดี
ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค และผู้พิพากษา
ศาลอุทธรณ์ภาค สมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรมเพื่อให้สอดคล้องกับการ
ตราพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอุทธรณ์ภาคดังกล่าว จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
(ร.จ.เล่ม 106 ตอนที่ 127 หน้า 21 11 สิงหาคม 2532)