พระราชบัญญัติ
                      จัดตั้งศาลอุทธรณ์ภาค
                         พ.ศ. 2532
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
               ให้ไว้ ณ วันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2532
                   เป็นปีที่ 44 ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ
ให้ประกาศว่า
   โดยที่เป็นการสมควรจัดตั้งศาลอุทธรณ์ภาค เพื่อให้การพิจารณาพิพากษาคดีชั้นอุทธรณ์
เป็นไปด้วยความสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น
   จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอม
ของรัฐสภา ดังต่อไปนี้

   มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอุทธรณ์ภาค พ.ศ.
2532"

   มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป

   มาตรา 3 ให้จัดตั้งศาลอุทธรณ์ภาคขึ้น ส่วนจำนวนและที่ตั้งจะอยู่ ณ ที่ใดมีเขตศาล
เพียงไร และจะเปิดทำการเมื่อใด ให้เป็นไปตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา

   มาตรา 4 ให้ศาลอุทธรณ์ภาคเป็นศาลอุทธรณ์ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
   ให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค และผู้พิพากษา
ศาลอุทธรณ์ภาค เป็นข้าราชการตุลาการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการ
ฝ่ายตุลาการ

   มาตรา 5 คดีใดที่ได้อุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาคแล้ว เมื่ออธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์
เห็นสมควร หรือเมื่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องว่าคดีนั้นไม่สมควร
ได้รับการพิจารณาต่อไปในศาลอุทธรณ์ภาค ให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์มีอำนาจสั่งโอน
คดีนั้นไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาได้ คำสั่งของอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ให้เป็น
ที่สุด

   มาตรา 6 ถ้ามีคดีหลายเรื่องซึ่งเกี่ยวเนื่องกันค้างพิจารณาอยู่ในชั้นอุทธรณ์ในศาล
เดียวกันหรือต่างศาลกัน และคู่ความทั้งหมดหรือแต่บางฝ่ายเป็นคู่ความรายเดียวกัน กับทั้ง
การพิจารณาคดีเหล่านั้นถ้าได้รวมกันแล้วจะเป็นการสะดวก หากศาลนั้นหรือศาลใดศาล
หนึ่งเหล่านั้นเห็นสมควรให้พิจารณาคดีรวมกัน หรือหากคู่ความทั้งหมดหรือแต่บางฝ่ายมี
คำขอให้พิจารณาคดีรวมกันโดยทำเป็นคำร้องไม่ว่าในเวลาใด ๆ ก่อนมีคำพิพากษา ให้
ศาลมีอำนาจออกคำสั่งให้พิจารณาคดีเหล่านั้นรวมกัน
   ถ้าจะโอนคดีไปเพื่อรวมพิจารณากับคดีเรื่องอื่นในอีกศาลหนึ่งศาลจะมีคำสั่งก่อนที่จะได้
รับความยินยอมของศาลที่จะรับโอนคดีนั้นไม่ได้ แต่ถ้าศาลที่จะรับโอนคดีไม่ยินยอมก็ให้ศาล
ที่จะโอนคดีนั้นส่งเรื่องให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ชี้ขาด คำสั่งของอธิบดีผู้พิพากษา
ศาลอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด

   มาตรา 7 ให้ที่ประชุมใหญ่ศาลอุทธรณ์ภาคประกอบด้วยผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาคทุกคน
ซึ่งอยู่ปฏิบัติหน้าที่ แต่ต้องไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนผู้พิพากษาแห่งศาลนั้น และให้
อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาคหรือผู้ทำการแทนตามกฎหมายเป็นประธาน

   มาตรา 8 บรรดาบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ใช้บังคับแก่ศาลอุทธรณ์ อธิบดีพิพากษา
ศาลอุทธรณ์ รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์หรือผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้นำมาใช้บังคับแก่
ศาลอุทธรณ์ภาค อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค หรือ
ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค แล้วแต่กรณีโดยอนุโลม เว้นแต่เมื่อบทบัญญัติดังกล่าวนั้นแสดงให้
เห็นว่าใช้ได้เฉพาะกับศาลอุทธรณ์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ รองอธิบดีผู้พิพากษา
ศาลอุทธรณ์ หรือผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์เท่านั้น หรือเป็นบทบัญญัติในเรื่องอำนาจหน้าที่ของ
อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ตามมาตรา 6 มาตรา 8 และมาตรา 28 แห่ง
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

   มาตรา 9 เมื่อศาลอุทธรณ์ภาคเปิดทำการแล้ว ให้อุทธรณ์คดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณา
พิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาคต่อศาลอุทธรณ์ภาคที่มีเขตอำนาจ
   คดีที่ได้อุทธรณ์ก่อนวันเปิดทำการของศาลอุทธรณ์ภาค ให้ศาลอุทธรณ์ หรือ
ศาลอุทธรณ์ภาค แล้วแต่กรณี ซึ่งคดีนั้นค้างพิจารณาอยู่คงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาต่อไป

   มาตรา 10 ภายในระยะเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่ศาลอุทธรณ์ภาคเปิดทำการอธิบดี
ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์จะสั่งให้โอนคดีที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลอุทธรณ์ภาคซึ่งค้างพิจารณา
อยู่ในศาลอุทธรณ์ ไปให้ศาลอุทธรณ์ภาคนั้นพิจารณาพิพากษาต่อไปก็ได้

   มาตรา 11 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ
นายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้คือ โดยที่ปัจจุบันมีคดีขึ้นสู่
การพิจารณาพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในปีหนึ่ง ๆ เป็นจำนวนมาก และนับวันจะเพิ่มมากขึ้น
เป็นลำดับ แต่เนื่องจากศาลอุทธรณ์ซึ่งมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวมีเพียงศาล
เดียวโดยมีเขตศาลครอบคลุมทั่วราชอาณาจักรและตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร จึงทำให้
ไม่สามารถพิจารณาพิพากษาคดีที่คั่งค้างอยู่เป็นจำนวนมากได้ สมควรจัดตั้งศาลอุทธรณ์ภาค
ขึ้นเพื่อกระจายศาลออกเป็นหลายศาลตามภูมิภาคต่าง ๆ อันจะทำให้การพิจารณา
พิพากษาคดีชั้นอุทธรณ์เป็นไปด้วยความสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตรา
พระราชบัญญัตินี้
( ร.จ.เล่ม 106 ตอนที่ 127 หน้า 16 11 สิงหาคม 2532)