พระราชบัญญัติ
           แก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ 11)
                         พ.ศ. 2532
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
               ให้ไว้ ณ วันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2532
                   เป็นปีที่ 44 ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ
ให้ประกาศว่า
   โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
   จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอม
ของรัฐสภา ดังต่อไปนี้

   มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม
พระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2532"

   มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป

   มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา 3 แห่งพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ซึ่งแก้ไข
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ 6) พ.ศ.
2520 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
   "มาตรา 3 ศาลชั้นต้น
            (1) สำหรับกรุงเทพมหานคร ได้แก่
                (ก) ศาลแขวง
                (ข) ศาลจังหวัดมีนบุรี
                (ค) ศาลแพ่งธนบุรีและศาลอาญาธนบุรี
                (ง) ศาลแพ่งกรุงเทพใต้และศาลอาญากรุงเทพใต้
                (จ) ศาลแพ่งและศาลอาญา
            (2) สำหรับจังหวัดอื่น ๆ นอกจากกรุงเทพมหานคร ได้แก่
                (ก) ศาลแขวง
                (ข) ศาลจังหวัด"

   มาตรา 4 ให้ยกเลิกความในมาตรา 8 และมาตรา 9 แห่งพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ 10)
พ.ศ. 2527 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
   "มาตรา 8 ให้มีประธานศาลฎีกาประจำศาลฎีกาหนึ่งคน และให้มีอธิบดีผู้พิพากษา
ประจำศาลอุทธรณ์ ศาลแพ่ง ศาลอาญา ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลอาญากรุงเทพใต้
ศาลแพ่งธนบุรีและศาลอาญาธนบุรีศาลละหนึ่งคน กับให้มีรองประธานศาลฎีกาประจำศาลฎีกา
และรองอธิบดีผู้พิพากษาประจำศาลอุทธรณ์ ศาลแพ่ง ศาลอาญา ศาลแพ่งกรุงเทพใต้
ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรีและศาลอาญาธนบุรีศาลละสองคน แต่ถ้ารัฐมนตรี
ว่าการกระทรวงยุติธรรมเห็นว่ามีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในทางราชการ จะกำหนดให้
มีรองประธานศาลฎีกา หรือรองอธิบดีผู้พิพากษาประจำศาลใดมากกว่าสองคนก็ได้
   เมื่อตำแหน่งประธานศาลฎีกา อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่ง
อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งกรุงเทพใต้ อธิบดีผู้พิพากษา
ศาลอาญากรุงเทพใต้ อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งธนบุรี หรืออธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาธนบุรี
ว่างลง หรือเมื่อผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้รองประธานศาลฎีกา
หรือรองอธิบดีผู้พิพากษาแล้วแต่กรณี เป็นผู้ทำการแทน ถ้ามีผู้ดำรงตำแหน่งนั้นมากกว่าหนึ่ง
คนให้ผู้มีอาวุโสสูงสุดเป็นผู้ทำการแทน ถ้าผู้มีอาวุโสสูงสุดไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้ผู้มี
อาวุโสถัดลงมาตามลำดับ เป็นผู้ทำการแทน
   ในกรณีที่ไม่อาจมีผู้ทำการแทนตามวรรคสองได้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมจะ
สั่งให้ผู้พิพากษาคนหนึ่งซึ่งประจำศาลนั้นหรือศาลใดศาลหนึ่งเป็นผู้ทำการแทนก็ได้

   มาตรา 9 ในศาลชั้นต้นตามมาตรา 3 นอกจากศาลแพ่ง ศาลอาญา
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรีและศาลอาญาธนบุรี ให้มี
ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล ศาลละหนึ่งคน
   ถ้าศาลฎีกา ศาลอุทธรณ์ หรือศาลชั้นต้น ศาลใดศาลหนึ่งแบ่งออกเป็นแผนกให้มี
ผู้พิพากษาหัวหน้าแผนก แผนกละหนึ่งคน
   เมื่อตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าศาล หรือผู้พิพากษาหัวหน้าแผนกว่างลง หรือเมื่อผู้ดำรง
ตำแหน่งดังกล่าวไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้ผู้พิพากษาผู้มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้นหรือใน
แผนกนั้น แล้วแต่กรณี เป็นผู้ทำการแทน ถ้าผู้พิพากษาผู้มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้น หรือใน
แผนกนั้นไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้ผู้พิพากษาผู้มีอาวุโสถัดลงมาตามลำดับในศาลนั้น หรือ
ในแผนกนั้น แล้วแต่กรณี เป็นผู้ทำการแทน ในกรณีที่ไม่อาจมีผู้ทำการแทนดังกล่าวได้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมจะสั่งให้ผู้พิพากษาคนหนึ่งเป็นผู้ทำการแทนก็ได้"

   มาตรา 5 ให้ยกเลิกความในมาตรา 10 ทวิ แห่งพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ซึ่งแก้ไข
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ 6) พ.ศ.
2520 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
   "มาตรา 10 ทวิ ให้รองประธานศาลฎีกา รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ รองอธิบดี
ผู้พิพากษาศาลแพ่ง รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งกรุงเทพใต้
รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งธนบุรี หรือ
รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาธนบุรี มีอำนาจตามที่กำหนดไว้ใน (1) และ (2) ของ
มาตรา 10 (4) และให้มีหน้าที่เป็นผู้ช่วยประธานศาลฎีกา อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์
อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่ง อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งกรุงเทพใต้
อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งธนบุรี หรืออธิบดีผู้พิพากษา
ศาลอาญาธนบุรี แล้วแต่กรณี ตามที่ประธานศาลฎีกา หรืออธิบดีผู้พิพากษาศาลนั้น ๆ จะได้
มอบหมาย"

   มาตรา 6 ให้ยกเลิกความในมาตรา 14 แห่งพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ซึ่งแก้ไข
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ 6) พ.ศ.
2520 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
   "มาตรา 14 ศาลชั้นต้นมีเขตดังนี้
   (1) ศาลแขวง มีเขตตามที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงได้กำหนดไว้
   (2) ศาลจังหวัด มีเขตตามที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลจังหวัดได้กำหนดไว้ แต่บรรดา
คดีซึ่งเกิดขึ้นในเขตศาลแขวงและอยู่ในอำนาจของศาลแขวงนั้น ถ้ายื่นฟ้องต่อศาลจังหวัด
ให้อยู่ในดุลพินิจของศาลจังหวัดนั้น ๆ ที่จะไม่ยอมรับพิจารณาคดีใดคดีหนึ่งที่ยื่นฟ้องเช่นนั้น
ได้
   (3) ศาลแพ่งธนบุรีและศาลอาญาธนบุรี มีเขตตามที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแพ่งธนบุรี
และศาลอาญาธนบุรีได้กำหนดไว้
   (4) ศาลแพ่งกรุงเทพใต้และศาลอาญากรุงเทพใต้ มีเขตตามที่พระราชบัญญัติจัดตั้ง
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้และศาลอาญากรุงเทพใต้ได้กำหนดไว้
   (5) ศาลแพ่งและศาลอาญา มีเขตตลอดท้องที่กรุงเทพมหานครนอกจากท้องที่ที่อยู่ใน
เขตของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลอาญากรุงเทพใต้ศาลแพ่งธนบุรี ศาลอาญาธนบุรี และ
ศาลจังหวัดมีนบุรี แต่บรรดาคดีที่เกิดขึ้นนอกเขตของศาลแพ่งและศาลอาญานั้น จะยื่นฟ้อง
ต่อศาลแพ่งหรือศาลอาญาก็ได้ ทั้งนี้ ให้อยู่ในดุลพินิจของศาลนั้น ๆ ที่จะไม่ยอมรับพิจารณา
พิพากษาคดีใดคดีหนึ่งที่ยื่นฟ้องเช่นนั้นได้ เว้นแต่คดีนั้นจะได้โอนมาตามบทบัญญัติใน
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ"

   มาตรา 7 ให้ยกเลิกความในมาตรา 17 แห่งพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ซึ่งแก้ไข
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ 6) พ.ศ.
2520 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
   "มาตรา 17 ศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้และศาลแพ่งธนบุรีมีอำนาจพิจารณา
พิพากษาคดีแพ่งทั้งปวง
   ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้และศาลอาญาธนบุรี มีอำนาจพิจารณาพิพากษา
คดีอาญาทั้งปวง"

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ
นายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ  โดยที่ได้มีการจัดตั้ง
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้และศาลอาญากรุงเทพใต้ขึ้นตามพระราชบัญญัติจัดตั้ง
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้และศาลอาญากรุงเทพใต้ พ.ศ. 2532 เพื่อเป็นการแบ่งเบาคดีจาก
ศาลแพ่งและศาลอาญา และเพื่อให้ประชาชนผู้มีอรรถคดีและผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับ
ความสะดวกและรวดเร็วในการเดินทางไปติดต่อกับศาลในการนี้จำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติม
พระธรรมนูญศาลยุติธรรมเพื่อกำหนดเขตอำนาจของศาลดังกล่าวและแก้ไขเพิ่มเติม
บทบัญญัติที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกันด้วย จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
( ร.จ. เล่ม 106 ตอนที่ 127 หน้า 9 11 สิงหาคม 2532)