พระราชบัญญัติ
                     มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
                         พ.ศ.2531
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
              ให้ไว้ ณ วันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2531
                   เป็นปีที่ 43 ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้
ประกาศว่า
   โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
   จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของ
รัฐสภา ดังต่อไปนี้

   มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2531"

   มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป

   มาตรา 3 ให้ยกเลิก
           (1) พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2495
           (2) พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2499
           (3) พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2499
           (4) พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2500
           (5) ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 178 ลงวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2515
           (6) พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2516
   บรรดากฎหมาย กฎ และข้อบังคับอื่นในส่วนที่มีบัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัตินี้ หรือซึ่งขัดหรือ
แย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้แทน

   มาตรา 4 ให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ.
2495 เป็นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตามพระราชบัญญัตินี้ และเป็นนิติบุคคล

   มาตรา 5 ในพระราชบัญญัตินี้
           "มหาวิทยาลัย" หมายความว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
           "สภามหาวิทยาลัย" หมายความว่า สภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

   มาตรา 6 ให้รัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัยรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้
มีอำนาจออกประกาศทบวงมหาวิทยาลัยเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
   ประกาศทบวงมหาวิทยาลัยนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้

   มาตรา 7 ให้มหาวิทยาลัยเป็นสถานศึกษาและวิจัย มีวัตถุประสงค์ให้การศึกษา ส่งเสริม
วิชาการและวิชาชีพชั้นสูง ทำการสอนทำการวิจัย ให้บริการทางวิชาการแก่สังคม และทำนุบำรุง
ศิลปวัฒนธรรมของชาติ

   มาตรา 8 มหาวิทยาลัยอาจแบ่งส่วนราชการ ดังนี้
           (1) สำนักงานอธิการบดี
           (2) บัณฑิตวิทยาลัย
           (3) คณะ
           (4) วิทยาลัย
           (5) แผนกอิสระ
   มหาวิทยาลัยอาจให้มีสถาบัน สำนัก ศูนย์ หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่า
คณะ เพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างตามมาตรา 7 เป็น
ส่วนราชการในมหาวิทยาลัยอีกก็ได้

   มาตรา 9 สำนักงานอธิการบดีอาจแบ่งส่วนราชการเป็นกองหรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่น
ที่มีฐานะเทียบเท่ากอง
   บัณฑิตวิทยาลัย คณะ วิทยาลัย แผนกอิสระ อาจแบ่งส่วนราชการเป็นภาควิชา กอง
สำนักงานเลขานุการ หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าภาควิชาหรือกอง
   สถาบัน สำนัก ศูนย์ หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ ตามมาตรา 8
วรรคสอง อาจแบ่งส่วนราชการเป็นกองสำนักงานเลขานุการ หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่
มีฐานะเทียบเท่ากอง
   กองสำนักงานเลขานุการ และหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่ากอง อาจ
แบ่งส่วนราชการเป็นงาน หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่างาน

   มาตรา 10 การจัดตั้ง การรวม การยุบเลิก สำนักงานอธิการบดีบัณฑิตวิทยาลัย คณะวิทยาลัย
แผนกอิสระ สถาบัน สำนัก ศูนย์หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะตาม
มาตรา 8 ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
   การแบ่งส่วนราชการเป็นภาควิชา กอง สำนักงานเลขานุการ หรือหน่วยงานที่เรียกชื่อ
อย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าภาควิชาหรือกอง ให้ทำเป็นประกาศทบวงมหาวิทยาลัย

   มาตรา 11 ภายใต้วัตถุประสงค์ตามมาตรา 7 มหาวิทยาลัยจะรับสถาบันการศึกษาชั้นสูง
หรือสถาบันวิจัยอื่นเข้าสมทบในมหาวิทยาลัยก็ได้ และมีอำนาจให้ปริญญา อนุปริญญา หรือ
ประกาศนียบัตรชั้นใดชั้นหนึ่งแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันการศึกษาชั้นสูงหรือสถาบันวิจัยนั้นได้
   การรับสถาบันการศึกษาชั้นสูง หรือสถาบันวิจัย เข้าสมทบหรือการยกเลิกการสมทบของ
สถาบันดังกล่าว ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
   การควบคุมสถาบันการศึกษาชั้นสูง หรือสถาบันวิจัยที่เข้าสมทบในมหาวิทยาลัย ให้เป็นไปตาม
ข้อบังคับของมหาวิทยาลัย

   มาตรา 12 นอกจากเงินที่กำหนดไว้ในงบประมาณแผ่นดินมหาวิทยาลัยมีรายได้และทรัพย์สิน
ดังนี้
           (1) เงินผลประโยชน์และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย
           (2) รายได้หรือผลประโยชน์ที่ได้มาจากการใช้ที่ราชพัสดุ ซึ่งมหาวิทยาลัยเป็น
ผู้ปกครองดูแลหรือใช้ประโยชน์
           (3) เงินและทรัพย์สินซึ่งมีผู้อุทิศให้แก่มหาวิทยาลัย
           (4) รายได้หรือผลประโยชน์อื่น ๆ
   ให้มหาวิทยาลัยมีอำนาจในการปกครอง ดูแล บำรุงรักษา ใช้และจัดหาผลประโยชน์จาก
ทรัพย์สินของมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นที่ราชพัสดุตามกฎหมายว่าด้วยที่ราชพัสดุ
   รายได้ของมหาวิทยาลัยไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วย
เงินคงคลังและกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ

   มาตรา 13 บรรดารายได้และทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยจะต้องจัดการเพื่อประโยชน์ภายใน
ขอบวัตถุประสงค์ของมหาวิทยาลัยตามมาตรา 7
   เงินและทรัพย์สินซึ่งมีผู้อุทิศให้แก่มหาวิทยาลัยจะต้องจัดการตามเงื่อนไขที่ผู้ให้กำหนดไว้และ
ตามวัตถุประสงค์ของมหาวิทยาลัย

   มาตรา 14 ให้มีสภามหาวิทยาลัย ประกอบด้วย
           (1) นายกสภามหาวิทยาลัย ซึ่งจะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้ง
           (2) อุปนายกสภามหาวิทยาลัย ซึ่งได้แก่อธิการบดีโดยตำแหน่ง
           (3) กรรมการสภามหาวิทยาลัยจำนวนเก้าคน ซึ่งเลือกตั้งจากผู้ดำรงตำแหน่ง
รองอธิการบดี คณบดี หัวหน้าแผนกอิสระผู้อำนวยการสถาบัน ผู้อำนวยการสำนัก ผู้อำนวยการ
ศูนย์ และหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นตามมาตรา 8 วรรคสอง
           (4) ประธานสภาอาจารย์โดยตำแหน่ง และกรรมการสภามหาวิทยาลัยอีกหกคน
ซึ่งเลือกตั้งจากคณาจารย์ประจำผู้ได้ทำการสอนในมหาวิทยาลัยมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี และมิใช่ผู้
ดำรงตำแหน่งตาม (3)
           (5) กรรมการสภามหาวิทยาลัยจำนวนสองคน ซึ่งเลือกตั้งจาก
ข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัยระดับหัวหน้ากองหรือเทียบเท่าขึ้นไปที่มิใช่คณาจารย์ประจำ
และมิใช่ผู้ดำรงตำแหน่งตาม (3)
           (6) กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนไม่น้อยกว่าเก้าคนแต่ไม่เกินสิบ
สี่คน ซึ่งจะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯแต่งตั้งจากบุคคลภายนอกมหาวิทยาลัย โดยคำแนะนำ
ของนายกสภามหาวิทยาลัย อุปนายกสภามหาวิทยาลัย และกรรมการสภามหาวิทยาลัยตาม (3)
(4) และ (5)

   มาตรา 15 การเลือกตั้งกรรมการสภามหาวิทยาลัยตามมาตรา14 (3) ให้ผู้ดำรงตำแหน่ง
รองอธิการบดี คณบดี หัวหน้าแผนกอิสระผู้อำนวยการสถาบัน ผู้อำนวยการสำนัก ผู้อำนวยการ
ศูนย์ และหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นตามมาตรา 8 วรรคสอง เป็นผู้เลือกตั้ง ส่วน
การเลือกตั้งกรรมการสภามหาวิทยาลัยตามมาตรา 14 (4) ซึ่งมิใช่กรรมการโดยตำแหน่ง ให้
คณาจารย์ประจำของมหาวิทยาลัยเป็นผู้เลือกตั้ง และการเลือกตั้งตามมาตรา 14 (5) ให้
ข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัยระดับหัวหน้ากองหรือเทียบเท่าขึ้นไปที่มิใช่คณาจารย์ประจำ
เป็นผู้เลือกตั้ง
   หลักเกณฑ์และวิธีการเลือกตั้งกรรมการสภามหาวิทยาลัยตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตาม
ข้อบังคับของมหาวิทยาลัย

   มาตรา 16 นายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการสภามหาวิทยาลัยมีวาระอยู่ในตำแหน่งสองปี
และจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯแต่งตั้งหรืออาจได้รับเลือกตั้งใหม่อีกก็ได้
   กรรมการสภามหาวิทยาลัยตามมาตรา 14 (3)(4) และ (5) พ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ
เมื่อขาดคุณสมบัติของการเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยในประเภทนั้น ๆ
   ในกรณีที่นายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการสภามหาวิทยาลัยพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ และ
ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งหรือทำการเลือกตั้งผู้ดำรงตำแหน่งแทนแล้ว หรือในกรณีที่
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งกรรมการสภามหาวิทยาลัยตามมาตรา 14 (6) เพิ่มขึ้น ให้
ผู้ได้รับแต่งตั้งหรือผู้ที่ได้รับเลือกตั้งอยู่ในตำแหน่ง เท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการ
สภามหาวิทยาลัย ซึ่งได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้ง หรือเลือกตั้งไว้ก่อนแล้วนั้น
   ในกรณีที่นกยกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการสภามหาวิทยาลัยพ้นจากตำแหน่งตามวาระ ให้ผู้
ซึ่งพ้นจากตำแหน่งปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งหรือทำ
การเลือกตั้งขึ้นใหม่แล้วแต่กรณี

   มาตรา 17 ให้รองอธิการบดีเป็นเลขานุการสภามหาวิทยาลัยในกรณีที่มีรองอธิการบดีหลาย
คน ให้สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้งรองอธิการบดีคนหนึ่ง เป็นเลขานุการสภามหาวิทยาลัย โดย
คำแนะนำของอธิการบดี

   มาตรา 18 สภามหาวิทยาลัยมีอำนาจและหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการทั่วไปของมหาวิทยาลัย
และโดยเฉพาะให้มีอำนาจและหน้าที่ ดังนี้
           (1) วางนโยบายของมหาวิทยาลัยเกี่ยวกับการศึกษาการวิจัย การให้บริการทาง
วิชาการแก่สังคม และทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมของชาติ
           (2) วางระเบียบและออกข้อบังคับต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย และอาจมอบให้
ส่วนราชการในมหาวิทยาลัยเป็นผู้วางระเบียบและออกข้อบังคับสำหรับส่วนราชการนั้นเป็น
เรื่อง ๆ ไปก็ได้
           (3) พิจารณาเสนอจัดตั้ง รวม และยุบเลิก บัณฑิตวิทยาลัย คณะ วิทยาลัย แผนก
อิสระ สถาบัน สำนัก ศูนย์ ภาควิชาและหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะหรือ
ภาควิชา
           (4) อนุมัติการรับสถาบันการศึกษาชั้นสูงหรือสถาบันวิจัย เข้าสมทบหรือยกเลิก
การสมทบของสถาบันดังกล่าว
           (5) พิจารณาให้ความเห็นชอบหลักสูตรการศึกษาให้สอดคล้องกับนโยบายของ
มหาวิทยาลัย และมาตรฐานที่ทบวงมหาวิทยาลัยกำหนด
           (6) อนุมัติให้ปริญญา ประกาศนียบัตรบัณฑิตอนุปริญญา และประกาศนียบัตร
           (7) แต่งตั้งและถอดถอน รองอธิการบดี คณบดีรองคณบดี หัวหน้าแผนก
อิสระ  รองหัวหน้าแผนกอิสระ ผู้อำนวยการสถาบัน รองผู้อำนวยการสถาบัน ผู้อำนวยการ
สำนัก  รองผู้อำนวยการสำนัก ผู้อำนวยการศูนย์ รองผู้อำนวยการศูนย์ หัวหน้าหรือ
รองหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ หัวหน้าภาควิชา
หัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าภาควิชา และศาสตราจารย์
เกียรติคุณ
           (8) ดำเนินการเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯแต่งตั้ง และถอดถอนอธิการบดี
ศาสตราจารย์ และศาสตราจารย์พิเศษ
           (9) พิจารณาอนุมัติงบประมาณจากรายได้ของมหาวิทยาลัยตามมาตรา 12
          (10) วางระเบียบเกี่ยวกับการบริหารงาน การเงินและการจัดหารายได้ และ
ผลประโยชน์จากทรัพย์สินตามมาตรา 12
          (11) แต่งตั้งผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา 22 ให้รักษาราชการแทนอธิการบดี ในกรณีที่
ตำแหน่งอธิการบดีว่างลง
          (12) แต่งตั้งคณะกรรมการ อนุกรรมการ หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งเพื่อกระทำการ
ใด ๆ อันอยู่ในอำนาจและหน้าที่ของสภามหาวิทยาลัย
          (13) มีอำนาจและหน้าที่อื่นเกี่ยวกับกิจการของมหาวิทยาลัยที่มิได้ระบุให้เป็น
อำนาจและหน้าที่ของผู้ใดโดยเฉพาะ

   มาตรา 19 การประชุมสภามหาวิทยาลัย ให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย

   มาตรา 20 ให้มีอธิการบดีคนหนึ่งเป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบในการบริหารงานของ
มหาวิทยาลัย และอาจมีรองอธิการบดี หรือผู้ช่วยอธิการบดี หรือมีทั้งรองอธิการบดี และผู้ช่วย
อธิการบดีคนหนึ่งหรือหลายคน เพื่อช่วยกิจการที่อธิการบดีมอบหมาย
   ให้ถือว่าอธิการบดีเป็นอธิบดี และรองอธิการบดีเป็นรองอธิบดีตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบ
ข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัยกฎหมายอื่น

   มาตรา 21 อธิการบดีนั้นจะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งจากผู้ซึ่งมีคุณสมบัติตาม
มาตรา 22 โดยคำแนะนำของสภามหาวิทยาลัยและให้มีวาระการดำรงตำแหน่งสามปี และจะ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯแต่งตั้งใหม่อีกก็ได้ แต่จะดำรงตำแหน่งเกินสองวาระติดต่อกันมิได้
   ให้สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้งรองอธิการบดีจากผู้ซึ่งมีคุณสมบัติตามมาตรา 23 โดยคำแนะนำ
ของอธิการบดี
   ให้อธิการบดีแต่งตั้งผู้ช่วยอธิการบดีจากผู้ซึ่งมีคุณสมบัติตามมาตรา 23 และให้มีอำนาจถอดถอน
ผู้ช่วยอธิการบดีด้วย
   เมื่ออธิการบดีพ้นจากตำแหน่ง ให้รองอธิการบดีและผู้ช่วยอธิการบดีพ้นจากตำแหน่งด้วย

   มาตรา 22 อธิการบดีต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
           (1) ได้ปริญญาเอกหรือเทียบเท่าจากมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาชั้นสูงอื่นที่
สภามหาวิทยาลัยรับรอง หรือ
           (2) ได้ปริญญาชั้นใดชั้นหนึ่งหรือเทียบเท่าจากมหาวิทยาลัย หรือสถาบันการศึกษา
ชั้นสูงอื่นที่สภามหาวิทยาลัยรับรองและได้ทำการสอนในมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาชั้นสูงอื่น
ที่สภามหาวิทยาลัยรับรองมาแล้วรวมเป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปี หรือเคยดำรงตำแหน่งกรรมการ
สภามหาวิทยาลัยมาแล้วรวมเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสี่ปี

   มาตรา 23 รองอธิการบดีต้องมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับอธิการบดีหรือเป็นข้าราชการตาม
กฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย ซึ่งมีคุณวุฒิไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี และ
รับราชการมาแล้วไม่น้อยกว่าสิบปี
   ผู้ช่วยอธิการบดีต้องมีคุณสมบัติได้ปริญญาชั้นใดชั้นหนึ่ง หรือเทียบเท่าจากมหาวิทยาลัย หรือ
สถาบันการศึกษาชั้นสูงอื่นที่สภามหาวิทยาลัยรับรอง

   มาตรา 24 ในกรณีที่ตำแหน่งอธิการบดีว่างลง ในระหว่างที่ยังมิได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
แต่งตั้งอธิการบดี ให้สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้งผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา 22 เป็น
ผู้รักษาราชการแทนอธิการบดี
   ในกรณีที่อธิการบดีไม่อาจขปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้รองอธิการบดีเป็นผู้รักษาราชการแทน ถ้ามี
รองอธิการบดีหลายคน ให้รองอธิการบดีที่อธิการบดีมอบหมายเป็นผู้รักษาราชการแทน ถ้า
อธิการบดีมิได้มอบหมาย  ให้รองอธิการบดีผู้ใดรักษาราชการแทน ให้รองอธิการบดีที่มีอาวุโส
สูงสุดเป็นผู้รักษาราชการแทน
   ในกรณีที่ไม่มีผู้รักษาราชการแทนตามความในวรรคหนึ่ง หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้
สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้งผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา 22 เป็นผู้รักษาราชการแทนอธิการบดี

   มาตรา 25 อธิการบดีมีอำนาจและหน้าที่ ดังนี้
           (1) บริหารกิจการของมหาวิทยาลัยให้เป็นไปตามกฎหมาย วัตถุประสงค์
นโยบาย ระเบียบ และข้อบังคับของมหาวิทยาลัยในการนี้ให้มีอำนาจออกระเบียบ คำสั่ง และ
ประกาศได้
           (2) ควบคุมการเงิน การพัสดุ สถานที่ และทรัพย์สินอื่นของมหาวิทยาลัยให้เป็น
ไปตามกฎหมาย วัตถุประสงค์ระเบียบ และข้อบังคับของมหาวิทยาลัย
           (3) เป็นผู้แทนของมหาวิทยาลัยในกิจการทั่วไป
           (4) จัดทำรายงานประจำปีเกี่ยวกับกิจการด้านต่าง ๆของมหาวิทยาลัยเสนอต่อ
สภามหาวิทยาลัย
           (5) มีอำนาจและหน้าที่อื่นตามระเบียบและข้อบังคับของมหาวิทยาลัย หรือตามที่
สภามหาวิทยาลัยมอบหมาย

   มาตรา 26 ให้มีสภาอาจารย์มหาวิทยาลัย ประกอบด้วย ประธานสภาอาจารย์ และ
กรรมการสภาอาจารย์ซึ่งเลือกตั้งจากคณาจารย์ประจำของมหาวิทยาลัยทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและ
ข้อแนะนำต่ออธิการบดีและหน้าที่อื่นตามที่สภามหาวิทยาลัยหรืออธิการบดีมอบหมาย
   จำนวนกรรมการ หลักเกณฑ์ และวิธีการเลือกตั้งและการดำเนินงานของสภาอาจารย์
มหาวิทยาลัย ให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย

   มาตรา 27 ในบัณฑิตวิทยาลัย ให้มีคณบดีคนหนึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบงานของ
บัณฑิตวิทยาลัย และอาจมีรองคณบดีคนหนึ่งหรือหลายคนเพื่อช่วยกิจการที่คณบดีมอบหมาย
   ให้สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้งคณบดีจากผู้ซึ่งมีคุณสมบัติตามมาตรา 28
   ให้คณบดีเป็นผู้เสนอการแต่งตั้งรองคณบดีจากผู้ซึ่งมีคุณสมบัติตามมาตรา 29 ต่อ
สภามหาวิทยาลัย
   ให้คณบดีมีวาระการดำรงตำแหน่งสามปี และอาจได้รับการแต่งตั้งใหม่อีกได้แต่จะดำรง
ตำแหน่งเกินสองวาระติดต่อกันมิได้
   เมื่อคณบดีพ้นจากตำแหน่ง ให้รองคณบดีพ้นจากตำแหน่งด้วย

   มาตรา 28 คณบดีในบัณฑิตวิทยาลัย ต้องมีคุณสมบัติดังนี้
           (1) ได้รับปริญญาชั้นใดชั้นหนึ่งหรือเทียบเท่าจากมหาวิทยาลัย หรือสถาบัน
การศึกษาชั้นสูงอื่นที่สภามหาวิทยาลัยรับรองและ
           (2) ได้ทำการสอนมาแล้วรวมเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามปีในมหาวิทยาลัยหรือ
สถาบันการศึกษาชั้นสูงอื่นที่สภามหาวิทยาลัยรับรอง

   มาตรา 29 รองคณบดีในบัณฑิตวิทยาลัย ต้องได้รับปริญญาชั้นใดชั้นหนึ่งหรือเทียบเท่าจาก
มหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาชั้นสูงอื่นที่สภามหาวิทยาลัยรับรอง และ
           (1) ได้ทำการสอนมาแล้วรวมเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามปีในมหาวิทยาลัยหรือ
สถาบันการศึกษาชั้นสูงอื่นที่สภามหาวิทยาลัยรับรอง หรือ
           (2) เป็นข้าราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนใน
มหาวิทยาลัยมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี

   มาตรา 30 ในบัณฑิตวิทยาลัยให้มีคณะกรรมการประจำบัณฑิตวิทยาลัยคณะหนึ่ง มีอำนาจและ
หน้าที่บริหารงานของบัณฑิตวิทยาลัย และอาจให้มีคณะกรรมการอื่นที่จำเป็นเพื่อปฏิบัติงานต่าง ๆ
ของบัณฑิตวิทยาลัยตามที่สภามหาวิทยาลัยเห็นสมควรอีกก็ได้
   การกำหนดองค์ประกอบ อำนาจและหน้าที่ รวมทั้งวาระการดำรงตำแหน่งของคณะกรรมการ
ประจำบัณฑิตวิทยาลัยตลอดจนคณะกรรมการอื่น ให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย

   มาตรา 31 ในคณะและวิทยาลัยให้มีคณบดีคนหนึ่งเป็นผู้บังคับบัญชีและรับผิดชอบงานของคณะ
และวิทยาลัย และอาจมีรองคณบดีคนหนึ่งหรือหลายคนเพื่อช่วยกิจการที่คณบดีมอบหมาย
   ในแผนกอิสระให้มีหัวหน้าแผนกอิสระคนหนึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบงานของแผนก
อิสระ และอาจมีรองหัวหน้าแผนกอิสระคนหนึ่งหรือหลายคนเพื่อช่วยกิจการที่หัวหน้าแผนกอิสระ
มอบหมาย
   วิธีการแต่งตั้ง การถอดถอน คุณสมบัติ และวาระการดำรงตำแหน่งของคณบดีหรือ
หัวหน้าแผนกอิสระ รองคณบดี หรือรองหัวหน้าแผนกอิสระ ให้นำมาตรา 27 มาตรา 28 และ
มาตรา 29 มาใช้บังคับโดยอนุโลม

   มาตรา 32 ในคณะ วิทยาลัย หรือแผนกอิสระ ให้มีคณะกรรมการประจำคณะ วิทยาลัยหรือ
แผนกอิสระ ประกอบด้วย คณบดีหรือหัวหน้าแผนกอิสระเป็นประธาน รองคณบดีหรือรองหัวหน้า
แผนกอิสระหัวหน้าภาควิชา และหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าภาควิชา
ถ้ามี เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง และมีกรรมการซึ่งสภามหาวิทยาลัยแต่งตั้งจากคณาจารย์ประจำ
ศาสตราจารย์พิเศษ อาจารย์พิเศษ และผู้บรรยายพิเศษในคณะ วิทยาลัยหรือแผนกอิสระ หรือผู้
ทรงคุณวุฒิอื่น มีจำนวนไม่เกินกึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการโดยตำแหน่ง
   ในกรณีที่ไม่มีการแบ่งภาควิชา หรือมีแต่ไม่ถึงสี่ภาควิชา ให้มีกรรมการซึ่งสภามหาวิทยาลัย
แต่งตั้งจากคณาจารย์ประจำ ศาสตราจารย์พิเศษ อาจารย์พิเศษ และผู้บรรยายพิเศษในคณะ
วิทยาลัย หรือแผนกอิสระ หรือผู้ทรงคุณวุฒิอื่น มีจำนวนตามที่กำหนดในข้อบังคับของมหาวิทยาลัย
   ให้ประธานกรรมการเป็นผู้แต่งตั้งและถอดถอนเลขานุการคณะกรรมการตามวรรคหนึ่ง เมื่อ
ประธานกรรมการพ้นจากตำแหน่งให้เลขานุการพ้นจากตำแหน่งด้วย
   การแต่งตั้งกรรมการและคุณสมบัติของกรรมการซึ่งสภามหาวิทยาลัยแต่งตั้งให้เป็นไปตาม
ข้อบังคับของมหาวิทยาลัย

   มาตรา 33 กรรมการประจำคณะ วิทยาลัย หรือแผนกอิสระซึ่งสภามหาวิทยาลัยแต่งตั้งตาม
มาตรา 32 อยู่ในตำแหน่งคราวละสองปีและอาจได้รับแต่งตั้งใหม่อีกก็ได้
   ถ้าตำแหน่งกรรมการซึ่งสภามหาวิทยาลัยแต่งตั้งว่างลงก่อนวาระสภามหาวิทยาลัยจะแต่งตั้ง
กรรมการขึ้นแทนก็ได้ ในกรณีเช่นว่านี้ให้ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่
ของผู้ซึ่งตนแทน
   ในกรณีที่สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้งกรรมการเพิ่มขึ้น ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งท่ากับวาระ
ที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งไว้ก่อนแล้วนั้น

   มาตรา 34 คณะกรรมการประจำคณะ วิทยาลัย หรือแผนกอิสระ มีอำนาจและหน้าที่ ดังนี้
           (1) วางนโยบายและแผนงานของคณะ วิทยาลัยหรือแผนกอิสระ ให้สอดคล้องกับ
นโยบายของมหาวิทยาลัย
           (2) วางระเบียบและออกข้อบังคับทางการศึกษาของคณะ วิทยาลัย หรือแผนก
อิสระ ทั้งนี้ โดยไม่ขัดต่อระเบียบและข้อบังคับของมหาวิทยาลัย รวมทั้งวางระเบียบและออก
ข้อบังคับอื่นตามที่สภามหาวิทยาลัยมอบหมาย
           (3) พิจารณาวางหลักสูตรและรายละเอียดเกี่ยวกับหลักสูตร สำหรับคณะ
วิทยาลัย หรือแผนกอิสระ เพื่อเสนอสภามหาวิทยาลัย
           (4) จัดการสอบไล่สำหรับคณะ วิทยาลัย หรือแผนกอิสระ
           (5) ให้คำปรึกษาและให้ความเห็นแก่คณบดี หรือ  หัวหน้าแผนกอิสระในกิจการ
ของคณะ วิทยาลัย หรือแผนกอิสระ
           (6) พิจารณางบประมาณของคณะ วิทยาลัย หรือแผนกอิสระ เพื่อเสนอ
สภามหาวิทยาลัย
           (7) เสนอการแต่งตั้งและถอดถอนศาสตราจารย์พิเศษ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ
ในคณะ วิทยาลัย หรือแผนกอิสระต่อสภามหาวิทยาลัย

   มาตรา 35 การดำเนินงานของคณะกรรมการประจำคณะวิทยาลัย หรือแผนกอิสระ ให้เป็น
ไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย

   มาตรา 36 ในสถาบัน สำนัก ศูนย์ หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ
ให้มีผู้อำนวยการหรือหัวหน้าหน่วยงานคนหนึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบ และอาจมี
รองผู้อำนวยการหรือรองหัวหน้าหน่วยงานคนหนึ่งหรือหลายคน เพื่อช่วยกิจการที่ผู้อำนวยการหรือ
หัวหน้าหน่วยงานจะมอบหมายก็ได้
   คุณสมบัติ วิธีการแต่งตั้ง และวาระการดำรงตำแหน่งของผู้อำนวยการ หรือหัวหน้าหน่วยงาน
และรองผู้อำนวยการ หรือรองหัวหน้าหน่วยงาน ให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย
   เมื่อผู้อำนวยการหรือหัวหน้าหน่วยงานพ้นจากตำแหน่ง ให้รองผู้อำนวยการ หรือรองหัวหน้า
หน่วยงานพ้นจากตำแหน่งด้วย
   การดำเนินงานของสถาบัน สำนัก ศูนย์ หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่า
คณะ ให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย

   มาตรา 37 ในกรณีที่มีการแบ่งภาควิชาในคณะ วิทยาลัย หรือแผนกอิสระ ให้มีหัวหน้า
ภาควิชาเป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบงานของภาควิชา
   หัวหน้าภาควิชานั้น ให้สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้งจากคณาจารย์ประจำในมหาวิทยาลัย ซึ่งได้รับ
ปริญญาชั้นใดชั้นหนึ่ง หรือเทียบเท่าจากมหาวิทยาลัย หรือสถาบันการศึกษาชั้นสูงอื่นที่
สภามหาวิทยาลัยรับรองและได้ทำการสอนมาแล้วรวมเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสองปีในมหาวิทยาลัย
หรือสถาบันการศึกษาชั้นสูงอื่นที่สภามหาวิทยาลัยรับรอง
   หัวหน้าภาควิชามีวาระการดำรงตำแหน่งสามปี และอาจได้รับแต่งตั้งใหม่อีกก็ได้ แต่จะดำรง
ตำแหน่งเกินสองวาระติดต่อกันไม่ได้

   มาตรา 38 ให้นำความมาตรา 32 มาตรา 33 มาตรา 34 และมาตรา 35 มาใช้กับ
สถาบัน สำนัก ศูนย์ และหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะโดยอนุโลม

   มาตรา 39 วิธีการสรรหาบุคคลเพื่อเสนอให้มีการแต่งตั้งนายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการ
สภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ อธิการบดีคณบดี หัวหน้าแผนกอิสระ ผู้อำนวยการสถาบัน
ผู้อำนวยการสำนักผู้อำนวยการศูนย์ หัวหน้าภาควิชา และหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มี
ฐานะเทียบเท่าคณะ หรือภาควิชา ให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย

   มาตรา 40 ผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดี รองอธิการบดี คณบดีหัวหน้าแผนกอิสระ ผู้อำนวยการ
สถาบัน ผู้อำนวยการสำนัก ผู้อำนวยการศูนย์ หัวหน้าภาควิชา และหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่อ
อย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ หรือภาควิชา ต้องสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้เต็มเวลา และจะดำรง
ตำแหน่งดังกล่าวเกินหนึ่งตำแหน่งในขณะเดียวกันไม่ได้
   ผู้ดำรงตำแหน่งตามวรรคหนึ่งอาจรักษาราชการแทนในตำแหน่งอื่นดังกล่าวอีกตำแหน่งหนึ่ง
ก็ได้ แต่ต้องไม่เกินหกเดือน

   มาตรา 41 คณาจารย์ประจำในมหาวิทยาลัย มีตำแหน่งทางวิชาการ ดังนี้
           (1) ศาสตราจารย์
           (2) รองศาสตราจารย์
           (3) ผู้ช่วยศาสตราจารย์
           (4) อาจารย์

   มาตรา 42 ศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ต้องมีคุณวุฒิ
ความสามารถทางการสอนและผลงานทางวิชาการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบ
ข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย
   อาจารย์ต้องได้รับปริญญาชั้นใดชั้นหนึ่งหรือเทียบเท่าจากมหาวิทยาลัย หรือสถาบันการศึกษา
ชั้นสูงอื่นที่สภามหาวิทยาลัยรับรอง หรือมีความชำนาญพิเศษในสาขาวิชาที่มีการสอนใน
มหาวิทยาลัย
   ศาสตราจารย์นั้นจะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งโดยคำแนะนำของ
สภามหาวิทยาลัย

   มาตรา 43 นอกจากคณาจารย์ประจำในมาตรา 41 มหาวิทยาลัยอาจเชิญบุคคลที่มีคุณวุฒิและ
คุณสมบัติเหมาะสมเป็นอาจารย์พิเศษหรือผู้บรรยายพิเศษอีกก็ได้

   มาตรา 44 ศาสตราจารย์พิเศษนั้น จะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งจากผู้ซึ่งเป็น
หรือเคยเป็นอาจารย์พิเศษในวิชาที่ผู้นั้นมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษโดยคำแนะนำของ
สภามหาวิทยาลัย
   คุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นศาสตราจารย์พิเศษ ให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย

   มาตรา 45 ศาสตราจารย์ซึ่งมีความรู้ความสามารถและความชำนาญเป็นพิเศษ และพ้นจาก
หน้าที่ราชการในมหาวิทยาลัยไปแล้ว สภามหาวิทยาลัยอาจแต่งตั้งให้เป็นศาสตราจารย์เกียรติคุณ
ในวิชาที่ศาสตราจารย์ผู้นั้นมีความเชี่ยวชาญได้
   คุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์เกียรติคุณให้เป็นไปตามข้อบังคับของ
มหาวิทยาลัย

   มาตรา 46 ปริญญามีสามชั้น คือ
            เอก  เรียกว่า  ดุษฎีบัณฑิต   ใช้อักษรย่อ ด.
            โท   เรียกว่า  มหาบัณฑิต   ใช้อักษรย่อ ม.
            ตรี   เรียกว่า  บัณฑิต      ใช้อักษรย่อ บ.

   มาตรา 47 มหาวิทยาลัยมีอำนาจให้ปริญญาในสาขาวิชาที่มีการสอนในมหาวิทยาลัย
   การกำหนดให้สาขาวิชาใดมีปริญญาใด และจะใช้อักษรย่อสำหรับสาขาวิชานั้นอย่างไร ให้
ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา

   มาตรา 48 สภามหาวิทยาลัยอาจออกข้อบังคับให้ผู้สำเร็จการศึกษาชั้นปริญญาตรี ได้รับ
ปริญญาเกียรตินิยมได้

   มาตรา 49 สภามหาวิทยาลัยอาจออกข้อบังคับกำหนดให้มีประกาศนียบัตรบัณฑิต อนุปริญญา
หรือประกาศนียบัตร ได้ดังนี้
           (1) ประกาศนียบัตรบัณฑิต ออกให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรในสาขาวิชา
ใดสาขาวิชาหนึ่งภายหลังที่ได้รับปริญญาแล้ว
           (2) อนุปริญญา ออกให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรในสาขาวิชาใดสาขา
วิชาหนึ่ง ก่อนถึงขั้นได้รับปริญญาตรี
           (3) ประกาศนียบัตร ออกให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรเฉพาะวิชา

   มาตรา 50 มหาวิทยาลัยมีอำนาจให้ปริญญากิตติมศักดิ์แก่บุคคลซึ่งสภามหาวิทยาลัยเห็นว่าทรง
คุณวุฒิสมควรแก่ปริญญานั้น แต่จะให้ปริญญาดังกล่าวแก่คณาจารย์ประจำ นายกสภามหาวิทยาลัย
หรือกรรมการสภามหาวิทยาลัยในขณะที่ดำรงตำแหน่งนั้นไม่ได้
   ชั้น สาขาของปริญญา และหลักเกณฑ์การให้ปริญญากิตติมศักดิ์ให้เป็นไปตามข้อบังคับของ
มหาวิทยาลัย

   มาตรา 51 มหาวิทยาลัยอาจกำหนดให้มีครุยประจำตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัย
กรรมการสภามหาวิทยาลัย อธิการบดี รองอธิการบดีคณบดี หัวหน้าแผนกอิสระ คณาจารย์ประจำ
ในมหาวิทยาลัย อาจารย์พิเศษและผู้บรรยายพิเศษ และอาจกำหนดให้มีครุยวิทยฐานะหรือเข็ม
วิทยฐานะเป็นเครื่องหมายแสดงวิทยฐานะของผู้ได้รับปริญญา ประกาศนียบัตรบัณฑิตอนุปริญญา
และประกาศนียบัตรได้
   การกำหนดลักษณะ ชนิด ประเภท และส่วนประกอบของครุยประจำตำแหน่ง ครุยวิทยฐานะ
และเข็มวิทยฐานะ ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
   ครุยประจำตำแหน่ง ครุยวิทยฐานะ และเข็มวิทยฐานะ จะใช้ในโอกาสใด โดยมีเงื่อนไข
อย่างไร ให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย

   มาตรา 52 สภามหาวิทยาลัยอาจออกข้อบังคับกำหนดเครื่องแบบเครื่องหมาย หรือ
เครื่องแต่งกายนักศึกษาได้ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา

   มาตรา 53 ผู้ใดใช้ครุยประจำตำแหน่ง ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ เครื่องแบบ
เครื่องหมาย หรือเครื่องแต่งกายนักศึกษาของมหาวิทยาลัยโดยไม่มีสิทธิที่ใช้ หรือแสดงด้วย
ประการใด ๆ ว่าตนมีตำแหน่งปริญญา ประกาศนียบัตรบัณฑิตอนุปริญญา หรือประกาศนียบัตรของ
มหาวิทยาลัยโดยที่ตนไม่มี ถ้าได้กระทำเพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนมีสิทธิที่จะใช้หรือมีตำแหน่งหรือ
วิทยฐานะเช่นนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำ
ทั้งปรับ

   มาตรา 54 ให้ผู้ดำรงตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการสภามหาวิทยาลัยอยู่ใน
วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ คงปฏิบัติหน้าที่นายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการสภามหาวิทยาลัย
ต่อไป จนกว่าจะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งนายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการ
สภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ และมีการเลือกตั้งกรรมการสภามหาวิทยาลัยตามพระราชบัญญัตินี้
ซึ่งต้องไม่เกินหนึ่งร้อยยี่สิบวัน นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

   มาตรา 55 ให้ผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีและรองอธิการบดีอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
คงดำรงตำแหน่งต่อไป สำหรับผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดี ถ้าดำรงตำแหน่งยังไม่ครบสามปีนับแต่
วันที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้ง ให้ดำรงตำแหน่งต่อไปจนครบสามปี ถ้าดำรง
ตำแหน่งครบสามปีแล้ว ให้ผู้นั้นรักษาการในตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะมีการแต่งตั้งอธิการบดีตาม
พระราชบัญญัตินี้ ซึ่งต้องไม่เกินหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
   ให้ผู้ดำรงตำแหน่งคณบดี หัวหน้าแผนกอิสระ อยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ซึ่งดำรง
ตำแหน่งยังไม่ครบสามปีนับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้งคงดำรงตำแหน่งต่อไปจนครบสามปี ถ้าดำรง
ตำแหน่งครบสามปีแล้วให้ผู้นั้นรักษาการในตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะมีการแต่งตั้งคณบดี และหัวหน้า
แผนกอิสระตามพระราชบัญญัตินี้ ซึ่งต้องไม่เกินหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
   ให้ผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบัน สำนัก และศูนย์ อยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ซึ่งดำรงตำแหน่งยังไม่ครบสามปีนับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้ง คงดำรงตำแหน่งต่อไปจนครบสามปี ถ้า
ดำรงตำแหน่งมาครบสามปีแล้ว ให้ผู้นั้นรักษาการในตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะได้มีการแต่งตั้ง
ผู้อำนวยการสถาบัน สำนัก และศูนย์ ตามพระราชบัญญัตินี้ ซึ่งต้องไม่เกินหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่
วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
   ให้ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกวิชาอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เป็นหัวหน้าภาควิชา
ตามพระราชบัญญัตินี้ ถ้าผู้นั้นดำรงตำแหน่งยังไม่ครบสามปีนับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้งให้คงดำรง
ตำแหน่งต่อไปจนครบสามปี ถ้าดำรงตำแหน่งครบสามปีแล้วให้ผู้นั้นรักษาการในตำแหน่งต่อไป
จนกว่าจะมีการแต่งตั้งหัวหน้าภาควิชาตามพระราชบัญญัตินี้ ซึ่งต้องไม่เกินหนึ่งร้อยยี่สิบวัน นับแต่
วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
   การดำรงตำแหน่งของอธิการบดี คณบดี หัวหน้าแผนกอิสระผู้อำนวยการสถาบัน สำนัก และ
ศูนย์ และหัวหน้าแผนกวิชา ตามวรรคหนึ่ง วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่ มิให้ถือว่าเป็น
การดำรงตำแหน่งในวาระตามมาตรา 21 มาตรา 27 มาตรา 31 มาตรา 36 และมาตรา
37 แล้วแต่กรณี

   มาตรา 56 ให้ผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการในคณะกรรมการประจำบัณฑิตวิทยาลัย คณะ
วิทยาลัย แผนกอิสระ สถาบัน สำนัก ศูนย์อยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ คงปฏิบัติหน้าที่ใน
ตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะมีการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการดังกล่าวตามพระราชบัญญัตินี้ ซึ่ง
ต้องไม่เกินหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

   มาตรา 57 ให้ผู้ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ ศาสตราจารย์พิเศษรองศาสตราจารย์
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ และอาจารย์ประจำของมหาวิทยาลัยอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ มี
ฐานะเป็นศาสตราจารย์ ศาสตราจารย์พิเศษ รองศาสตราจารย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์และ
อาจารย์ ต่อไปตามพระราชบัญญัตินี้

   มาตรา 58 บทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของผู้ที่ได้รับปริญญา
อนุปริญญา ประกาศนียบัตรชั้นสูง หรือประกาศนียบัตรของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมีอยู่แล้ว
ก่อนวันใช้พระราชบัญญัตินี้

   มาตรา 59 ในระหว่างที่ยังไม่มีพระราชกฤษฎีกา ประกาศทบวงมหาวิทยาลัย ระเบียบและ
ข้อบังคับ เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ให้นำพระราชกฤษฎีกา ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี
ประกาศทบวงมหาวิทยาลัย ระเบียบ และข้อบังคับที่ใช้อยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ มาใช้
บังคับโดยอนุโลม
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลตรี ชาติชาย ชุณหะวัณ
นายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัตินี้ คือ โดยที่กฎหมายว่าด้วย
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งใช้บังคับตั้งแต่ พ.ศ. 2495 และแก้ไขเพิ่มเติมอีกหลายครั้ง ยังไม่
เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน และไม่สอดคล้องกับความเจริญก้าวหน้าของมหาวิทยาลัยในการ
ส่งเสริมและพัฒนาทางวิชาการ การผลิตบัณฑิต การบริการสังคมและการส่งเสริมศิลป
วัฒนธรรม สมควรปรับปรุงกฎหมายดังกล่าวให้เหมาะสมยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
(ร.จ. เล่ม 105 ตอนที่ 206 หน้า 1  8 ธันวาคม 2531)