พระราชบัญญัติ มหาวิทยาลัยศิลปากร พ.ศ. 2530 |
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2530 เป็นปีที่ 42 ในรัชกาลปัจจุบัน |
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยมหาวิทยาลัยศิลปากร จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ โดยคำแนะนำและยินยอมของ รัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยศิลปากร พ.ศ. 2530"
มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป
มาตรา 3 ให้ยกเลิก (1) พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยศิลปากร พ.ศ. 2511 (2) ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 181 ลงวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 บรรดากฎหมาย กฎ และข้อบังคับอื่นที่มีบัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัตินี้หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับ บทแห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้แทน
มาตรา 4 ให้มหาวิทยาลัยศิลปากรซึ่งจัดตั้งโดยพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยศิลปากร พ.ศ. 2511 เป็นมหาวิทยาลัยศิลปากรตามพระราชบัญญัตินี้ และเป็นนิติบุคคล
มาตรา 5 ในพระราชบัญญัตินี้ "มหาวิทยาลัย" หมายความว่า มหาวิทยาลัยศิลปากร "สภามหาวิทยาลัย" หมายความว่า สภามหาวิทยาลัยศิลปากร "วิทยาลัยเขต" หมายความว่า เขตการศึกษาของมหาวิทยาลัยที่มีคณะ วิทยาลัย สถาบัน สำนักศูนย์ หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ ตั้งแต่สอง ส่วนราชการขึ้นไปตั้งอยู่ในเขตนั้น
มาตรา 6 ให้รัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัยรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้และให้มีอำนาจ ออกประกาศเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติ ประกาศนั้นเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
มาตรา 7 ให้มหาวิทยาลัยเป็นสถานศึกษาและวิจัย มีวัตถุประสงค์ให้การศึกษาส่งเสริม วิชาการและวิชาชีพชั้นสูง ทำการสอนทำการวิจัย ให้บริการทางวิชาการแก่สังคมและทะนุบำรุง ศิลปวัฒนธรรม
มาตรา 8 มหาวิทยาลัยอาจแบ่งส่วนราชการ ดังนี้ (1) สำนักงานอธิการบดี (2) วิทยาเขต (3) บัณฑิตวิทยาลัย (4) คณะ (5) วิทยาลัย มหาวิทยาลัยอาจให้มีสถาบัน สำนัก ศูนย์ และหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะ เทียบเท่าคณะ เพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ในมาตรา 7 เป็นส่วนราชการในมหาวิทยาลัยอีก ได้ สำนักงานอธิการบดี อาจแบ่งส่วนราชการเป็นกอง หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะ เทียบเท่ากอง คณะ และวิทยาลัย อาจแบ่งส่วนราชการเป็นสำนักงานเลขานุการภาควิชา กอง หรือ หน่วยงานเรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าภาควิชาหรือกอง บัณฑิตวิทยาลัย สถาบัน สำนัก ศูนย์ และหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ อาจแบ่งส่วนราชการเป็นสำนักงานเลขานุการ กอง หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะ เทียบเท่ากอง สำนักงานเลขานุการ กอง และหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่ากองอาจแบ่ง ส่วนราชการเป็นแผนก หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าแผนก
มาตรา 9 การจัดตั้ง การรวม และการยุบเลิกวิทยาเขต บัณฑิตวิทยาลัย คณะ วิทยาลัย สถาบัน สำนัก และศูนย์ หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะให้ตราเป็น พระราชกฤษฎีกา การแบ่งส่วนราชการเป็นภาควิชา หน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าภาควิชา สำนักงานเลขานุการ กอง และแผนก หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่ากอง หรือแผนก ให้ทำเป็นประกาศทบวงมหาวิทยาลัย
มาตรา 10 ภายใต้วัตถุประสงค์ตามมาตรา 7 มหาวิทยาลัยจะรับสถาบันการศึกษาชั้นสูงหรือ สถาบันวิจัยอื่นเข้าสมทบในมหาวิทยาลัยก็ ได้ และมีอำนาจให้ปริญญา อนุปริญญา หรือ ประกาศนียบัตรชั้นหนึ่งชั้นใดแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันสมทบนั้นได้ การรับเข้าสมทบหรือยกเลิกการสมทบซึ่งสถาบันการศึกษาชั้นสูงหรือสถาบันวิจัยให้เป็นไปตาม ข้อบังคับของมหาวิทยาลัย โดยทำเป็นประกาศทบวงมหาวิทยาลัย การควบคุมสถาบันการศึกษาชั้นสูงหรือสถาบันวิจัยที่เข้าสมทบในมหาวิทยาลัย ให้เป็นไปตาม ข้อบังคับของมหาวิทยาลัย
มาตรา 11 นอกจากเงินที่กำหนดให้ในงบประมาณแผ่นดิน มหาวิทยาลัยอาจมีรายได้ ดังนี้ (1) เงินผลประโยชน์และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย (2) ทรัพย์สินซึ่งมีผู้อุทิศให้แก่มหาวิทยาลัย (3) รายได้หรือผลประโยชน์ที่ได้มาจากการใช้ที่ราชพัสดุ ซึ่งมหาวิทยาลัย ปกครองดูแลหรือใช้ประโยชน์ (4) รายได้หรือผลประโยชน์อื่น ๆ ให้มหาวิทยาลัยมีอำนาจในการปกครอง ดูแล บำรุงรักษา ใช้และจัดหาผลประโยชน์จาก ทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยทั้งที่เป็นราชพัสดุตามกฎหมายว่าด้วยที่ราชพัสดุและที่เป็นทรัพย์สินอื่น รายได้ของมหาวิทยาลัยไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วย เงินคงคลังและกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ
มาตรา 12 บรรดารายได้และทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยจะต้องจัดการเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ ของมหาวิทยาลัยดังระบุไว้ในมาตรา 7 หรือตามวัตถุประสงค์ซึ่งผู้อุทิศทรัพย์สินให้แก่มหาวิทยาลัย กำหนดไว้
มาตรา 13 ให้มีสภามหาวิทยาลัย ประกอบด้วย (1) นายกสภามหาวิทยาลัย ซึ่งจะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้ง (2) อุปนายกสภามหาวิทยาลัย ได้แก่ อธิการบดีโดยตำแหน่ง (3) ประธานสภาคณาจารย์มหาวิทยาลัย และประธานกรรมการส่งเสริมกิจการ มหาวิทยาลัย เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง (4) กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนสิบห้าคน ซึ่งจะได้ทรงพระ กรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งจากบุคคลภายนอกโดยคำแนะนำของอธิการบดีและกรรมการ สภามหาวิทยาลัยตาม (5) และ (6) (5) กรรมการสภามหาวิทยาลัยจำนวนเก้าคน ซึ่งเลือกตั้งจากผู้ดำรงตำแหน่ง รองอธิการบดี คณบดี ผู้อำนวยการวิทยาลัยผู้อำนวยการสถาบัน ผู้อำนวยการสำนัก ผู้อำนวยการ ศูนย์และหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ (6) กรรมการสภามหาวิทยาลัยจำนวนเก้าคน ซึ่งเลือกตั้งจากคณาจารย์ประจำผู้ ได้ทำการสอนในมหาวิทยาลัยมาแล้วไม่น้อยกว่า5 ปี คุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัย และกรรมการสภามหาวิทยาลัย ผู้ทรงคุณวุฒิ ให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย ให้สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้งรองอธิการบดีคนหนึ่งเป็นเลขานุการสภามหาวิทยาลัยโดย คำแนะนำของอธิการบดี
มาตรา 14 การเลือกตั้งกรรมการสภามหาวิทยาลัยตามมาตรา 13 (5) ให้ผู้ดำรงตำแหน่ง รองอธิการบดี คณบดี ผู้อำนวยการวิทยาลัยผู้อำนวยการสถาบัน ผู้อำนวยการสำนัก ผู้อำนวยการ ศูนย์ และหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ เป็นผู้เลือกตั้งส่วนการ เลือกตั้งกรรมการสภามหาวิทยาลัยตามมาตรา 13 (6) ให้คณาจารย์ประจำของมหาวิทยาลัย เป็นผู้เลือกตั้ง คุณสมบัติของผู้รับเลือกตั้ง ตลอดจนหลักเกณฑ์และวิธีการเลือกตั้งกรรมการสภามหาวิทยาลัย ตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย
มาตรา 15 นายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิตามมาตรา 13 (4) และกรรมการสภามหาวิทยาลัยตามมาตรา 13 (5) และ (6) มีวาระการดำรงตำแหน่ง สองปี แต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งหรืออาจได้รับเลือกตั้งใหม่อีกได้ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามวรรคหนึ่งนายกสภามหาวิทยาลัยและ กรรมการสภามหาวิทยาลัยตามมาตรา 13 (4) (5) และ (6) พ้นจากตำแหน่งเมื่อ (1) ตาย (2) ลาออก (3) ขาดคุณสมบัติของการเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยในประเภทนั้น (4) มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ถอดถอนเพราะขาดคุณสมบัติของ การเป็นนายกสภามหาวิทยาลัย หรือกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ ในกรณีที่นายกสภามหาวิทยาลัย หรือกรรมการสภามหาวิทยาลัยตามมาตรา 13 (4) (5) และ (6) พ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งหรือได้มี การเลือกตั้งผู้ดำรงตำแหน่งแทนแล้ว ให้ผู้ที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งหรือได้ รับเลือกตั้งอยู่ในตำแหน่งเพียงเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งตนแทน ในกรณีที่นายกสภามหาวิทยาลัย หรือกรรมการสภามหาวิทยาลัยพ้นจากตำแหน่งตามวาระแต่ ยังมิได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งนายกสภามหาวิทยาลัย หรือกรรมการ สภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ หรือยังมิได้เลือกตั้งกรรมการสภามหาวิทยาลัยอื่นขึ้นใหม่ ให้นายก สภามหาวิทยาลัยหรือกรรมการสภามหาวิทยาลัยซึ่งพ้นจากตำแหน่งปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะได้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งนายกสภามหาวิทยาลัย หรือกรรมการสภามหาวิทยาลัย ผู้ทรงคุณวุฒิ หรือได้มีการเลือกตั้งกรรมการสภามหาวิทยาลัยอื่นขึ้นใหม่แล้ว
มาตรา 16 สภามหาวิทยามีอำนาจและหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการทั่วไปของมหาวิทยาลัย และ โดยเฉพาะมีอำนาจและหน้าที่ ดังนี้ (1) วางนโยบายของมหาวิทยาลัยเกี่ยวกับการศึกษา การวิจัย การให้บริการ ทางวิชาการแก่สังคม และการทะนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม (2) วางระเบียบและออกข้อบังคับของมหาวิทยาลัยและอาจมอบให้ส่วนราชการ ใดในมหาวิทยาลัยเป็นผู้วางระเบียบและออกข้อบังคับสำหรับส่วนราชการนั้นเป็นเรื่อง ๆ ไปก็ได้ (3) อนุมัติให้ปริญญา ประกาศนียบัตรบัณฑิตอนุปริญญา และประกาศนียบัตร (4) เสนอการจัดตั้ง การรวม และการยุบเลิกวิทยาเขต บัณฑิตวิทยาลัย คณะ วิทยาลัย สถาบัน สำนักและศูนย์หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะรวมทั้ง การแบ่งส่วนราชการของหน่วยงานดังกล่าว (5) อนุมัติการรับเข้าสมทบหรือยกเลิกการสมทบ ซึ่งสถาบันการศึกษาชั้นสูงและ สถาบันวิจัย (6) พิจารณาให้ความเห็นชอบหลักสูตรการศึกษาให้สอดคล้องกันมาตรฐานที่ ทบวงมหาวิทยาลัยกำหนด (7) พิจารณาดำเนินการเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งและพิจารณา ถอดถอนอธิการบดี (8) แต่งตั้งและถอดถอนรองอธิการบดี คณบดี ผู้อำนวยการวิทยาลัย ผู้อำนวยการสถาบัน ผู้อำนวยการสำนัก ผู้อำนวยการศูนย์หรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่น ที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ และหัวหน้าภาควิชาหรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะ เทียบเท่าภาควิชา (9) พิจารณาดำเนินการเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งและพิจารณา ถอดถอนศาสตราจารย์และศาสตราจารย์พิเศษ (10) แต่งตั้งและถอดถอนศาสตราจารย์เกียรติคุณ (11) วางระเบียบและออกข้อบังคับต่าง ๆ เกี่ยวกับการเงิน และทรัพย์สินของ มหาวิทยาลัย (12) อนุมัติงบประมาณรายจ่ายจากเงินรายได้ของมหาวิทยาลัย (13) แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาและเสนอความเห็นในเรื่องหนึ่งเรื่องใด หรือเพื่อมอบหมายให้ปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใด อันอยู่ในอำนาจและหน้าที่ของสภามหาวิทยาลัย (14) ปฏิบัติหน้าที่อื่นเกี่ยวกับกิจการของมหาวิทยาลัยที่มีได้ระบุให้เป็นหน้าที่ของ ผู้ใด
มาตรา 17 การประชุมของสภามหาวิทยาลัย ให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย
มาตรา 18 มหาวิทยาลัยอาจให้มีคณะกรรมการส่งเสริมกิจการมหาวิทยาลัยขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบด้วยประธานกรรมการ และกรรมการอีกจำนวนหนึ่งซึ่งสภามหาวิทยาลัยแต่งตั้ง คณะกรรมการส่งเสริมกิจการมหาวิทยาลัย มีหน้าที่ให้คำแนะนำปรึกษาแก่มหาวิทยาลัยและ สนับสนุนการดำเนินกิจการของมหาวิทยาลัย จำนวนและคุณสมบัติของกรรมการส่งเสริมกิจการมหาวิทยาลัยวาระในการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง ตลอดจนการประชุมให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย
มาตรา 19 ให้มีอธิการบดีเป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบการบริหารงานของมหาวิทยาลัย และอาจมีรองอธิการบดีหรือผู้ช่วยอธิการบดีหรือมีทั้งรองอธิการบดีและผู้ช่วยอธิการบดีคนหนึ่งหรือ หลายคนก็ได้ เพื่อทำหน้าที่และรับผิดชอบตามที่อธิการบดีมอบหมาย เพื่อประโยชน์ในการบังคับบัญชาให้ถือว่าอธิการบดีเป็นอธิบดี และรองอธิการบดีเป็น รองอธิบดี ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินและกฎหมายอื่น
มาตรา 20 อธิการบดีนั้นจะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งโดยคำแนะนำของ สภามหาวิทยาลัยจากบุคคลที่มีคุณสมบัติตามมาตรา 21 อธิการบดีมีวาระการดำรงตำแหน่งสี่ปี และจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งใหม่อีกได้ แต่จะดำรงตำแหน่งเกินสองวาระติดต่อกันมิได้ สำหรับรองอธิการบดี ให้สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้งโดยคำแนะนำของอธิการบดีจากบุคคลที่มี คุณสมบัติตามมาตรา 21 สำหรับผู้ช่วยอธิการบดี ให้อธิการบดีเป็นผู้แต่งตั้งจากบุคคลที่มีคุณสมบัติตามมาตรา 21 เมื่ออธิการบดีพ้นจากตำแหน่ง ให้รองอธิการบดีและผู้ช่วยอธิการบดีพ้นจากตำแหน่งด้วย
มาตรา 21 อธิการบดี รองอธิการบดี และผู้ช่วยอธิการบดีต้องมีคุณสมบัติอย่างหนึ่งอย่างใด ดังนี้ (1) ได้ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัย หรือได้ปริญญาเอกหรือเทียบเท่าจากสถาบัน อุดมศึกษาอื่นที่สภามหาวิทยาลัยรับรอง และได้สอนมาแล้วไม่น้อยกว่าสามปีในมหาวิทยาลัยหรือ สถาบันอุดมศึกษาอื่นที่สภามหาวิทยาลัยรับรอง หรือเคยดำรงตำแหน่งกรรมการสภามหาวิทยาลัย มาแล้วไม่น้อยกว่าสองปี (2) ได้ปริญญาชั้นหนึ่งชั้นหนึ่งใดหรือเทียบเท่าจากมหาวิทยาลัย หรือสถาบัน อุดมศึกษาอื่นที่สภามหาวิทยาลัยรับรอง และได้สอนมาแล้วไม่น้อยกว่าหกปีในมหาวิทยาลัยหรือ สถาบันอุดมศึกษาอื่นที่สภามหาวิทยาลัยรับรอง หรือเคยดำรงตำแหน่งกรรมการสภามหาวิทยาลัย มาแล้วไม่น้อยกว่าสี่ปี (3) ดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัย
มาตรา 22 อธิการบดีมีอำนาจและหน้าที่ ดังนี้ (1) บริหารกิจการของมหาวิทยาลัยให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับของทางราชการ รวมทั้งนโยบายและวัตถุประสงค์ของมหาวิทยาลัย (2) ควบคุมบุคลากร การเงิน การพัสดุ สถานที่และทรัพย์สินอื่นของมหาวิทยาลัย ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับของมหาวิทยาลัย (3) รักษาระเบียบวินัยและส่งเสริมกิจการนักศึกษา (4) เป็นผู้แทนของมหาวิทยาลัยในกิจการทั่วไป (5) เสนอรายงานประจำปีเกี่ยวกับกิจการด้านต่าง ๆของมหาวิทยาลัยต่อ สภามหาวิทยาลัย (6) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามระเบียบและข้อบังคับของมหาวิทยาลัยหรือตามที่ สภามหาวิทยาลัยมอบหมาย
มาตรา 23 ในกรณีที่ผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีไม่อาจปฏิบัติราชการได้ให้รองอธิการบดีเป็น ผู้รักษาราชการแทนถ้ามีรองอธิการบดี หลายคนให้รองอธิการบดีที่อธิการบดีมอบหมายเป็น ผู้รักษาราชการแทนถ้าอธิการบดีมิได้มอบหมาย ให้รองอธิการบดีที่มีอาวุโสสูงสุดเป็นผู้รักษา ราชการแทน ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดี หรือไม่มีผู้รักษาราชการแทนอธิการบดีตามความใน วรรคหนึ่ง หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ให้สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้งผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา 21 เป็นผู้รักษาราชการแทนอธิการบดี
มาตรา 24 ให้มีสภาคณาจารย์มหาวิทยาลัย ประกอบด้วยกรรมการซึ่งคณาจารย์ประจำของ มหาวิทยาลัยเลือกตั้งขึ้นจากคณาจารย์ประจำของมหาวิทยาลัย สภาคณาจารย์มหาวิทยาลัยมีหน้าที่ให้คำปรึกษาและข้อแนะนำแก่อธิการบดี และหน้าที่อื่นตามที่ อธิการบดีมอบหมาย องค์ประกอบ จำนวนกรรมการ หลักเกณฑ์และวิธีการเลือกตั้งวาระการดำรงตำแหน่งและ การดำเนินงานของสภาคณาจารย์มหาวิทยาลัยให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย
มาตรา 25 ในวิทยาลัยเขตหนึ่ง ให้มีสำนักวิทยาลัย โดยมีรองอธิการบดีคนหนึ่งเป็น ผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบงานของวิทยาเขตนั้นแทนอธิการบดีตามที่ได้รับมอบหมาย และจะให้มี ผู้ช่วยอธิการบดีคนหนึ่งหรือหลายคนก็ได้ สำนักงานวิทยาเขตอาจแบ่งส่วนราชการเป็นกอง หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะ เทียบเท่ากอง การแบ่งส่วนราชการของสำนักงานวิทยาเขตตามวรรคสอง ให้ทำเป็นประกาศทบวง มหาวิทยาลัย
มาตรา 26 ในวิทยาเขตหนึ่ง ให้มีคณะกรรมการประจำวิทยาเขตประกอบด้วย รองอธิการบดีประจำวิทยาเขตเป็นประธานกรรมการ คณบดีผู้อำนวยการวิทยาลัย ผู้อำนวยการ สถาบัน ผู้อำนวยการสำนัก ผู้อำนวยการศูนย์ และหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะ เทียบเท่าคณะในวิทยาเขตนั้น เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง กับกรรมการที่สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้ง จากคณาจารย์ประจำในวิทยาเขตนั้นมีจำนวนไม่เกินกึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการโดยตำแหน่งแต่ ไม่น้อยกว่าสามคน ให้คณะกรรมการประจำวิทยาเขตแห่งตั้งบุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นเลขานุการของคณะกรรมการ กรรมการซึ่งสภามหาวิทยาลัยแต่งตั้งมีวาระการดำรงตำแหน่งสองปีแต่อาจได้รับแต่งตั้งใหม่ อีกได้ การประชุมของคณะกรรมการประจำวิทยาเขต ให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย
มาตรา 27 คณะกรรมการประจำวิทยาเขต มีอำนาจและหน้าที่ดังนี้ (1) ให้คำปรึกษา แนะนำเกี่ยวกับการดำเนินกิจการต่าง ๆ ภายในวิทยาลัยเขต ต่ออธิการบดี (2) ประสานงานระหว่างบัณฑิตวิทยาลัย คณะวิทยาลัย สถาบัน สำนัก ศูนย์ และ หน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะภายในวิทยาเขต (3) พิจารณาเสนอการออกระเบียบปฏิบัติของวิทยาเขตต่ออธิการบดี และวาง ระเบียบหรือออกข้อบังคับอื่นตามที่สภามหาวิทยาลัยมอบหมาย (4) ปฏิบัติงานอื่นตามที่อธิการบดีมอบหมาย
มาตรา 28 ในบัณฑิตวิทยาลัย ให้มีคณบดีเป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบงานของ บัณฑิตวิทยาลัย และจะให้มีรองคณบดีคนหนึ่งหรือหลายคนก็ได้ เพื่อทำหน้าที่และรับผิดชอบตามที่ คณบดีมอบหมาย คณบดีนั้น ให้สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้งจากบุคคลที่มีคุณสมบัติตามมาตรา 29 รองคณบดีนั้น ให้อธิการบดีแต่งตั้งโดยคำแนะนำของคณบดีจากบุคคลที่มีคุณสมบัติตามมาตรา 29 คณบดีมีวาระการดำรงตำแหน่งสี่ปี และอาจได้รับแต่งตั้งใหม่อีกได้แต่จะดำรงตำแหน่งเกิน สองวาระติดต่อกันมิได้ เมื่อคณบดีพ้นจากตำแหน่ง ให้รองคณบดีพ้นจากตำแหน่งด้วย
มาตรา 29 คณบดีและรองคณบดีของบัณฑิตวิทยาลัยจะต้องมีคุณสมบัติได้ปริญญาชั้นหนึ่งชั้นใด หรือเทียบเท่าจากมหาวิทยาลัยหรือจากสถาบันอุดมศึกษาอื่นที่สภามหาวิทยาลัยรับรอง และได้ทำ การสอนหรือมีประสบการณ์ด้านบริหารมาแล้วไม่น้อยกว่าสามปีในมหาวิทยาลัยหรือในสถาบัน อุดมศึกษาอื่นที่สภามหาวิทยาลัยรับรอง รองคณบดีต้องเป็นข้าราชการพลเรือนของมหาวิทยาลัย
มาตรา 30 การจัดให้มีคณะกรรมการประจำบัณฑิตวิทยาลัย และการจัดระบบบริหารงานใน บัณฑิตวิทยาลัย ให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย
มาตรา 31 ในคณะหนึ่ง ให้มีคณบดีเป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบงานของคณะ และจะให้มี รองคณบดีคนหนึ่งหรือหลายคนก็ได้เพื่อทำหน้าที่และรับผิดชอบตามที่คณบดีมอบหมาย การแต่งตั้ง วาระการดำรงตำแหน่ง และคุณสมบัติของคณบดีและรองคณบดีตามวรรคหนึ่ง ให้ นำบทบัญญัติมาตรา 28 และมาตรา 29 มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา 32 ในคณะหนึ่ง ให้มีคณะกรรมการประจำคณะประกอบด้วยคณบดี รองคณบดี หัวหน้า ภาควิชา และหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าภาควิชา ถ้ามี เป็นกรรมการ โดยตำแหน่งและกรรมการที่อธิการบดีแต่งตั้งจากคณาจารย์ประจำในคณะมีจำนวนไม่เกินกึ่งหนึ่ง ของจำนวนกรรมการโดยตำแหน่ง ถ้าไม่มีการแบ่งภาควิชาหรือมีแต่ไม่ถึงสี่ภาควิชา ให้อธิการบดี แต่งตั้งคณาจารย์ประจำในคณะเป็นกรรมการเพิ่มเติมให้ได้จำนวนทั้งหมดไม่น้อยกว่าห้าคนแต่ ไม่เกินเจ็ดคน กรรมการที่อธิการบดีแต่งตั้งตามวรรคหนึ่งจะเป็นคณาจารย์ประจำในภาควิชาเดียวกัน เกินกว่าหนึ่งคนไม่ได้ จำนวนและคุณสมบัติของกรรมการที่จะได้รับแต่งตั้งในแต่ละคณะให้เป็นไปตามข้อบังคับของ มหาวิทยาลัย ให้คณบดีเป็นประธานคณะกรรมการประจำคณะ และให้คณะกรรมการประจำคณะแต่งตั้งบุคคล หนึ่งบุคคลใดเป็นเลขานุการของคณะกรรมการประจำคณะ กรรมการที่อธิการบดีแต่งตั้งมีวาระการดำรงตำแหน่งสองปีแต่อาจได้รับแต่งตั้งใหม่อีกได้ การประชุมของคณะกรรมการประจำคณะให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย
มาตรา 33 คณะกรรมการประจำคณะมีอำนาจและหน้าที่ ดังนี้ (1) วางนโยบายและแผนงานของคณะให้สอดคล้องกับนโยบายของ สภามหาวิทยาลัย (2) พิจารณาหลักสูตรและรายละเอียดเกี่ยวกับหลักสูตรสำหรับคณะเพื่อเสนอต่อ สภามหาวิทยาลัย (3) พิจารณาวางระเบียบ และออกข้อบังคับภายในคณะตามที่สภามหาวิทยาลัย มอบหมาย หรือเพื่อเสนอต่อสภามหาวิทยาลัย (4) พิจารณาเสนอเกี่ยวกับการดำรงตำแหน่งทางวิชาการของคณาจารย์ในคณะ ต่อมหาวิทยาลัย (5) จัดการวัดผล ประเมินผล และควบคุมมาตรฐานการศึกษาของคณะ (6) ให้คำปรึกษาและเสนอความเห็นแก่คณบดี (7) ปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ตามที่คณบดีมอบหมาย
มาตรา 34 ในกรณีที่มีการแบ่งภาควิชาหรือแบ่งหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะ เทียบเท่าภาควิชาในคณะ ให้มีหัวหน้าภาควิชาหรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะ เทียบเท่าภาควิชาเป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบงานของภาควิชาหรือหน่วยงานที่เรียกชื่อ อย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าภาควิชา และจะให้มีรองหัวหน้าภาควิชาหรือรองหัวหน้าหน่วยงานที่ เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าภาควิชาคนหนึ่งหรือหลายคนก็ได้ เพื่อทำหน้าที่และรับผิดชอบ ตามที่หัวหน้าภาควิชาหรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าภาควิชามอบหมาย หัวหน้าภาควิชาหรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าภาควิชารวมทั้งผู้ ดำรงตำแหน่งรองของตำแหน่งดังกล่าวนั้น ให้แต่งตั้งจากคณาจารย์ประจำของมหาวิทยาลัย การแต่งตั้งหัวหน้าภาควิชาหรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าภาควิชา ให้สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้ง ส่วนรองหัวหน้าภาควิชาหรือรองหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่ มีฐานะเทียบเท่าภาควิชา ให้อธิการบดีแต่งตั้งโดยคำแนะนำของคณบดี หัวหน้าภาควิชาหรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าภาควิชามีวาระการ ดำรงตำแหน่งสี่ปี และอาจได้รับแต่งตั้งใหม่อีกได้ แต่จะดำรงตำแหน่งเกินสองวาระติดต่อกันมิได้ เมื่อหัวหน้าภาควิชาหรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าภาควิชาพ้นจาก ตำแหน่ง ให้รองหัวหน้าภาควิชาหรือรองหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่า ภาควิชาพ้นจากตำแหน่งด้วย
มาตรา 35 ในวิทยาลัยหนึ่ง ให้มีผู้อำนวยการวิทยาลัยเป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบงาน ของวิทยาลัย และจะให้มีรองผู้อำนวยการวิทยาลัยคนหนึ่งหรือหลายคนก็ได้เพื่อทำหน้าที่และ รับผิดชอบตามที่ผู้อำนวยการวิทยาลัยมอบหมาย การแต่งตั้ง วาระการดำรงตำแหน่ง และคุณสมบัติของผู้อำนวยการวิทยาลัยและ รองผู้อำนวยการวิทยาลัยตามวรรคหนึ่ง ให้นำบทบัญญัติมาตรา 28 และมาตรา 29 มาใช้บังคับ โดยอนุโลม
มาตรา 36 การจัดให้มีคณะกรรมการประจำวิทยาลัยและการจัดระบบบริหารงานในวิทยาลัย ให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย ในกรณีที่มีการแบ่งภาควิชาหรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าภาควิชาใน วิทยาลัย ให้นำบทบัญญัติมาตรา 34 มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา 37 ในกรณีที่มหาวิทยาลัยมีสถาบัน สำนัก ศูนย์ หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มี ฐานะเทียบเท่าคณะ ให้มีผู้อำนวยการหรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่า คณะเป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบงานของสถาบัน สำนัก ศูนย์ หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่น ที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ และจะให้มีรองผู้อำนวยการหรือรองหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่ มีฐานะเทียบเท่าคณะคนหนึ่งหรือหลายคนก็ได้ เพื่อทำหน้าที่และรับผิดชอบตามที่ผู้อำนวยการหรือ หัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะมอบหมาย การแต่งตั้ง วาระการดำรงตำแหน่ง และคุณสมบัติของผู้อำนวยการหรือหัวหน้าหน่วยงานที่ เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ รวมทั้งผู้ดำรงตำแหน่งรองของตำแหน่งดังกล่าวตาม วรรคหนึ่ง ให้นำบทบัญญัติมาตรา 28 และมาตรา 29 มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา 38 การจัดให้มีคณะกรรมการประจำและการจัดระบบบริหารงานในสถาบัน สำนัก ศูนย์ หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ ให้เป็นไปตามข้อบังคับของ มหาวิทยาลัย
มาตรา 39 ผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดี รองอธิการบดี ผู้ช่วยอธิการบดี คณบดี รองคณบดี ผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการ หัวหน้าภาควิชา รองหัวหน้าภาควิชา หัวหน้าหน่วยงานและ รองหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะหรือภาควิชา จะดำรงตำแหน่ง ดังกล่าวเกินหนึ่งตำแหน่งในขณะเดียวกันมิได้ ผู้ดำรงตำแหน่งตามวรรคหนึ่งอยู่หนึ่งตำแหน่งแล้วจะรักษาราชการแทนตำแหน่งดังกล่าวอีก หนึ่งตำแหน่งก็ได้ แต่ต้องไม่เกินหกเดือน
มาตรา 40 วิธีการสรรหาบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการ สภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ อธิการบดี คณบดีผู้อำนวยการ หรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่อ อย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ หัวหน้าภาควิชาหรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะ เทียบเท่าภาควิชา กรรมการประจำวิทยาเขตที่สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้งจากคณาจารย์ประจำใน วิทยาเขตและกรรมการประจำคณะซึ่งอธิการบดีแต่งตั้งจากคณาจารย์ประจำในคณะ ให้เป็นไป ตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย
มาตรา 41 เพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการในบัณฑิตวิทยาลัยคณะ วิทยาลัย สถาบัน สำนัก ศูนย์ หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ และภาควิชาหรือหน่วยงานที่ เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าภาควิชา อำนาจในการสั่ง การอนุญาต การอนุมัติหรือ การปฏิบัติราชการที่อธิการบดีจะพึงปฏิบัติหรือดำเนินการตามกฎหมายระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่ง หรือมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องใด ถ้ากฎหมายระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่ง หรือมติคณะรัฐมนตรีใน เรื่องนั้นมิได้กำหนดเรื่องการมอบอำนาจไว้เป็นอย่างอื่น อธิการบดีจะมอบอำนาจโดยทำเป็น หนังสือให้ผู้ดำรงตำแหน่งคณบดี ผู้อำนวยการ หัวหน้าภาควิชา หรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่อ อย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะหรือภาควิชาปฏิบัติราชการแทนอธิการบดีเฉพาะในราชการของ หน่วยงานก็ได้ ให้ผู้ปฏิบัติราชการแทนตามวรรคหนึ่งมีอำนาจและหน้าที่ตามที่อธิการบดีกำหนด
มาตรา 42 ให้ผู้ปฏิบัติราชการแทนหรือผู้รักษาราชการแทนตามมาตรา 19 มาตรา 23 มาตรา 25 มาตรา 28 มาตรา 31 มาตรา 34 มาตรา 35 และมาตรา 37 มีอำนาจและ หน้าที่เช่นเดียวกับผู้ซึ่งตนแทน ในกรณีที่มีกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่ง หรือมติของคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ผู้ดำรง ตำแหน่งใดเป็นกรรมการหรือให้มีอำนาจหน้าที่อย่างใด ให้ผู้ปฏิบัติราชการแทนหรือ ผู้รักษาราชการแทนทำหน้าที่กรรมการหรือมีอำนาจและหน้าที่เช่นเดียวกับผู้ดำรงตำแหน่งนั้น ในระหว่างที่ปฏิบัติราชการแทนหรือรักษาราชการแทนด้วย แล้วแต่กรณี
มาตรา 43 คณาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยมีตำแหน่งทางวิชาการดังนี้ (1) ศาสตราจารย์ (2) รองศาสตราจารย์ (3) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ (4) อาจารย์ คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ และวิธีการแต่งตั้งและถอดถอนคณาจารย์ประจำตามวรรคหนึ่งให้เป็นไป ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย
มาตรา 44 อธิการบดีอาจแต่งตั้งผู้ซึ่งมีคุณสมบัติเหมาะสมและมิได้เป็นคณาจารย์ประจำของ มหาวิทยาลัยเป็นรองศาสตราจารย์พิเศษ ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเศษ และอาจารย์พิเศษได้ตาม คำแนะนำของคณบดีผู้อำนวยการ หรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ คุณสมบัติและหลักเกณฑ์ในการแต่งตั้งรองศาสตราจารย์พิเศษผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเศษและ อาจารย์พิเศษตามวรรคตหนึ่ง ให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย
มาตรา 45 ศาสตราจารย์พิเศษนั้น จะได้ทรงพระกรุณาโปรด เกล้า ฯ แต่งตั้งโดย คำแนะนำของสภามหาวิทยาลัย คุณสมบัติและหลักเกณฑ์ในการแต่งตั้งศาสตราจารย์พิเศษ ให้เป็นไปตามข้อบังคับของ มหาวิทยาลัย
มาตรา 46 ศาสตราจารย์ ซึ่งมีความรู้ความสามารถและความชำนาญเป็นพิเศษและพ้นจาก ตำแหน่งไปโดยไม่มีความผิด สภามหาวิทยาลัยอาจแต่งตั้งให้เป็นศาสตราจารย์เกียรติคุณในวิชาที่ ศาสตราจารย์นั้นมีความเชี่ยวชาญเพื่อเป็นเกียรติยศได้ คุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสตราจารย์เกียรติคุณให้เป็นไปตามข้อบังคับของ มหาวิทยาลัย
มาตรา 47 ปริญญามีสามชั้น คือ เอก เรียกว่า ดุษฎีบัณฑิต ใช้อักษรย่อ ด. โท เรียกว่า มหาบัณฑิต ใช้อักษรย่อ ม. ตรี เรียกว่า บัณฑิต ใช้อักษรย่อ บ.
มาตรา 48 มหาวิทยาลัยมีอำนาจให้ปริญญาในสาขาวิชาที่มีการสอนในมหาวิทยาลัย การกำหนดให้สาขาวิชาใดมีปริญญาชั้นใด และจะใช้อักษรย่อสำหรับสาขาวิชานั้นอย่างไร ให้ ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
มาตรา 49 สภามหาวิทยาลัยอาจออกข้อบังคับให้ผู้สำเร็จการศึกษาชั้นปริญญาตรีได้รับ ปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับหนึ่งหรือปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับสองก็ได้
มาตรา 50 สภามหาวิทยาลัยอาจออกข้อบังคับกำหนดให้มีประกาศนียบัตรบัณฑิตอนุปริญญา และประกาศนียบัตรสำหรับสาขาวิชาใดได้ ดังนี้ (1) ประกาศนียบัตรบัณฑิต ออกให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษาในสาขาวิชาหนึ่งสาขา วิชาใดภายหลังที่ได้รับปริญญาแล้ว (2) อนุปริญญา ออกให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรในสาขาวิชาหนึ่งสาขา วิชาใดก่อนถึงขั้นได้รับปริญญาตรี (3) ประกาศนียบัตร ออกให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษาเฉพาะวิชา
มาตรา 51 มหาวิทยาลัยมีอำนาจให้ปริญญากิตติมศักดิ์แก่บุคคลซึ่งสภามหาวิทยาลัยเห็นว่าทรง คุณวุฒิสมควรแก่ปริญญานั้น ๆ แต่จะให้ปริญญาดังกล่าวแก่คณาจารย์ประจำ ผู้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัยหรือกรรมการสภามหาวิทยาลัยมิได้ ชั้น สาขาของปริญญา และวิธีการให้ปริญญากิตติมศักดิ์ ให้เป็นไปตามข้อบังคับของ มหาวิทยาลัย
มาตรา 52 มหาวิทยาลัยอาจกำหนดให้มีครุยวิทยฐานะหรือเข็มวิทยฐานะ เป็นเครื่องหมาย แสดงวิทยฐานะของผู้ได้รับปริญญา ประกาศนียบัตรบัณฑิตอนุปริญญา และประกาศนียบัตรและอาจ กำหนดให้มีครุยประจำตำแหน่งกรรมการสภามหาวิทยาลัยหรือครุยประจำตำแหน่งคณาจารย์ของ มหาวิทยาลัยก็ได้ กำหนดลักษณะ ชนิด ประเภท และส่วนประกอบของครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และ ครุยประจำตำแหน่ง ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่ง จะใช้ในโอกาสใดโดยมีเงื่อนไข อย่างใด ให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย
มาตรา 53 สภามหาวิทยาลัยอาจออกข้อบังคับกำหนดให้มีเครื่องแบบ เครื่องหมาย หรือ เครื่องแต่งกายนักศึกษาได้ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา 54 ผู้ใดใช้ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ ครุยประจำตำแหน่ง เครื่องแบบ เครื่องหมาย หรือเครื่องแต่งกายนักศึกษาของมหาวิทยาลัย โดยไม่มีสิทธิที่จะใช้ หรือแสดงด้วย ประการใด ๆ ว่าตนมีปริญญา ประกาศนียบัตรบัณฑิตอนุปริญญา ประกาศนียบัตร หรือตำแหน่ง ของมหาวิทยาลัย โดยที่ตนไม่มีสิทธิ์ ถ้าได้กระทำเพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนมีสิทธิที่จะใช้ หรือมี วิทยฐานะหรือตำแหน่งเช่นนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 55 ให้นายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการสภามหาวิทยาลัยซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ใน วันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ยังคงปฏิบัติหน้าที่ของสภามหาวิทยาลัยอยู่ต่อไป จนกว่าจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งนายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการสภา มหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิตามมาตรา 13 (1) และ (4) และได้มีการเลือกตั้งกรรมการ สภามหาวิทยาลัยตามมาตรา 13 (5) และ (6) ซึ่งต้องไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่ พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ในระหว่างที่ยังไม่มีข้อบังคับเกี่ยวกับการประชุมของสภามหาวิทยาลัยตามมาตรา 17 ให้นำ บทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยศิลปากร พ.ศ. 2511 ว่าด้วยเรื่องนี้ใช้บังคับไปพลาง ก่อน
มาตรา 56 ให้ผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา ซึ่งดำรงตำแหน่งยังไม่ครบสองปีนับแต่วันที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งคงดำรงตำแหน่งต่อไปจนครบสองปี ให้ผู้ดำรงตำแหน่งรองอธิการบดีอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาคง ดำรงตำแหน่งต่อไปจนกว่าผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีจะพ้นจากตำแหน่งตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้ดำรงตำแหน่งคณบดีอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาซึ่งดำรง ตำแหน่งยังไม่ครบสี่ปีนับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้งคงดำรงตำแหน่งต่อไปจนครบสี่ปี ให้ผู้ดำรงตำแหน่งรองคณบดีอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาคงดำรง ตำแหน่งต่อไปจนกว่าผู้ดำรงตำแหน่งคณบดีจะพ้นจากตำแหน่งตามวรรคสาม ให้ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาซึ่ง ดำรงตำแหน่งยังไม่ครบสามปีนับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้ง คงดำรงตำแหน่งต่อไปจนครบสามปี
มาตรา 57 ให้ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานและกรรมการในคณะกรรมการประจำคณะ และ คณะกรรมการประจำบัณฑิตวิทยาลัยอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาคง ดำรงตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะได้มีการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งขึ้นใหม่ ซึ่งต้องไม่เกินหนึ่งร้อยแปด สิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา 58 การนับวาระการดำรงตำแหน่งของอธิการบดี คณบดีและหัวหน้าภาควิชา ให้นับ วันที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตามพระราชบัญญัตินี้เป็นวาระแรก
มาตรา 59 ให้ผู้ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ประจำ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ศาสตราจารย์พิเศษ รองศาสตราจารย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์และอาจารย์ประจำของมหาวิทยาลัยอยู่ในวันที่ พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา มีฐานะเป็นศาสตราจารย์ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ศาสตราจารย์พิเศษ รองศาสตราจารย์ผู้ช่วยศาสตราจารย์ และอาจารย์ต่อไปตามพระราชบัญญัติ นี้ ให้ผู้ซึ่งเป็นอาจารย์พิเศษของมหาวิทยาลัยอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษาเป็นอาจารย์พิเศษต่อไป ตามพระราชบัญญัตินี้จนครบกำหนดเวลาที่ได้รับ การแต่งตั้ง
มาตรา 61 ในระหว่างที่ยังมิได้ตราพระราชกฤษฎีกา หรือออกประกาศทบวงมหาวิทยาลัย ระเบียบ และข้อบังคับ เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ให้นำพระราชกฤษฎีกา ประกาศ สำนักนายกรัฐมนตรีประกาศทบวงมหาวิทยาลัย ระเบียบ และข้อบังคับที่ใช้อยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ ประกาศในราชกิจจานุเบกษามาใช้บังคับโดยอนุโลม ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก ป. ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี |
หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชบัญญัติ มหาวิทยาลัยศิลปากร พ.ศ. 2511 ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้วและในขณะนี้การดำเนินงาน ของมหาวิทยาลัยได้เพิ่มขึ้นเป็นอันมาก โดยมีการขยายเขตการศึกษาของมหาวิทยาลัยออกเป็น สองวิทยาเขตและขยายการผลิตบัณฑิตสาขาวิชาต่าง ๆ โดยมีการสอนถึงขั้นปริญญาโท การค้น คว้า การวิจัยและการบริการทางวิชาการแก่สังคม ตลอดจนกิจการอื่น ๆ ตามความต้องการของ การพัฒนาประเทศ สมควรที่จะได้มีการปรับปรุงโครงสร้างและระบบบริหารมหาวิทยาลัย เพื่อให้ การบริหารการศึกษามีความคล่องตัวและเหมาะสมกับสภาพการณ์ จึงจำเป็นต้องตรา พระราชบัญญัตินี้ (ร.จ. เล่ม 104 ตอนที่ 277 หน้า 1 28 ธันวาคม 2530) |