พระราชบัญญัติ
                      มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
                         พ.ศ. 2530
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
               ให้ไว้ ณ วันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2530
                   เป็นปีที่ 42 ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้
ประกาศว่า
   โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
   จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของ
รัฐสภา ดังต่อไปนี้

   มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ.ศ. 2530"

   มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป

   มาตรา 3 ให้ยกเลิก
           (1) พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ.ศ.2512
           (2) ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 184 ลงวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2515
   บรรดากฎหมาย กฎ และข้อบังคับอื่นที่มีบัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัตินี้ หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับ
บทแห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้แทน

   มาตรา 4 ให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
พ.ศ. 2512 เป็นมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ตามพระราชบัญญัตินี้ และคงมีสภาพเป็นนิติบุคคล

   มาตรา 5 ในพระราชบัญญัตินี้
           "มหาวิทยาลัย" หมายความว่า มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
           "สภามหาวิทยาลัย" หมายความว่า สภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่

   มาตรา 6 ให้รัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัยรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้
มีอำนาจออกประกาศเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
   ประกาศนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้

   มาตรา 7 ให้มหาวิทยาลัยเป็นสถานศึกษาและวิจัย มีวัตถุประสงค์ให้การศึกษาส่งเสริม
วิชาการและวิชาชีพชั้นสูง ทำการสอนทำการวิจัย ให้บริการทางวิชาการแก่สังคม และทะนุบำรุง
ศิลปวัฒนธรรม

   มาตรา 8 มหาวิทยาลัยอาจแบ่งส่วนราชการ ดังนี้
           (1) สำนักงานอธิการบดี
           (2) บัณฑิตวิทยาลัย
           (3) คณะ
           (4) วิทยาลัย
           และอาจให้มีสถาบัน สำนัก ศูนย์และหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะ
เทียบเท่าคณะ เพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ในมาตรา 7 เป็นส่วนราชการในมหาวิทยาลัยอีก
ได้
   สำนักงานอธิการบดี อาจแบ่งส่วนราชการเป็นกอง หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะ
เทียบเท่ากอง
   คณะและวิทยาลัย อาจแบ่งส่วนราชการเป็นภาควิชาหรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะ
เทียบเท่าภาควิชา กอง และสำนักงานเลขานุการ
   บัณฑิตวิทยาลัย สถาบัน สำนัก ศูนย์และหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ
อาจแบ่งส่วนราชการเป็นสำนักงานเลขานุการ หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะ
เทียบเท่ากอง
   กอง สำนักงานเลขานุการ และหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่ากอง อาจแบ่ง
ส่วนราชการเป็นแผนกหรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าแผนก

   มาตรา 9 การจัดตั้ง การรวม และการยุบเลิกบัณฑิตวิทยาลัยคณะ วิทยาลัย สถาบัน สำนัก
และศูนย์หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
   การแบ่งส่วนราชการเป็นภาควิชา หน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าภาควิชา
กอง สำนักงานเลขานุการและแผนก หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่ากองหรือ
แผนก ให้ทำเป็นประกาศทบวงมหาวิทยาลัย

   มาตรา 10 ภายใต้วัตถุประสงค์ตามมาตรา 7 มหาวิทยาลัยจะรับสถาบันการศึกษาชั้นสูงหรือ
สถาบันวิจัยอื่นเข้าสมทบในมหาวิทยาลัยก็ได้ และมีอำนาจให้ปริญญา อนุปริญญา หรือ
ประกาศนียบัตรชั้นหนึ่งชั้นใดแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันสมทบนั้นได้
   การรับเข้าสมทบหรือยกเลิกการสมทบซึ่งสถาบันการศึกษาชั้นสูงหรือสถาบันวิจัยให้เป็นไปตาม
ข้อบังคับของมหาวิทยาลัย และทำเป็นประกาศทบวงมหาวิทยาลัย
   การควบคุมสถาบันการศึกษาชั้นสูงหรือสถาบันวิจัยที่เข้าสมทบในมหาวิทยาลัยให้เป็นไปตาม
ข้อบังคับของมหาวิทยาลัย

   มาตรา 11 นอกจากเงินที่กำหนดไว้ในงบประมาณแผ่นดินมหาวิทยาลัยอาจมีรายได้ ดังนี้
           (1) เงินผลประโยชน์และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย
           (2) ทรัพย์สินซึ่งมีผู้ให้แก่มหาวิทยาลัย
           (3) รายได้หรือผลประโยชน์ที่ได้มาจากการใช้ที่ราชพัสดุ ซึ่งมหาวิทยาลัย
ปกครองดูแล หรือใช้ประโยชน์
           (4) รายได้หรือผลประโยชน์อื่น ๆ
   ให้มหาวิทยาลัยมีอำนาจในการปกครอง ดูแล บำรุงรักษา ใช้และจัดหาผลประโยชน์จาก
ทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยทั้งที่ซึ่งเป็นที่ราชพัสดุตามกฎหมายว่าด้วยที่ราชพัสดุและที่เป็นทรัพย์สินอื่น
   รายได้ของมหาวิทยาลัย ไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วย
เงินคงคลังและกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ

   มาตรา 12 บรรดารายได้และทรัพย์สินของมหาวิทยาลัย จะต้องจัดการเพื่อบรรลุ
วัตถุประสงค์ของมหาวิทยาลัยดังระบุไว้ในมาตรา 7 หรือตามวัตถุประสงค์ซึ่งผู้อุทิศทรัพย์สินให้แก่
มหาวิทยาลัยกำหนดไว้

   มาตรา 13 ให้มีสภามหาวิทยาลัย ประกอบด้วย
           (1) นายกสภามหาวิทยาลัย ซึ่งจะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้ง
           (2) กรรมการสภามหาวิทยาลัยโดยตำแหน่งได้แก่ อธิการบดี ประธานสภา
อาจารย์และประธานกรรมการส่งเสริมมหาวิทยาลัย
           (3) กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนสิบห้าคน ซึ่งจะได้ทรงพระ
กรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งจากบุคคลภายนอกโดยคำแนะนำของกรรมการสภามหาวิทยาลัย ตาม
(2) (4) และ (5)
           (4) กรรมการสภามหาวิทยาลัยจำนวนเก้าคน ซึ่งเลือกตั้งจากผู้ดำรงตำแหน่ง
รองอธิการบดี คณบดี ผู้อำนวยการวิทยาลัยผู้อำนวยการสถาบัน ผู้อำนวยการสำนัก และ
ผู้อำนวยการศูนย์ หรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ
           (5) กรรมการสภามหาวิทยาลัยจำนวนเก้าคน ซึ่งเลือกตั้งจากคณาจารย์ประจำ
ผู้ได้ทำการสอบในมหาวิทยาลัยมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี
   คุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการสภามหาวิทยาลัย หลักเกณฑ์
และวิธีการเลือกตั้งกรรมการสภามหาวิทยาลัยตาม (4) และ (5) ให้เป็นไปตามข้อบังคับของ
มหาวิทยาลัย
   ให้สภามหาวิทยาลัยเลือกกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิคนหนึ่ง เป็นอุปนายก
สภามหาวิทยาลัย และให้อุปนายกสภามหาวิทยาลัยทำหน้าที่แทนนายกสภามหาวิทยาลัย เมื่อนายก
สภามหาวิทยาลัยไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ หรือเมื่อไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัย
   ให้สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้งรองอธิการบดีคนหนึ่งเป็นเลขานุการสภามหาวิทยาลัย โดย
คำแนะนำของอธิการบดี

   มาตรา 14 นายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการสภามหาวิทยาลัยตามมาตรา 13 (3) (4)
และ (5) มีวาระการดำรงตำแหน่งสองปี แต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งหรืออาจได้
รับเลือกตั้งใหม่อีกได้
           นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ นายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการ
สภามหาวิทยาลัยตามมาตรา 13 (3) (4) และ (5) พ้นจากตำแหน่งเมื่อ
           (1) ตาย
           (2) ลาออก
           (3) มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ถอดถอน เพราะขาดคุณสมบัติของ
การเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยหรือกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ
           (4) ขาดคุณสมบัติของการเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยในประเภทนั้น
   ในกรณีที่นายกสภามหาวิทยาลัย หรือกรรมการสภามหาวิทยาลัยตามมาตรา 13 (3) (4)
และ (5) พ้นจากตำแหน่งก่อนวาระและได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งหรือได้มี
การเลือกตั้งผู้ดำรงตำแหน่งแทนแล้ว ให้ผู้ที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งหรือได้
รับเลือกตั้งอยู่ในตำแหน่งเพียงเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งตนแทน
   ในกรณีที่นายกสภามหาวิทยาลัย หรือกรรมการสภามหาวิทยาลัยพ้นจากตำแหน่งตามวาระ แต่
ยังมิได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งนายกสภามหาวิทยาลัยหรือกรรมการสภามหาวิทยาลัย
ผู้ทรงคุณวุฒิ หรือยังมิได้เลือกตั้งกรรมการสภามหาวิทยาลัยอื่นขึ้นใหม่ ให้นายกสภามหาวิทยาลัย
หรือกรรมการสภามหาวิทยาลัยซึ่งพ้นจากตำแหน่งปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะได้ทรงพระกรุณา
โปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งนายกสภามหาวิทยาลัยหรือกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ หรือได้มี
การเลือกตั้งกรรมการสภามหาวิทยาลัยอื่นขึ้นใหม่แล้ว

   มาตรา 15 สภามหาวิทยาลัยมีอำนาจและหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการทั่วไปของมหาวิทยาลัยและ
โดยเฉพาะมีอำนาจและหน้าที่ ดังนี้
           (1) วางนโยบายของมหาวิทยาลัยเกี่ยวกับการศึกษาการวิจัย การให้บริการทาง
วิชาการแก่สังคม และการทะนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม
           (2) วางระเบียบและออกข้อบังคับของมหาวิทยาลัยและอาจมอบให้ส่วนราชการ
ใดในมหาวิทยาลัยเป็นผู้วางระเบียบและออกข้อบังคับสำหรับส่วนราชการนั้นเป็นเรื่อง ๆ ไปก็ได้
           (3) อนุมัติให้ปริญญา ประกาศนียบัตรบัณฑิตอนุปริญญา และประกาศนียบัตร
           (4) พิจารณาเสนอการจัดตั้ง การรวม และการยุบเลิกบัณฑิตวิทยาลัย คณะ
วิทยาลัย สถาบัน สำนัก และศูนย์หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ รวมทั้ง
การแบ่งส่วนราชการของหน่วยงานดังกล่าว
           (5) อนุมัติการรับเข้าสมทบหรือยกเลิกการสมทบซึ่งสถาบันการศึกษาชั้นสูงและ
สถาบันวิจัย
           (6) พิจารณาให้ความเห็นชอบหลักสูตรการศึกษาให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่
ทบวงมหาวิทยาลัยกำหนด
           (7) พิจารณาดำเนินการเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งและพิจารณา
ถอดถอนอธิการบดี
           (8) แต่งตั้งและถอดถอนรองอธิการบดี คณบดีผู้อำนวยการวิทยาลัย ผู้อำนวยการ
สถาบัน ผู้อำนวยการสำนัก ผู้อำนวยการศูนย์ หัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะ
เทียบเท่าคณะ หัวหน้าภาควิชา และหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าภาค
วิชา
           (9) พิจารณาดำเนินการเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งและพิจารณา
ถอดถอนศาสตราจารย์ และศาสตราจารย์พิเศษ
          (10) แต่งตั้งและถอดถอนศาสตราจารย์เกียรติคุณ
          (11) วางระเบียบและออกข้อบังคับต่าง ๆ เกี่ยวกับการเงินและทรัพย์สินของ
มหาวิทยาลัย
          (12) แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาและเสนอความเห็นในเรื่องหนึ่งเรื่องใด
หรือเพื่อมอบหมายให้ปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดอันอยู่ในอำนาจหน้าที่ของสภามหาวิทยาลัย
          (13) มอบหมายให้อธิการบดีปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใด อันอยู่ในอำนาจหน้าที่
ของสภามหาวิทยาลัย
          (14) ปฏิบัติหน้าที่อื่นเกี่ยวกับกิจการของมหาวิทยาลัยที่มิได้ระบุให้เป็นหน้าที่ของ
ผู้ใดโดยเฉพาะ

   มาตรา 16 การประชุมของสภามหาวิทยาลัยให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย

   มาตรา 17 ให้มีคณะกรรมการส่งเสริมมหาวิทยาลัยขึ้นคณะหนึ่งประกอบด้วย
ประธานกรรมการ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนหนึ่งซึ่งสภามหาวิทยาลัยแต่งตั้ง
   คณะกรรมการส่งเสริมมหาวิทยาลัย มีหน้าที่ให้คำแนะนำปรึกษาแก่มหาวิทยาลัย และสนับสนุน
การดำเนินกิจการของมหาวิทยาลัย
   จำนวนและคุณสมบัติของกรรมการส่งเสริมมหาวิทยาลัย วาระในการดำรงตำแหน่ง การพ้น
จากตำแหน่ง ตลอดจนการประชุมให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย

   มาตรา 18 ให้มีอธิการบดีเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดและรับผิดชอบการบริหารงานของ
มหาวิทยาลัย และอาจมีรองอธิการบดีหรือผู้ช่วยอธิการบดี หรือจะมีทั้งรองอธิการบดีและผู้ช่วย
อธิการบดีคนหนึ่งหรือหลายคนก็ได้ เพื่อทำหน้าที่และรับผิดชอบตามที่อธิการบดีจะมอบหมาย
   เพื่อประโยชน์ในการบังคับบัญชา ให้ถือว่าอธิการบดีเป็นอธิบดีและรองอธิการบดี เป็น
รองอธิบดี ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินและกฎหมายอื่น

   มาตรา 19 อธิการบดีนั้น จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งโดยคำแนะนำของ
สภามหาวิทยาลัย จากบุคคลที่มีคุณสมบัติตามมาตรา 20
   อธิการบดีมีวาระการดำรงตำแหน่งสี่ปี และจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งใหม่อีกได้
แต่จะดำรงตำแหน่งเกินสองวาระติดต่อกันมิได้
   สำหรับรองอธิการบดี ให้สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้งโดยคำแนะนำของอธิการบดีจากบุคคลที่มี
คุณสมบัติตามมาตรา 20 และต้องเป็นข้าราชการพลเรือนของมหาวิทยาลัย
   สำหรับผู้ช่วยอธิการบดี ให้อธิการบดีเป็นผู้แต่งตั้งจากบุคคลผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา 27 และ
ต้องเป็นข้าราชการพลเรือนของมหาวิทยาลัย
   เมื่ออธิการบดีพ้นจากตำแหน่ง ให้รองอธิการบดีและผู้ช่วยอธิการบดีพ้นจากตำแหน่งด้วย

   มาตรา 20 อธิการบดีและรองอธิการบดีจะต้องมีคุณสมบัติให้รับปริญญาชั้นหนึ่งชั้นใดหรือ
เทียบเท่า จากมหาวิทยาลัยหรือจากสถาบันอุดมศึกษาอื่นที่สภามหาวิทยาลัยรับรอง และได้ทำ
การสอนหรือมีประสบการณ์ด้านการบริหารมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปีในมหาวิทยาลัยหรือในสถาบัน
อุดมศึกษาอื่นที่สภามหาวิทยาลัยรับรอง หรือเคยดำรงตำแหน่งกรรมการสภามหาวิทยาลัยมาแล้ว
รวมเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามปี

   มาตรา 21 อธิการบดีมีอำนาจและหน้าที่ ดังนี้
           (1) บริหารกิจการของมหาวิทยาลัยให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ
ข้อบังคับของทางราชการ รวมทั้งนโยบายและวัตถุประสงค์ของมหาวิทยาลัย
           (2) ควบคุมบุคลากร การเงิน การพัสดุ สถานที่และทรัพย์สินอื่นของมหาวิทยาลัย
ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับของมหาวิทยาลัย
           (3) เป็นผู้แทนของมหาวิทยาลัยในกิจการทั่วไป
           (4) เสนอรายงานประจำปีเกี่ยวกับกิจการด้านต่าง ๆของมหาวิทยาลัยต่อ
สภามหาวิทยาลัย
           (5) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามระเบียบและข้อบังคับของมหาวิทยาลัย หรือตามที่
สภามหาวิทยาลัยมอบหมาย

   มาตรา 22 ในกรณีที่ผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้รองอธิการบดีเป็น
ผู้รักษาราชการแทน ถ้ามีรองอธิการบดีหลายคน ให้รองอธิการบดีที่อธิการบดีมอบหมายเป็น
ผู้รักษาราชการแทนถ้าอธิการบดีมิได้มอบหมาย ให้รองอธิการบดีที่มีอาวุโสสูงสุดเป็นผู้รักษา
ราชการแทน
   ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีหรือไม่มีผู้รักษาราชการแทนอธิการบดีตามความใน
วรรคหนึ่ง หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ให้สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้งผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา
20 เป็นผู้รักษาราชการแทนอธิการบดี และให้นำความในวรรคสองของมาตรา 36 มาใช้บังคับ
โดยอนุโลม

   มาตรา 23 ให้มีสภาอาจารย์ ประกอบด้วยกรรมการซึ่งคณาจารย์ประจำของมหาวิทยาลัย
เลือกตั้งขึ้นจากคณาจารย์ประจำของมหาวิทยาลัย
   สภาอาจารย์ มีหน้าที่ให้คำปรึกษาและข้อแนะนำแก่อธิการบดีและหน้าที่อื่นตามที่อธิการบดีจะ
มอบหมาย
   องค์ประกอบ จำนวนกรรมการ หลักเกณฑ์และวิธีการเลือกตั้งวาระการดำรงตำแหน่ง และ
การดำเนินงานของสภาอาจารย์ให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย

   มาตรา 24 ในบัณฑิตวิทยาลัย ให้มีคณบดีเป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบงานของ
บัณฑิตวิทยาลัย และจะให้มีรองคณบดีและหรือผู้ช่วยคณบดีคนหนึ่งหรือหลายคนก็ได้ เพื่อทำหน้าที่
และรับผิดชอบตามที่คณบดีจะมอบหมาย
   การแต่งตั้ง วาระการดำรงตำแหน่ง และคุณสมบัติของคณบดีรองคณบดี และผู้ช่วยคณบดีตาม
วรรคหนึ่ง ให้นำบทบัญญัติมาตรา 26 และมาตรา 27 มาใช้บังคับโดยอนุโลม

   มาตรา 25 การจัดให้มีคณะกรรมการประจำบัณฑิตวิทยาลัยและการจัดระบบบริหารงานใน
บัณฑิตวิทยาลัย ให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย

   มาตรา 26 ในคณะหนึ่ง ให้มีคณบดีเป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบงานของคณะ และจะให้มี
รองคณบดีและหรือผู้ช่วยคณบดีคนหนึ่งหรือหลายคนก็ได้ เพื่อทำหน้าที่และรับผิดชอบตามที่คณะบดีจะ
มอบหมาย
   คณบดีนั้น ให้สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้งจากบุคคลที่มีคุณสมบัติตามมาตรา 27
   รองคณบดีและผู้ช่วยคณบดีนั้น ให้อธิการบดีเป็นผู้แต่งตั้งโดยคำแนะนำของคณบดี จากบุคคลที่มี
คุณสมบัติตามมาตรา 27 และต้องเป็นข้าราชการพลเรือนของมหาวิทยาลัย
   คณบดีมีวาระการดำรงตำแหน่งสี่ปี และอาจได้รับแต่งตั้งใหม่อีกได้ แต่จะดำรงตำแหน่งเกิน
สองวาระติดต่อกันมิได้
   เมื่อคณบดีพ้นจากตำแหน่ง ให้รองคณบดีและผู้ช่วยคณบดีพ้นจากตำแหน่งด้วย

   มาตรา 27 คณบดี รองคณบดี และผู้ช่วยคณบดีจะต้องมีคุณสมบัติได้รับปริญญาชั้นหนึ่งชั้นใดหรือ
เทียบเท่าจากมหาวิทยาลัยหรือจากสถาบันอุดมศึกษาอื่นที่สภามหาวิทยาลัยรับรอง และได้ทำ
การสอนหรือมีประสบการณ์ด้านบริหารมาแล้วไม่น้อยกว่าสามปีในมหาวิทยาลัย หรือในสถาบัน
อุดมศึกษาอื่นที่สภามหาวิทยาลัยรับรอง

   มาตรา 28 ในคณะหนึ่ง ให้มีคณะกรรมการประจำคณะประกอบด้วยคณบดี รองคณบดี หัวหน้า
ภาควิชาและหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าภาควิชา ถ้ามี เป็นกรรมการ
โดยตำแหน่งและมีกรรมการที่อธิการบดีแต่งตั้งจากคณาจารย์ประจำในคณะ มีจำนวนไม่เกิน
กึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการโดยตำแหน่ง ถ้าไม่มีการแบ่งภาควิชาหรือมีแต่ไม่ถึงสีภาควิชา ให้
อธิการบดีแต่งตั้งคณาจารย์ประจำในคณะเป็นกรรมการเพิ่มเติมให้ได้จำนวนทั้งหมดไม่น้อยกว่า
เจ็ดคนแต่ไม่เกินเก้าคน
   กรรมการที่อธิการบดีแต่งตั้งตามวรรคหนึ่ง จะเป็นคณาจารย์ประจำในภาควิชาเดียวกันเกิน
หนึ่งคนไม่ได้
   จำนวนกรรมการที่จะได้รับแต่งตั้งในแต่ละคณะให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย
   ให้คณบดีเป็นประธานคณะกรรมการประจำคณะ และให้คณบดีแต่งตั้งบุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็น
เลขานุการของคณะกรรมการประจำคณะ
   กรรมการที่อธิการบดีแต่งตั้งมีวาระการดำรงตำแหน่งสองปี แต่อาจได้รับแต่งตั้งใหม่อีกได้
   การประชุมของคณะกรรมการประจำคณะให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย

   มาตรา 29 คณะกรรมการประจำคณะมีอำนาจและหน้าที่ ดังนี้
           (1) วางนโยบายและแผนงานของคณะให้สอดคล้องกับนโยบายของ
สภามหาวิทยาลัย
           (2) พิจารณาหลักสูตรและรายละเอียดเกี่ยวกับหลักสูตรสำหรับคณะ เพื่อเสนอต่อ
สภามหาวิทยาลัย
           (3) พิจารณาวางระเบียบ ข้อบังคับภายในคณะตามที่สภามหาวิทยาลัยมอบหมาย
หรือเพื่อเสนอต่อสภามหาวิทยาลัย
           (4) พิจารณาเสนอเกี่ยวกับการดำรงตำแหน่งทางวิชาการของคณาจารย์ในคณะต่อ
มหาวิทยาลัย
           (5) จัดการและควบคุมการวัดผลและประเมินผลการศึกษา
           (6) ให้คำปรึกษาและเสนอความเห็นต่อคณบดี
           (7) ปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ตามที่คณบดีจะมอบหมาย
   การดำเนินงานของกรรมการประจำคณะ ให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย

   มาตรา 30 ในกรณีที่มีการแบ่งภาควิชาหรือแบ่งหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะ
เทียบเท่าภาควิชาในคณะ ให้มีหัวหน้าภาควิชาหรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะ
เทียบเท่าภาควิชา เป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบงานของภาควิชาหรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่าง
อื่นที่มีฐานะเทียบเท่าภาควิชา และอาจมีรองหัวหน้าภาควิชาหรือรองหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่อ
อย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าภาควิชาคนหนึ่ง เพื่อทำหน้าที่และรับผิดชอบตามที่หัวหน้าภาควิชาหรือ
หัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าภาควิชาจะมอบหมาย
   หัวหน้าภาควิชาหรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าภาควิชา
รองหัวหน้าภาควิชาหรือรองหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าภาควิชานั้น ให้
แต่งตั้งจากคณาจารย์ประจำของมหาวิทยาลัย ซึ่งได้ทำการสอนมาแล้วไม่น้อยกว่าสามปีในมหา
วิทยาลัย หรือในสถาบันอุดมศึกษาอื่นที่สภามหาวิทยาลัยรับรอง
   การแต่งตั้งหัวหน้าภาควิชาหรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าภาควิชา
ให้สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้ง ส่วนรองหัวหน้าภาควิชาหรือรองหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่
มีฐานะเทียบเท่าภาควิชา ให้อธิการบดีแต่งตั้งโดยคำแนะนำของคณบดี
   หัวหน้าภาควิชาหรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าภาควิชา มีวาระ
การดำรงตำแหน่งสี่ปี และอาจได้รับแต่งตั้งใหม่อีกได้ แต่จะดำรงตำแหน่งเกินสองวาระติดต่อกัน
มิได้
   เมื่อหัวหน้าภาควิชาหรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าภาควิชาพ้นจาก
ตำแหน่ง ให้รองหัวหน้าภาควิชาหรือรองหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่า
ภาควิชาพ้นจากตำแหน่งด้วย

   มาตรา 31 ในวิทยาลัยหนึ่ง ให้มีผู้อำนวยการวิทยาลัยเป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบงาน
ของวิทยาลัย และอาจให้มีรองผู้อำนวยการวิทยาลัยคนหนึ่งหรือหลายคนก็ได้เพื่อทำหน้าที่และ
รับผิดชอบตามที่ผู้อำนวยการวิทยาลัยจะมอบหมาย
   การแต่งตั้ง วาระการดำรงตำแหน่ง และคุณสมบัติของผู้อำนวยการวิทยาลัย และ
รองผู้อำนวยการวิทยาลัยตามวรรคหนึ่ง ให้นำบทบัญญัติมาตรา 26 และมาตรา 27 มาใช้บังคับ
โดยอนุโลม

   มาตรา 32 การจัดให้มีคณะกรรมการประจำวิทยาลัยและการจัดระบบบริหารงานในวิทยาลัย
ให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย
   ในกรณีที่มีการแบ่งภาควิชาหรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าภาควิชาใน
วิทยาลัยให้นำบทบัญญัติมาตรา 30 มาใช้บังคับโดยอนุโลม

   มาตรา 33 ในกรณีที่มหาวิทยาลัยมีสถาบัน สำนัก ศูนย์ หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มี
ฐานะเทียบเท่าคณะ ให้มีผู้อำนวยการหรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่า
คณะเป็นผู้บังคับบัญชา และรับผิดชอบงานของสถาบัน สำนัก ศูนย์หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่น
ที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ และจะให้มีรองผู้อำนวยการหรือรองหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่
มีฐานะเทียบเท่าคณะคนหนึ่งหรือหลายคนก็ได้ เพื่อทำหน้าที่และรับผิดชอบตามที่ผู้อำนวยการหรือ
หัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะจะมอบหมาย
   การแต่งตั้ง วาระการดำรงตำแหน่ง และคุณสมบัติของผู้อำนวยการหรือหัวหน้าหน่วยงานที่
เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ และรองผู้อำนวยการหรือรองหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่อ
อย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะตามวรรคหนึ่ง ให้นำบทบัญญัติมาตรา 26 และมาตรา 27 มาใช้
บังคับโดยอนุโลม

   มาตรา 34 การจัดให้มีคณะกรรมการประจำและการจัดระบบบริหารงานภายในสถาบัน
สำนัก ศูนย์หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ ให้เป็นไปตามข้อบังคับของ
มหาวิทยาลัย

   มาตรา 35 วิธีการสรรหาบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการ
สภามหาวิทยาลัย ผู้ทรงคุณวุฒิ อธิการบดี คณบดีผู้อำนวยการวิทยาลัย ผู้อำนวยการสถาบัน
ผู้อำนวยการสำนัก ผู้อำนวยการศูนย์ หรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่า
คณะหัวหน้าภาควิชาหรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าภาควิชา และ
กรรมการประจำคณะซึ่งอธิการบดีแต่งตั้งจากคณาจารย์ประจำให้เป็นไปตามข้อบังคับของ
มหาวิทยาลัย

   มาตรา 36 ผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดี รองอธิการบดี ผู้ช่วยอธิการบดี คณบดี รองคณบดี
ผู้ช่วยคณบดี ผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการหัวหน้าภาควิชา รองหัวหน้าภาควิชา หัวหน้า
หน่วยงาน และรองหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะหรือภาควิชา จะ
ดำรงตำแหน่งดังกล่าวเกินหนึ่งตำแหน่งในขณะเดียวกันมิได้
   ผู้ดำรงตำแหน่งตามวรรคหนึ่งอยู่หนึ่งตำแหน่งแล้ว จะรักษาราชการแทนตำแหน่งดังกล่าวอีก
หนึ่งตำแหน่งก็ได้ แต่ต้องไม่เกินหกเดือน

   มาตรา 37 คณาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยมีตำแหน่งทางวิชาการดังนี้
           (1) ศาสตราจารย์
           (2) รองศาสตราจารย์
           (3) ผู้ช่วยศาสตราจารย์
           (4) อาจารย์
   คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ และวิธีการแต่งตั้งและถอดถอนคณาจารย์ประจำตามวรรคหนึ่ง ให้เป็น
ไปตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย

   มาตรา 38 อธิการบดีอาจแต่งตั้งผู้ซึ่งมีคุณสมบัติเหมาะสมและมิได้เป็นคณาจารย์ประจำของ
มหาวิทยาลัยเป็นรองศาสตราจารย์พิเศษผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเศษ และอาจารย์พิเศษได้โดย
คำแนะนำของคณบดีผู้อำนวยการ หรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ
   คุณสมบัติและหลักเกณฑ์ในการแต่งตั้งรองศาสตราจารย์พิเศษผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเศษและ
อาจารย์พิเศษ ให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย

   มาตรา 39 ศาสตราจารย์พิเศษนั้น จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯแต่งตั้งโดยคำแนะนำของ
สภามหาวิทยาลัย
   คุณสมบัติและหลักเกณฑ์ในการแต่งตั้งศาสตราจารย์พิเศษ ให้เป็นไปตามข้อบังคับของ
มหาวิทยาลัย

   มาตรา 40 ศาสตราจารย์ซึ่งมีความรู้ความสามารถและความชำนาญเป็นพิเศษ และพ้นจาก
ตำแหน่งไปโดยไม่มีความผิด สภามหาวิทยาลัยอาจแต่งตั้งให้เป็นศาสตราจารย์เกียรติคุณในสาขา
วิชาที่ศาสตราจารย์นั้นมีความเชี่ยวชาญเพื่อเป็นเกียรติยศได้
   คุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์เกียรติคุณ ให้เป็นไปตามข้อบังคับของ
มหาวิทยาลัย

   มาตรา 41 ปริญญามีสามชั้น คือ
           เอก  เรียกว่า   ดุษฎีบัณฑิต   ใช้อักษรย่อ ด.
           โท   เรียกว่า   มหาบัณฑิต   ใช้อักษรย่อ ม.
           ตรี   เรียกว่า   บัณฑิต      ใช้อักษรย่อ บ.

   มาตรา 42 มหาวิทยาลัยมีอำนาจให้ปริญญาในสาขาวิชาที่มีการสอนในมหาวิทยาลัย
   การกำหนดให้สาขาวิชาใดมีปริญญาชั้นใด และจะใช้อักษรย่อสำหรับสาขาวิชานั้นอย่างไรให้
ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา

   มาตรา 43 สภามหาวิทยาลัยอาจออกข้อบังคับให้ผู้สำเร็จการศึกษาชั้นปริญญาตรี ได้รับ
ปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง หรือปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับสองได้

   มาตรา 44 สภามหาวิทยาลัยอาจออกข้อบังคับกำหนดให้มีประกาศนียบัตรบัณฑิตอนุปริญญา
และประกาศนียบัตรสำหรับสาขาวิชาใดได้ ดังนี้
           (1) ประกาศนียบัตรบัณฑิต ออกให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษาในสาขาวิชาหนึ่งสาขา
วิชาใดภายหลังที่ได้รับปริญญาแล้ว
           (2) อนุปริญญา ออกให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรในสาขาวิชาหนึ่งสาขา
วิชาใดก่อนถึงขั้นได้รับปริญญาตรี
           (3) ประกาศนียบัตร ออกให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษาเฉพาะวิชา

   มาตรา 45 มหาวิทยาลัยมีอำนาจให้ปริญญากิตติมศักดิ์แก่บุคคลซึ่งสภามหาวิทยาลัยเห็นว่าทรง
คุณวุฒิสมควรแก่ปริญญานั้น แต่จะให้ปริญญาดังกล่าวแก่คณาจารย์ประจำผู้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ใน
มหาวิทยาลัยหรือกรรมการสภามหาวิทยาลัยไม่ได้
   ชั้น สาขาของปริญญา และวิธีการให้ปริญญากิตติมศักดิ์ ให้เป็นไปตามข้อบังคับของ
มหาวิทยาลัย

   มาตรา 46 มหาวิทยาลัยอาจกำหนดให้มีครุยวิทยฐานะหรือเข็มวิทยฐานะเป็นเครื่องหมาย
แสดงวิทยฐานะของผู้ได้รับปริญญาประกาศนียบัตรบัณฑิตอนุปริญญา และประกาศนียบัตร และ
อาจกำหนดให้มีครุยประจำตำแหน่งกรรมการสภามหาวิทยาลัย หรือครุยประจำตำแหน่งคณาจารย์
ของมหาวิทยาลัยก็ได้
   การกำหนดลักษณะ ชนิด ประเภท และส่วนประกอบของครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และ
ครุยประจำตำแหน่ง ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
   ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งจะใช้ในโอกาสใดโดยมีเงื่อนไข
อย่างใด ให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย

   มาตรา 47 สภามหาวิทยาลัยอาจออกข้อบังคับกำหนดให้มีเครื่องแบบ เครื่องหมายหรือ
เครื่องแต่งกายนักศึกษาได้ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา

   มาตรา 48 ผู้ใดใช้ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ ครุยประจำตำแหน่ง เครื่องแบบ
เครื่องหมาย หรือเครื่องแต่งกายนักศึกษาของมหาวิทยาลัย โดยไม่มีสิทธิที่จะใช้ หรือแสดงด้วย
ประการใด ๆ ว่าตนมีปริญญา ประกาศนียบัตรบัณฑิตอนุปริญญา ประกาศนียบัตร หรือตำแหน่ง
ของมหาวิทยาลัย โดยที่ตนไม่มีสิทธิ ถ้าได้กระทำเพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนมีสิทธิจะใช้หรือมี
วิทยฐานะ หรือตำแหน่งเช่นนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่น
บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

   มาตรา 49 ให้นายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการสภามหาวิทยาลัย ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ใน
วันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ยังคงปฏิบัติหน้าที่ของสภามหาวิทยาลัยอยู่ต่อไป
จนกว่าจะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งนายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการ
สภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิตามมาตรา 13 (1) และ (3) และได้มีการเลือกตั้งกรรมการ
สภามหาวิทยาลัยตามมาตรา 13 (4) และ(5) ซึ่งต้องไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่
พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
   ในระหว่างที่ยังไม่มีข้อบังคับเกี่ยวกับการประชุมสภามหาวิทยาลัยตามมาตรา 16 ให้นำ
บทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ.ศ. 2512 ว่าด้วยเรื่องนี้ใช้บังคับไปพลาง
ก่อน

   มาตรา 50 ให้ผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษา ซึ่งดำรงตำแหน่งยังไม่ครบสองปีนับแต่วันที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ
แต่งตั้งคงดำรงตำแหน่งต่อไปจนครบสองปี
   ให้ผู้ดำรงตำแหน่งรองอธิการบดีอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาคง
ดำรงตำแหน่งต่อไป จนกว่าผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีจะพ้นจากตำแหน่งตามวรรคหนึ่ง
   ให้ผู้ดำรงตำแหน่งคณบดี ผู้อำนวยการสถาบัน ผู้อำนวยการสำนัก และหัวหน้าภาควิชาอยู่ใน
วันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งดำรงตำแหน่งยังไม่ครบสี่ปีนับแต่วันที่ได้
รับแต่งตั้ง คงดำรงตำแหน่งต่อไปจนครบสี่ปี
   ให้ผู้ดำรงตำแหน่งรองคณบดีอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาคงดำรง
ตำแหน่งต่อไป จนกว่าผู้ดำรงตำแหน่งคณบดีจะพ้นจากตำแหน่งตามวรรคสาม

   มาตรา 51 ให้ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานและกรรมการในคณะกรรมการประจำคณะ
คณะกรรมการประจำบัณฑิตวิทยาลัย คณะกรรมการประจำสถาบัน และคณะกรรมการประจำสำนัก
อยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา คงดำรงตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะมี
การแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งขึ้นใหม่ ซึ่งต้องไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้
บังคับ

   มาตรา 52 ให้ผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการส่งเสริมมหาวิทยาลัยซึ่งสภามหาวิทยาลัยได้แต่งตั้ง
ขึ้นตามความในมาตรา 15 (9) แห่งพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ.ศ. 2512 อยู่ใน
วันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ยังคงดำรงตำแหน่งต่อไป จนกว่าจะมีการ
แต่งตั้งกรรมการดังกล่าวตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัตินี้

   มาตรา 53 ให้ผู้ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ประจำ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ศาสตราจารย์พิเศษ
รองศาสตราจารย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์และอาจารย์ประจำของมหาวิทยาลัย อยู่ในวันที่
พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา มีฐานะเป็นศาสตราจารย์ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ
ศาสตราจารย์พิเศษ รองศาสตราจารย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ และอาจารย์ต่อไปตาม
พระราชบัญญัตินี้

   มาตรา 54 ในระหว่างที่ยังมิได้ตราพระราชกฤษฎีกาหรือออกประกาศทบวงมหาวิทยาลัย
ข้อบังคับ และระเบียบเพื่อปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ ให้นำพระราชกฤษฎีกา ประกาศ
สำนักนายกรัฐมนตรี ประกาศทบวงมหาวิทยาลัย ข้อบังคับ และระเบียบที่ใช้อยู่ในวันที่
พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษามาใช้บังคับโดยอนุโลม
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก ป. ติณสูลานนท์
นายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่กฎหมายว่าด้วย
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้ว มีบทบัญญัติไม่เหมาะสมกับกาลสมัย และ
การดำเนินงานของมหาวิทยาลัยในฐานะที่เป็นสถาบันอุดมศึกษาของชาติและศูนย์กลางทาง
วิชาการในภาคเหนือทั้งในการผลิตบัณฑิตสาขาวิชาต่าง ๆ การค้นคว้า การวิจัย และการ
บริการทางวิชาการแก่สังคมตลอดจนการกิจอื่น ๆ อันจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ สมควร
ปรับปรุงโครงสร้างและระบบบริหารมหาวิทยาลัยเสียใหม่ เพื่อให้การบริหารการศึกษาคล่องตัว
และเหมาะสมกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
(ร.จ. เล่ม 104 ตอนที่ 269 หน้า 23  28 ธันวาคม 2530)