พระราชบัญญัติ ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. 2530 |
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2530 เป็นปีที่ 42 ในรัชกาลปัจจุบัน |
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการควบคุมยุทธภัณฑ์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของ รัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. 2530"
มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป
มาตรา 3 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ พุทธศักราช 2476 บรรดาบทกฎหมาย กฎ ข้อบังคับอื่นที่มีบัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัตินี้ หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับ บทแห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้แทน
มาตรา 4 ในพระราชบัญญัตินี้ "ยุทธภัณฑ์" หมายความว่า อาวุธ เครื่องอุปกรณ์ของอาวุธ สารเคมี สารชีวะ สารรังสี หรือเครื่องมือเครื่องใช้ที่อาจนำไปใช้ในการรบหรือการสงครามได้ ทั้งนี้ ตามที่ รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา ตามมาตรา 7 "สั่งเข้ามา" หมายความว่า สั่งเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งยุทธภัณฑ์ "นำเข้ามา" หมายความว่า นำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งยุทธภัณฑ์ "ผลิต" หมายความว่า ทำ ประกอบ ซ่อมแซมเปลี่ยนลักษณะ ผสม แปรสภาพ ปรุงแต่ง หรือแบ่งบรรจุซึ่งยุทธภัณฑ์ "มี" หมายความว่า มีกรรมสิทธิ์หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยุทธภัณฑ์ "คณะกรรมการ" หมายความว่า คณะกรรมการควบคุมยุทธภัณฑ์ "พนักงานเจ้าหน้าที่" หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตาม พระราชบัญญัตินี้ "รัฐมนตรี" หมายความว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
มาตรา 5 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้ มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ ออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมไม่เกินอัตราท้าย พระราชบัญญัตินี้ และยกเว้นค่าธรรมเนียม กำหนดกิจการอื่นและออกประกาศ เพื่อปฏิบัติการตาม พระราชบัญญัตินี้ ในส่วนที่เกี่ยวกับการศุลกากร ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตาม พระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวงและประกาศนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
มาตรา 6 พระราชบัญญัตินี้ไม่ใช้บังคับแก่ (1) ยุทธภัณฑ์ของราชการทหารหรือตำรวจ (2) ยุทธภัณฑ์ของส่วนราชการ องค์การของรัฐรัฐวิสาหกิจ หรือสภากาชาดไทย ทั้งนี้ ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง (3) ยุทธภัณฑ์ประจำอากาศยานหรือเรือเดินทะเลตามปกติที่ได้แสดงและให้ พนักงานศุลกากรตรวจตามกฎหมายแล้ว (4) ยุทธภัณฑ์ประจำยานพาหนะที่ใช้เพื่อการรบของต่างประเทศ ซึ่งเข้ามาใน ราชอาณาจักรโดยทางราชการ (5) อาวุธซึ่งผู้ได้รับใบอนุญาตตามคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 37 ลงวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ.2519 มีไว้ในครอบครองโดยได้รับอนุญาตตามคำสั่งของคณะปฏิรูป การปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 37 ลงวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2519
มาตรา 7 ให้รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศใน ราชกิจจานุเบกษากำหนดว่า อาวุธ เครื่องอุปกรณ์ของอาวุธ สารเคมี สารชีวะ สารรังสี หรือ เครื่องมือเครื่องใช้ที่อาจนำไปใช้ในการรบหรือการสงครามได้ชนิดใดเป็นยุทธภัณฑ์
มาตรา 8 ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า "คณะกรรมการควบคุมยุทธภัณฑ์" ประกอบ ด้วย ปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นประธานกรรมการ เจ้ากรมเสมียนตรา เจ้ากรมพระธรรมนูญ เจ้ากรมการอุตสาหกรรมทหาร เจ้ากรมส่งกำลังบำรุงทหาร เจ้ากรมสรรพาวุธทหารบก เจ้ากรมสรรพาวุธทหารเรือ เจ้ากรมสรรพาวุธทหารอากาศ เจ้ากรมวิทยาศาสตร์ทหารบก เจ้ากรมวิทยาศาสตร์ทหารเรือ ผู้บัญชาการศูนย์วิทยาศาสตร์และพัฒนาระบบอาวุธกองทัพอากาศ ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรมผู้แทน กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการพลังงาน กับผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งอีกไม่เกิน สามคนเป็นกรรมการ และผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนกลาโหมเป็นกรรมการและ เลขานุการ
มาตรา 9 กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสองปี กรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้
มาตรา 10 กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ เมื่อ (1) ตาย (2) ลาออก หรือ (3) รัฐมนตรีให้ออก เมื่อกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ รัฐมนตรีอาจแต่งตั้งผู้อื่นเป็นกรรมการ แทนได้ ในกรณีที่มีการแต่งตั้งกรรมการในระหว่างที่กรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้วยังมีวาระอยู่ใน ตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งเพิ่มขึ้นหรือแต่งตั้งแทน ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งนั้นอยู่ในตำแหน่ง เท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้ว
มาตรา 11 การประชุมของคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของ จำนวนกรรมการทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม ถ้าประธานกรรมการไม่อยู่ในที่ประชุม หรือไม่อาจ ปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้ามมาก กรรมการคนหนึ่งให้มีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานใน ที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
มาตรา 12 ให้คณะกรรมการมีหน้าที่ (1) ให้คำวินิจฉัยชี้ขาดแก่ส่วนราชการ องค์การของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจว่าอาวุธ เครื่องอุปกรณ์ของอาวุธ สารเคมีสารชีวะ สารรังสี หรือเครื่องมือเครื่องใช้ใดเป็นยุทธภัณฑ์ หรือไม่ (2) เสนอความเห็นต่อรัฐมนตรีในการประกาศกำหนดยุทธภัณฑ์ตามมาตรา 7 (3) เสนอแนะหรือให้คำปรึกษาแก่รัฐมนตรีหรือปลัดกระทรวงกลาโหมในเรื่องที่ เกี่ยวกับการควบคุมยุทธภัณฑ์ (4) พิจารณากลั่นกรองการขออนุญาตและเสนอแนะแก่ปลัดกระทรวงกลาโหมใน การอนุญาตตามมาตรา 15 ตามที่ได้รับมอบหมาย (5) เสนอแนะหรือให้คำปรึกษาแก่รัฐมนตรีในเรื่องการแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ (6) ปฏิบัติการอื่นตามที่รัฐมนตรีมอบหมาย
มาตรา 13 ให้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณา หรือปฏิบัติการ อย่างหนึ่งอย่างใดตามที่คณะกรรมการมอบหมายได้ ให้นำมาตรา 11 มาใช้บังคับแก่การประชุมของคณะอนุกรรมการโดยอนุโลม
มาตรา 14 ในการปฏิบัติหน้าที่ ให้คณะกรรมการมีอำนาจสั่งเป็นหนังสือเรียกบุคคลใดมาให้ ถ้อยคำ หรือให้ส่งเอกสารหรือวัตถุใด ๆที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่คณะกรรมการพิจารณามาเพื่อ ประกอบการพิจารณาได้ การส่งหนังสือเรียก ให้นำไปส่งในเวลากลางวันระหว่างพระอาทิตย์ขึ้น และพระอาทิตย์ตก หรือส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน ณ ภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ หรือสำนักทำการงานของผู้รับ
มาตรา 15 ห้ามมิให้ผู้ใดสั่งเข้ามา นำเข้ามา ผลิต หรือมีซึ่งยุทธภัณฑ์ เว้นแต่จะได้รับ ใบอนุญาตจากปลัดกระทรวงกลาโหม การอนุญาตตามวรรคหนึ่ง จะกำหนดเงื่อนไขไว้ในใบอนุญาตก็ได้ การขออนุญาตและการอนุญาต ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดใน กฎกระทรวง
มาตรา 16 ห้ามมิให้ออกใบอนุญาตตามความในหมวดนี้แก่ (1) บุคคลซึ่งเคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกสำหรับความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตราใดมาตราหนึ่ง ดังต่อไปนี้ (ก) มาตรา 107 ถึงมาตรา 129 มาตรา 138 มาตรา 139 มาตรา 209 ถึง มาตรา 216 มาตรา 288 มาตรา 289 มาตรา 335 ถึงมาตรา 337 มาตรา 339 ถึงมาตรา 340 ตรี (ข) มาตรา 295 ถึงมาตรา 298 และพ้นโทษยังไม่เกินห้าปีนับแต่วันพ้นโทษถึง วันยื่นคำขอใบอนุญาต เว้นแต่ในกรณีความผิดที่กระทำด้วยความจำเป็น หรือเพื่อเป็นการป้องกัน โดยชอบด้วยกฎหมาย หรือโดยบันดาลโทสะ (2) บุคคลซึ่งเคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกสำหรับความผิด ตามพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์พุทธศักราช 2476 หรือพระราชบัญญัตินี้ (3) บุคคลซึ่งเคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกตั้งแต่สองครั้งขึ้น ไปในระหว่างห้าปีนับย้อนขึ้นไปจากวันยื่นคำขอ สำหรับความผิดอย่างอื่นนอกจากที่บัญญัติไว้ใน (1) เว้นแต่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ (4) บุคคลซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะ (5) บุคคลซึ่งเป็นคนไร้ความสามารถหรือเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถหรือเป็น คนวิกลจริต (6) บุคคลซึ่งไม่มีอาชีพและรายได้ (7) บุคคลซึ่งไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง หรือ (8) บุคคลซึ่งมีความประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงอันอาจกระทบกระเทือนถึง ความสงบเรียบร้อยของประชาชน
มาตรา 17 ประเภทของใบอนุญาตมีดังนี้ (1) ใบอนุญาตสั่งเข้ามา (2) ใบอนุญาตนำเข้ามา (3) ใบอนุญาตผลิต (4) ใบอนุญาตมี ใบอนุญาตสั่งเข้ามาให้คุ้มกันถึงผู้นำเข้ามาซึ่งยุทธภัณฑ์ตามใบอนุญาตสั่งเข้ามาด้วย
มาตรา 18 ใบอนุญาตตามมาตรา 17 ให้คุ้มกันถึงลูกจ้างหรือตัวแทนของผู้รับใบอนุญาตด้วย และให้ถือว่าการกระทำของลูกจ้างหรือตัวแทนของผู้รับใบอนุญาตที่ได้รับการคุ้มกันเป็นการกระทำ ของผู้รับใบอนุญาต เว้นแต่ผู้รับใบอนุญาตจะพิสูจน์ได้ว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการสุดวิสัยที่ตน จะล่วงรู้หรือควบคุมได้
มาตรา 19 ผู้รับใบอนุญาตสั่งเข้ามาหรือผู้รับใบอนุญาตผลิตต้องแจ้งสถานที่เก็บให้ ปลัดกระทรวงกลาโหมพิจารณาก่อน ถ้าปลัดกระทรวงกลาโหมเห็นว่า สถานที่นั้นไม่เหมาะสมใน การเก็บยุทธภัณฑ์ จะสั่งให้ผู้รับใบอนุญาตนำยุทธภัณฑ์ไปเก็บไว้ ณ สถานที่อื่นใดภายในเวลาที่ กำหนดก็ได้
มาตรา 20 เมื่อรัฐมนตรีประกาศกำหนดยุทธภัณฑ์ตามมาตรา 7 แล้วให้ผู้สั่งเข้ามา ผู้นำเข้า มา ผู้ผลิต หรือผู้มีซึ่งยุทธภัณฑ์อยู่ในวันที่ประกาศ ยื่นคำขอรับใบอนุญาตภายในสามสิบวัน นับแต่ วันที่ประกาศ
มาตรา 21 ผู้นำเข้ามาซึ่งยุทธภัณฑ์ที่เป็นของสำหรับใช้ส่วนตัวโดยปกติของผู้นำเข้ามา หรือ เป็นของตัวอย่างเท่าที่จำเป็น ต้องแจ้งเป็นหนังสือและส่งมอบยุทธภัณฑ์แก่พนักงานศุลกากร ณ ด่านแรกที่มาถึงจากนอกราชอาณาจักร ถ้านำเข้ามาทางท้องที่ที่ไม่มีด่านศุลกากร ให้ผู้นำเข้ามา แจ้งเป็นหนังสือและส่งมอบยุทธภัณฑ์แก่พนักงานศุลกากร ณ ด่านที่ใกล้เคียงโดยไม่ชักช้า ทั้งนี้ เว้นแต่ผู้นั้นได้รับใบอนุญาตนำเข้ามาหรือใบอนุญาตมีมาตรา 15 และได้แสดงใบอนุญาตกับให้ พนักงานศุลกากรตรวจตามกฎหมายแล้ว เมื่อพนักงานศุลกากรได้รับหนังสือแจ้งและรับมอบยุทธภัณฑ์ไว้แล้วให้แจ้งเป็นหนังสือไปยัง ปลัดกระทรวงกลาโหม
มาตรา 22 ภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ส่งมอบยุทธภัณฑ์แก่พนักงานศุลกากรตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง ให้ผู้นำเข้ามายื่นคำขอรับใบอนุญาตนำเข้ามาและใบอนุญาตมีต่อปลัดกระทรวง กลาโหม ถ้าปลัดกระทรวงกลาโหมไม่อนุญาต ให้แจ้งคำสั่งนั้นเป็นหนังสือให้ผู้นำเข้ามาทราบและให้ ผู้นำเข้ามาส่งยุทธภัณฑ์นั้นกลับออกไปนอกราชอาณาจักรภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ผู้นำเข้ามาได้รับ แจ้งคำสั่ง ในกรณีที่ไม่สามารถแจ้งคำสั่งให้ผู้นำเข้ามาทราบได้ ให้ปลัดกระทรวงกลาโหมโฆษณา คำสั่งนั้นทางหนังสือพิมพ์หรือปิดประกาศไว้ในที่เปิดเผย ณ สถานที่ที่ยื่นคำขอรับใบอนุญาตเป็น เวลาไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน เมื่อพ้นกำหนดเวลาดังกล่าว ให้ถือว่าผู้นำเข้ามาได้รับแจ้งคำสั่งนั้นแล้ว
มาตรา 23 ในกรณีที่ผู้นำเข้ามามิได้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตภายในเก้าสิบวัน นับแต่วันที่ส่งมอบ ยุทธภัณฑ์แก่พนักงานศุลกากรตามมาตรา 22 วรรคหนึ่ง หรือมิได้ส่งยุทธภัณฑ์กลับออกไปนอก ราชอาณาจักรภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 22 วรรคสอง หรือเมื่อได้รับใบอนุญาตนำเข้ามา แล้วไม่มารับยุทธภัณฑ์นั้นไปจากพนักงานศุลกากรจนพ้นกำหนดอายุใบอนุญาตให้ยุทธภัณฑ์นั้นตกเป็น ของรัฐ
มาตรา 24 ผู้รับใบอนุญาตผลิตและผู้รับใบอนุญาตมีต้องจัดให้มีบัญชีรับจ่ายยุทธภัณฑ์ตามแบบที่ กำหนดในกฎกระทรวง บัญชีดังกล่าวให้เก็บรักษาไว้และพร้อมที่จะแสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ ทุกเวลา
มาตรา 25 ยานพาหนะใดที่เข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อผ่านไปนอกราชอาณาจักร ถ้ามี ยุทธภัณฑ์อยู่ในยานพาหนะนั้น เจ้าของ หรือผู้ครอบครองยุทธภัณฑ์ หรือผู้ควบคุมยานพาหนะ ตามลำดับคนใดคนหนึ่งแล้วแต่กรณี ต้องแจ้งแก่พนักงานศุลกากร ณ ด่านแรกที่มาถึงจากนอก ราชอาณาจักร เพื่อควบคุมหรือเก็บรักษายุทธภัณฑ์ไว้จนกว่ายานพาหนะนั้นจะออกไปจาก ราชอาณาจักร ในกรณีที่เจ้าของ หรือผู้ครอบครองยุทธภัณฑ์ หรือผู้ควบคุมยานพาหนะ ไม่มารับยุทธภัณฑ์คืนไป เมื่อยานพาหนะนั้นออกนอกราชอาณาจักร ให้ยุทธภัณฑ์นั้นตกเป็นของรัฐ
มาตรา 26 ใบอนุญาตซึ่งออกตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ใช้ได้ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ใน ใบอนุญาต แต่มิให้กำหนดเกินหนึ่งปีนับแต่วันที่ออกใบอนุญาตหรือวันที่ได้รับใบอนุญาตให้ต่ออายุ ใบอนุญาต ถ้าผู้รับใบอนุญาตประสงค์จะขอต่ออายุใบอนุญาตต้องยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตเสียก่อน ใบอนุญาตสิ้นอายุ เมื่อได้ยื่นคำขอดังกล่าวแล้ว จะประกอบกิจการต่อไปก็ได้ จนกว่า ปลัดกระทรวงกลาโหมจะสั่งไม่อนุญาตให้ต่ออายุใบอนุญาตนั้น การขอต่ออายุใบอนุญาตและการอนุญาตให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนด ในกฎกระทรวง
มาตรา 27 ในกรณีที่ปลัดกระทรวงกลาโหมไม่ออกใบอนุญาตไม่อนุญาตให้ต่ออายุใบอนุญาต หรือออกใบอนุญาตให้ไม่เต็มตามจำนวนยุทธภัณฑ์ที่ขออนุญาตไว้ ผู้ขออนุญาตหรือผู้ขอต่ออายุ ใบอนุญาตมีสิทธิอุทธรณ์เป็นหนังสือต่อรัฐมนตรีภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือจาก ปลัดกระทรวงกลาโหมแจ้งการไม่ออกใบอนุญาต ไม่อนุญาตให้ต่ออายุใบอนุญาตหรือออกใบอนุญาต ให้ไม่เต็มตามจำนวนยุทธภัณฑ์ที่ขออนุญาตไว้ คำวินิจฉัยของรัฐมนตรีให้เป็นที่สุด ในกรณีมีการอุทธรณ์การขอต่ออายุใบอนุญาตตามวรรคหนึ่ง ก่อนที่รัฐมนตรีจะมีคำวินิจฉัย อุทธรณ์ รัฐมนตรีจะสั่งอนุญาตให้ประกอบกิจการไปพลางก่อน เมื่อมีคำขอของผู้อุทธรณ์ก็ได้
มาตรา 28 ถ้าใบอนุญาตสูญหาย ลบเลือน หรือชำรุดในสาระสำคัญ ให้ผู้รับใบอนุญาตยื่น คำขอรับใบแทนใบอนุญาตภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ทราบถึงการสูญหาย ลบเลือน หรือชำรุดนั้น การขอรับใบแทนใบอนุญาต และการออกใบแทนใบอนุญาต ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา 29 เพื่อประโยชน์ในการระงับหรือป้องกันอันตรายซึ่งอาจเกิดขึ้นแก่บุคคล สัตว์ พืช หรือทรัพย์สินอื่น หรือเพื่อคุ้มครองอนามัยของบุคคล ถ้าสถานที่ผลิตยุทธภัณฑ์ สถานที่เก็บยุทธภัณฑ์ เครื่องจักรกลหรือเครื่องมือเครื่องใช้ในสถานที่นั้นอยู่ในสภาพที่อาจก่อให้เกิดอันตายได้ ปลัดกระทรวงกลาโหมจะสั่งเป็นหนังสือให้ผู้รับใบอนุญาตปรับปรุงแก้ไขหรือซ่อมแซมสถานที่ เครื่องจักรกล หรือเครื่องมือเครื่องใช้ในสถานที่ดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนดก็ได้ และปลัดกระทรวงกลาโหมมีอำนาจสั่งเป็นหนังสือให้หยุดประกอบกิจการทั้งหมดหรือแต่บางส่วน เป็นการชั่วคราวในระหว่างเวลาดังกล่าวได้
มาตรา 30 ในการปฏิบัติหน้าที่ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจดังต่อไปนี้ (1) เข้าไปในสถานที่ผลิตยุทธภัณฑ์ระหว่างเวลาทำการ เข้าไปในสถานที่เก็บ ยุทธภัณฑ์ในเวลาระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก หรือเข้าไปในยานพาหนะที่บรรทุก ยุทธภัณฑ์ ทั้งนี้ เพื่อตรวจสอบสถานที่ ยุทธภัณฑ์ ภาชนะบรรจุ สมุดบัญชี เอกสาร หรือสิ่งอื่นใดที่ เกี่ยวกับยุทธภัณฑ์นั้น (2) นำยุทธภัณฑ์หรือสิ่งอื่นที่ผลิตจากยุทธภัณฑ์ในปริมาณเท่าที่จำเป็นไปเป็น ตัวอย่างเพื่อตรวจสอบในกรณีที่มีเหตุสงสัย (3) ตรวจค้น กัก ยึด หรืออายัดยุทธภัณฑ์ ภาชนะบรรจุ สมุดบัญชี เอกสาร หรือ สิ่งอื่นใดที่เกี่ยวกับยุทธภัณฑ์นั้น ในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม พระราชบัญญัตินี้ (4) สั่งเป็นหนังสือเรียกบุคคลใดมาให้ถ้อยคำ หรือให้ส่งเอกสาร หรือวัตถุใด ๆ มาเพื่อประกอบการพิจารณาได้ ในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ให้บุคคลซึ่งเกี่ยวข้องอำนวยความสะดวกตามสมควร
มาตรา 31 ในการปฏิบัติหน้าที่ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่แสดงบัตรประจำตัวต่อบุคคลซึ่ง เกี่ยวข้อง บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามแบบที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา 32 ยุทธภัณฑ์ ภาชนะบรรจุ สมุดบัญชี เอกสาร และสิ่งอื่นใดที่ยึดหรืออายัดไว้ตาม มาตรา 30 (3) ถ้าปลัดกระทรวงกลาโหมพิจารณาแล้วเห็นว่ามิใช่เป็นสิ่งที่ต้องริบตามมาตรา 34 หรือพนักงานอัยการหรืออัยการทหารสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีให้พนักงานเจ้าหน้าที่คืนสิ่งที่ยึดไว้ นั้นให้แก่ผู้ควรได้รับคืนหรือถอนการอายัดโดยมิชักช้า ถ้าสิ่งที่ยึดไว้นั้นเป็นของเสียง่าย หรือเป็นของที่ใกล้จะหมดอายุการใช้งานตามที่กำหนดไว้ หรือถ้าการเก็บไว้นั้นจะเป็นการเสี่ยงต่อความเสียหายหรือค่าใช้จ่ายจะเกินส่วนกับค่าแห่งของนั้น ปลัดกระทรวงกลาโหมมีอำนาจจัดการขายทอดตลาดหรือขายโดยวิธีอื่นได้ตามที่เห็นสมควร เงินที่ ขายได้นั้นเมื่อได้หักค่าใช้จ่ายทั้งปวงออกแล้ว ให้ถือไว้แทนสิ่งที่ยึดไว้ ในการคืนสิ่งที่ยึดไว้ให้แก่ผู้ควรได้รับคืนตามวรรคหนึ่ง หรือเงินที่ถือไว้แทนสิ่งที่ยึดไว้ตาม วรรคสอง ให้พนักงานเจ้าหน้าที่แจ้งเป็นหนังสือไปยังผู้ควรได้รับคืนให้มารับสิ่งที่ยึดไว้หรือเงินที่ ถือไว้แทนสิ่งที่ยึดคืนไปโดยเร็ว ในกรณีที่ไม่สามารถแจ้งได้ให้พนักงานเจ้าหน้าที่โฆษณาทาง หนังสือพิมพ์หรือโดยปิดประกาศในที่เปิดเผย ณ สถานที่ที่ยื่นคำขอรับใบอนุญาตเป็นเวลาไม่ น้อยกว่าเจ็ดวัน หากผู้ควรได้รับคืนไม่มาขอรับสิ่งที่ยึดไว้หรือเงินที่ถือไว้แทนสิ่งที่ยึดไว้คืนไปภายในหนึ่งร้อย แปดสิบวันนับแต่วันที่แจ้งเป็นหนังสือหรือวันที่โฆษณาทางหนังสือพิมพ์ หรือวันที่ปิดประกาศในที่ เปิดเผย แล้วแต่กรณีตามวรรคสาม ให้สิ่งที่ยึดไว้หรือเงินที่ถือไว้แทนสิ่งที่ยึดไว้นั้นตกเป็นของรัฐ
มาตรา 33 สิ่งที่ยึดไว้ตามมาตรา 30 (3) เมื่อได้ทำการตรวจพิสูจน์เป็นที่แน่นอนว่ามีสภาพ หรือแปรสภาพอันอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน ปลัดกระทรวงกลาโหมโดย คำแนะนำของคณะกรรมการมีอำนาจสั่งทำลายหรือจัดการตามที่เห็นสมควรได้ ในกรณีมีเหตุฉุกเฉินหรือความจำเป็นเพื่อป้องกันอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินอันเนื่องมาจาก สิ่งที่ยึดไว้ตามวรรคหนึ่ง ปลัดกระทรวงกลาโหมมีอำนาจสั่งทำลายหรือจัดการตามที่เห็นสมควรได้ โดยไม่ต้องมีคำแนะนำของคณะกรรมการ
มาตรา 34 ยุทธภัณฑ์ที่สั่งเข้ามา นำเข้ามา ผลิต หรือมีโดยฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตาม พระราชบัญญัตินี้ให้ริบเสียทั้งสิ้น ไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่
มาตรา 35 ยุทธภัณฑ์ที่พนักงานเจ้าหน้าที่หรือพนักงานสอบสวนได้ยึดไว้ถ้าในขณะยึดไม่ปรากฏ ว่าผู้ใดเป็นผู้สั่งเข้ามา ผู้นำเข้ามา ผู้ผลิตหรือผู้มี และไม่มีผู้ใดมาแสดงตนเป็นผู้สั่งเข้ามา ผู้นำ เข้ามา ผู้ผลิตหรือผู้มี เพื่อขอรับคืนภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ยึดไว้ ให้ยุทธภัณฑ์นั้นตกเป็นของรัฐ
มาตรา 36 ในกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตให้สั่งเข้ามาไม่ไปขอรับยุทธภัณฑ์ที่สั่งเข้ามาจาก กรมศุลกากรภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ยุทธภัณฑ์นั้นเข้ามาในราชอาณาจักร ให้พนักงานศุลกากร แจ้งเป็นหนังสือไปยังผู้รับใบอนุญาตหรือผู้ควบคุมหรือตัวแทนผู้ควบคุมยานพาหนะที่นำยุทธภัณฑ์เข้า มา ให้ส่งยุทธภัณฑ์นั้นกลับออกไปนอกราชอาณาจักรภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือ หาก ผู้รับใบอนุญาตหรือผู้ควบคุม หรือตัวแทนผู้ควบคุมยานพาหนะที่นำเข้ามาไม่ปฏิบัติตามที่ พนักงานศุลกากรแจ้งภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ให้ยุทธภัณฑ์นั้นตกเป็นของรัฐ
มาตรา 37 ยุทธภัณฑ์ที่ริบหรือตกเป็นของรัฐตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ส่งมอบให้ กระทรวงกลาโหมเพื่อจัดการตามที่เห็นสมควร
มาตรา 38 ในการปฏิบัติหน้าที่ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงาน ตาม ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 39 เพื่อความมั่นคงแห่งรัฐ หรือเพื่อความสงบเรียบร้อยหรือประโยชน์สุขของ ประชาชน หรือในกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ หรือไม่ปฏิบัติตาม คำสั่งหรือข้อกำหนดซึ่งสั่งหรือกำหนดโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัตินี้ รัฐมนตรีมีอำนาจที่จะ เพิกถอนใบอนุญาตซึ่งออกตามพระราชบัญญัตินี้เสียเมื่อใดก็ได้
มาตรา 40 ผู้ถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาตจะต้องส่งยุทธภัณฑ์นั้นกลับออกไปนอกราชอาณาจักร หรือจำหน่าย หรือจัดการด้วยประการใด ๆ ตามที่รัฐมนตรีหรือผู้ซึ่งรัฐมนตรีมอบหมายจะสั่งเป็น หนังสือภายในเวลาที่กำหนดไว้ เมื่อพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวแล้วถ้าผู้ถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาตนั้น ยังมิได้ปฏิบัติตามที่สั่ง ให้ยุทธภัณฑ์นั้นตกเป็นของรัฐ
มาตรา 41 ผู้ใดไม่มาให้ถ้อยคำหรือไม่ส่งเอกสารหรือวัตถุใด ๆตามที่คณะกรรมการสั่งตาม มาตรา 14 วรรคหนึ่ง หรือตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่สั่งตามมาตรา 30 (4) ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินสามเดือนหรือปรับไม่เกินสามพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 42 ผู้ใดฝ่ายฝืนมาตรา 15 วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับ ไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 43 ผู้รับใบอนุญาตผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดในใบอนุญาต ตามมาตรา 15 วรรคสอง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 44 ผู้รับใบอนุญาตผู้ใดไม่แจ้งสถานที่เก็บยุทธภัณฑ์ตามมาตรา 19 ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 45 ผู้รับใบอนุญาตผู้ใดไม่ปฏิบัติตามที่ปลัดกระทรวงกลาโหมสั่งตามมาตรา 19 หรือ มาตรา 29 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 46 ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง หรือมาตรา 25 วรรคหนึ่ง ต้อง ระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสามหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 47 ผู้รับใบอนุญาตผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 24 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสมเดือน หรือปรับไม่เกินสามพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 48 ผู้รับใบอนุญาตผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 28 วรรคหนึ่งต้องระวางโทษปรับไม่เกิน หนึ่งพันบาท
มาตรา 49 ผู้ใดขัดขวางหรือไม่อำนวยความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งปฏิบัติการตาม มาตรา 30 (1) (2) หรือ (3) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหกพัน บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 50 ผู้ใดกระทำความผิดตามมาตรา 42 และการกระทำความผิดนั้นเป็นส่วนของ แผนการเพื่อเป็นกบฎตามประมวลกฎหมายอาญาต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี
มาตรา 51 ใบอนุญาตให้สั่งเข้ามาหรือใบอนุญาตมีไว้ในครอบครองตามกฎหมายว่าด้วย การควบคุมยุทธภัณฑ์ซึ่งใช้อยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้คงใช้ได้ต่อไปจนกว่าจะสิ้นอายุ และถ้าผู้รับใบอนุญาตประสงค์จะรับใบอนุญาตต่อไป ให้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้ ก่อนใบอนุญาตเดิมสิ้นอายุ
มาตรา 52 ให้บรรดากฎกระทรวงหรือประกาศซึ่งได้ออกโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมาย ว่าด้วยการควบคุมยุทธภัณฑ์ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติแห่ง พระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้จนกว่าจะได้มีกฎกระทรวงหรือประกาศตามพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับแทน ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก ป. ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี |
หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชบัญญัติควบคุม ยุทธภัณฑ์ พุทธศักราช 2476 ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้วสภาพการณ์ของบ้านเมืองได้ เปลี่ยนแปลงไปเป็นอันมากทำให้บทบัญญัติของพระราชบัญญัตินี้ไม่เหมาะสมแก่กาลสมัย สมควร ปรับปรุงเสียใหม่ให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน จึงจำเป็นต้องตราพระราบัญญัตินี้ (ร.จ. เล่ม 104 ตอนที่ 254 หน้า 1 7 ธันวาคม 2530) |
อัตราค่าธรรมเนียม (1) คำขอ ฉบับละ 20 บาท (2) ใบอนุญาตสั่งเข้ามา ฉบับละ 200 บาท (3) ใบอนุญาตนำเข้ามา ฉบับละ 200 บาท (4) ใบอนุญาตผลิต ฉบับละ 10,000 บาท (5) ใบอนุญาตมี ฉบับละ 200 บาท (6) ใบแทนใบอนุญาต ฉบับละ 50 บาท (7) การต่ออายุใบอนุญาตครั้งละเท่ากับ ค่าธรรมเนียม สำหรับใบอนุญาตประเภทนั้น |