พระราชบัญญัติ
          ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับสถานที่ผลิตปิโตรเลียมในทะเล
                         พ.ศ. 2530
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
               ให้ไว้ ณ วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2530
                   เป็นปีที่ 42 ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้
ประกาศว่า
   โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับสถานที่ผลิตปิโตรเลียมในทะเล
   จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของ
รัฐสภา ดังต่อไปนี้

   มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับสถานที่ผลิต
ปิโตรเลียมในทะเล พ.ศ. 2530"

   มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป

   มาตรา 3 บรรดาบทกฎหมาย กฎ และข้อบังคับอื่นในส่วนที่มีบัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัตินี้
หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้แทน

   มาตรา 4 ในพระราชบัญญัตินี้
           "ปิโตรเลียม" หมายความว่า ปิโตรเลียมตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม
           "สถานที่ผลิตปิโตรเลียมในทะเล" หมายความว่า สิ่งติดตั้งเดี่ยวหรือมากกว่านั้น
ที่สร้างขึ้นหรือติดตั้งอย่างชั่วคราวหรือถาวรในเขตเศรษฐกิจจำเพาะหรือไหล่ทวีปของ
ราชอาณาจักรไทย เพื่อวัตถุประสงค์ในการผลิตหรืออำนวยประโยชน์ในการผลิตปิโตรเลียมและ
หมายความรวมถึงเรือ แท่นลอย หรือโครงสร้างอื่นใดที่อยู่ประจำและเป็นส่วนหนึ่งของการผลิต
หรืออำนวยประโยชน์ในการผลิตปิโตรเลียมในเขตเศรษฐกิจจำเพาะหรือไหล่ทวีปดังกล่าว
           "เขตปลอดภัย" หมายความว่า เขตรอบสถานที่ผลิตปิโตรเลียมในทะเลมีระยะห้า
ร้อยเมตร โดยวัดจากแต่ละจุดของขอบด้านนอกของสถานที่ผลิตปิโตรเลียมในทะเลตามกฎหมาย
ระหว่างประเทศ
           "สืบสวนสอบสวนเบื้องต้น" หมายความว่า แสวงหาข้อเท็จจริงและหลักฐาน
รวบรวมพยานหลักฐาน หรือดำเนินการทั้งหลายอื่นตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ ซึ่งเจ้าหน้าที่
ทหารเรือได้ทำไปเกี่ยวกับความผิดที่กล่าวหาเพื่อที่จะทราบข้อเท็จจริงหรือทราบรายละเอียดแห่ง
ความผิดหรือพิสูจน์ความผิดหรือเพื่อให้ได้ตัวผู้กระทำความผิดมาส่งให้แก่พนักงานสอบสวนต่อไป
           "การก่อวินาศกรรม" หมายความว่า การก่อวินาศกรรมตามกฎหมายว่าด้วย
การป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน
           "เจ้าหน้าที่ทหารเรือ" หมายความว่า นายทหารเรือประจำการชั้นสัญญาบัตร
ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บังคับการเรือ ผู้บังคับหมู่เรือผู้บังคับหมวดเรือ ผู้บังคับการกองเรือ
ผู้บัญชาการกรมนาวิกโยธิน ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ผู้บัญชาการทหารเรือ หรือตำแหน่งอื่นที่
ผู้บัญชาการทหารเรือได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้เทียบเท่ากับตำแหน่งดังกล่าว และ
นายทหารเรือประจำการชั้นสัญญาบัตรซึ่งผู้บัญชาการทหารเรือได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
แต่งตั้งขึ้นโดยเฉพาะ

   มาตรา 5 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมมีอำนาจประกาศ
           (1) กำหนดหรือยกเลิกเขตที่ตั้งและเขตปลอดภัยของสถานที่ผลิตปิโตรเลียมใน
ทะเล
           (2) กำหนดหรือยกเลิกเขตท่อรวมทั้งอุปกรณ์ของท่อที่ใช้ในกระบวนการผลิต
ปิโตรเลียมซึ่งเชื่อมโยงกันระหว่างสถานที่ผลิตปิโตรเลียมในทะเลที่อยู่นอกเขตปลอดภัย
           การประกาศตามวรรคหนึ่ง ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา

   มาตรา 6 สถานที่ผลิตปิโตรเลียมในทะเลและเขตปลอดภัยให้ถือว่าอยู่ในราชอาณาจักร
           การกระทำความผิดตามกฎหมายไทยที่เกิดขึ้นบน เหนือหรือใต้สถานที่ผลิต
ปิโตรเลียมในทะเล หรือในเขตปลอดภัย ให้ถือว่าได้กระทำในราชอาณาจักร
           ให้พนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามีอำนาจสอบสวน
คดีอาญาทั้งปวงตามวรรคสอง พนักงานสอบสวนท้องที่ใดเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบในการ
สอบสวนให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยประกาศกำหนด

   มาตรา 7 ให้เจ้าหน้าที่ทหารเรือมีอำนาจสืบสวนสอบสวนเบื้องต้น เพื่อป้องกันและระงับ
การกระทำที่เป็นการก่อวินาศกรรมสถานที่ผลิตปิโตรเลียมในทะเล

   มาตรา 8 เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 7 ให้เจ้าหน้าที่ทหารเรือมีอำนาจ
สืบสวนสอบสวนเบื้องต้นเกี่ยวกับการกระทำที่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาที่ได้กระทำ
บนเหนือ หรือใต้สถานที่ผลิตปิโตรเลียมในทะเล หรือในเขตปลอดภัยตามความผิดดังต่อไปนี้
           (1) ความผิดเกี่ยวกับการปกครองตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 136 ถึงมาตรา 146
           (2) ความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชนตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 209
ถึงมาตรา 216
           (3) ความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชนตามที่บัญญัติไว้ใน
มาตรา 217 ถึงมาตรา 226 และมาตรา 231
           (4) ความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกายตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 288 ถือมาตรา
290 และมาตรา 295 ถึงมาตรา 298
           (5) ความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพและชื่อเสียงตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 309 มาตรา
310 มาตรา 313 ถึงมาตรา 315 และมาตรา 322 ถึงมาตรา 324
           (6) ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 334 มาตรา 335 มาตรา
336 ถึงมาตรา 339 มาตรา 340 มาตรา 340 ตรี มาตรา 357 ถึงมาตรา 360 มาตรา
362 มาตรา 364 และมาตรา 365

   มาตรา 9 การเดินเรือในเขตปลอดภัยต้องได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากอธิบดี
กรมทรัพยากรธรณี หรือผู้ซึ่งอธิบดีกรมทรัพยากรธรณีมอบหมาย เว้นแต่มีความจำเป็นเพราะ
เหตุสุดวิสัยหรือประสบภยันตรายร้ายแรง
           ในการอนุญาตนั้น จะกำหนดเงื่อนไขอย่างใดด้วยก็ได้
           ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่เรือของทางราชการเรือของผู้รับสัมปทาน
ปิโตรเลียมในเขตท้องที่นั้น และเรือของผู้รับจ้างซึ่งได้ทำสัญญาจ้างเหมากับผู้รับสัมปทาน
ปิโตรเลียมในเขตท้องที่นั้น

   มาตรา 10 ในกรณีที่มีการประกาศกำหนดเขตท่อรวมทั้งอุปกรณ์ของท่อที่ใช้ในกระบวนการ
ผลิตปิโตรเลียมตามมาตรา 5 (2) หรือมีการประกาศกำหนดเขตระบบการขนส่งปิโตรเลียมทาง
ท่อตามกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ห้ามมิให้ผู้ใดทอดสมอเรือหรือเกาสมอ
หรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งอันอาจเป็นอันตรายต่อท่อที่ใช้ในกระบวนการผลิตปิโตรเลียม
หรือท่อที่ใช้ในระบบการขนส่งปิโตรเลียมจากสถานที่ผลิตปิโตรเลียมในทะเลมาถึงชายฝั่งหรือท่อที่
ใช้หรือเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการผลิตปิโตรเลียมซึ่งเชื่อมโยงกันระหว่างสถานที่ผลิตปิโตรเลียม
ในทะเลที่อยู่นอกเขตปลอดภัยรวมทั้งอุปกรณ์ของท่อดังกล่าว
           ห้ามมิให้ผู้ใดเดินเรือข้ามท่อหรืออุปกรณ์ของท่อตามวรรคหนึ่ง โดยมิได้ชักสมอขึ้น
พ้นจากน้ำจนแลเห็นได้
           การกระทำผิดตามมาตรานี้ให้ถือว่าได้กระทำในราชอาณาจักร
           ในการสอบสวนการกระทำความผิดตามมาตรานี้ ให้นำความในมาตรา 6
วรรคสาม มาใช้บังคับโดยอนุโลม

   มาตรา 11 ให้เจ้าหน้าที่ทหารเรือมีอำนาจสืบสวนสอบสวนเบื้องต้นเกี่ยวกับการกระทำ
ความผิดตามมาตรา 9 หรือมาตรา 10

   มาตรา 12 ให้เจ้าหน้าที่ทหารเรือมีอำนาจสั่งหรือบังคับให้เรือหรืออากาศยานที่ใช้หรือมี
เหตุอันควรสงสัยว่าจะใช้หรือได้ใช้ในการก่อวินาศกรรมสถานที่ผลิตปิโตรเลียมในทะเลหรือเรือ
หรืออากาศยานที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าได้ใช้ในการกระทำ
ความผิดตามมาตรา 8 หรือเรือที่ฝ่าฝืนหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าได้ฝ่าฝืนมาตรา 9 หรือมาตรา
10 หยุดหรือไปยังที่แห่งใดแห่งหนึ่ง หรือลงยังสนามบิน หรือที่ขึ้นลงชั่วคราวแห่งใดแห่งหนึ่ง
           ในกรณีจำเป็นเพื่อดำเนินการตามวรรคหนึ่งให้เจ้าหน้าที่ทหารเรือมีอำนาจใช้
อาวุธประจำเรือหรืออากาศยานบังคับได้

   มาตรา 13 เมื่อเจ้าหน้าที่ทหารเรือสั่งหรือบังคับให้เรือหรืออากาศยานหยุดหรือไปยังที่
แห่งใดแห่งหนึ่ง หรือลงยังสนามบินหรือที่ขึ้นลงชั่วคราวแห่งใดแห่งหนึ่งตามมาตรา 12 แล้ว ให้
เจ้าหน้าที่ทหารเรือมีอำนาจปฏิบัติต่อเรือหรืออากาศยาน ผู้ควบคุมเรือหรืออากาศยาน และบุคคล
ในเรือหรืออากาศยานดังต่อไปนี้
           (1) ตรวจและค้นเรือหรืออากาศยาน
           (2) สอบสวนผู้ควบคุมเรือหรืออากาศยานและบุคคลในเรือหรืออากาศยาน
           (3) ถ้าการตรวจค้นเรือหรืออากาศยานหรือการสอบสวนมีเหตุอันควรสงสัยว่าจะ
มีการก่อวินาศกรรม หรือได้มีการก่อวินาศกรรม หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทำความผิด
ตามมาตรา 8 หรือฝ่าฝืนมาตรา 9 หรือมาตรา 10 ให้เจ้าหน้าที่ทหารเรือมีอำนาจควบคุม
ผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดนั้นไว้เพื่อสอบสวนตลอดจนยึดเรือหรืออากาศยาน และสิ่งของที่จะใช้
หรือได้ใช้ในการกระทำความผิด
           ห้ามมิให้ควบคุมเรือหรืออากาศยาน ผู้ควบคุมเรือหรืออากาศยานหรือบุคคลในเรือ
หรืออากาศยาน เกินความจำเป็นตามพฤติการณ์แห่งคดี

   มาตรา 14 ให้เจ้าหน้าที่ทหารเรือมีอำนาจไล่ติดตามเรือต่างประเทศได้ เมื่อมีเหตุอันควร
เชื่อได้ว่าเรือนั้นได้ใช้ในการก่อวินาศกรรมสถานที่ผลิตปิโตรเลียมในทะเลหรือได้ใช้ใน
การกระทำความผิดตามมาตรา 8 หรือฝ่าฝืนมาตรา 9 หรือมาตรา 10
           เรือรบหรืออากาศยานทหาร หรือเรือหรืออากาศยานที่ทางราชการนำมาใช้ใน
ราชการของรัฐบาลที่มีเครื่องหมายชัดแจ้งและได้รับมอบหมายจากผู้บัญชาการทหารเรือหรือผู้ซึ่ง
ผู้บัญชาการทหารเรือมอบหมายเพื่อการไล่ติดตามเท่านั้นที่จะใช้สิทธิไล่ติดตามได้
           การมอบหมายตามวรรคสองจะทำเป็นหนังสือหรือด้วยวาจา หรือจะกำหนด
เงื่อนไขอย่างใดก็ได้

   มาตรา 15 การไล่ติดตามโดยเรือรบหรือเรือตามมาตรา 14 วรรคสอง ต้องเป็นไปเพื่อ
บังคับให้เรือนั้นหยุดหรือไปยังที่แห่งใดแห่งหนึ่งทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
           (1) การไล่ติดตามจะเริ่มต้นได้ในเมื่อเรือต่างประเทศ หรือเรือเล็กลำใดลำ
หนึ่งของเรือต่างประเทศ หรือเรืออื่นที่ทำงานร่วมกับเรือต่างประเทศโดยใช้เรือต่างประเทศ
เป็นเรือพี่เลี้ยงอยู่ภายในเขตปลอดภัย
           (2) เรือที่ไล่ติดตามได้ให้สัญญาณหยุดที่เห็นได้ด้วยตา หรือฟังได้ด้วยหูในระยะ
ทางที่เรือต่างประเทศจะสามารถเห็นหรือได้ยินสัญญาณได้ แต่ไม่จำเป็นว่าในขณะที่มีคำสั่งให้หยุด
เรือที่ออกคำสั่งจะต้องอยู่ภายในเขตทางทะเลของราชอาณาจักร
           (3) การไล่ติดตามสามารถกระทำต่อไปได้ถึงภายนอกเขตทางทะเลของ
ราชอาณาจักร ถ้าการไล่ติดตามนั้นมิได้ขาดตอนลง แต่จะต้องสิ้นสุดลงทันทีที่เรือที่ถูกไล่ติดตามนั้น
เข้าไปในทะเลอาณาเขตของประเทศอื่น

   มาตรา 16 การไล่ติดตามโดยอากาศยานทหารหรืออากาศยานตามมาตรา 14 วรรคสอง
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
           (1) ให้นำความในมาตรา 15 มาใช้บังคับโดยอนุโลม
           (2) อากาศยานที่ออกคำสั่งให้หยุดต้องไล่ติดตามเรือนั้นเพื่อบังคับให้เรือนั้นหยุด
หรือไปยังที่แห่งใดแห่งหนึ่งด้วยตนเองหรือจนกว่าจะมีการรับช่วงการไล่ติดตามเพื่อบังคับให้เรือ
นั้นหยุดหรือไปยังที่แห่งใดแห่งหนึ่งโดยเรือรบหรืออากาศยานทหาร หรือเรือหรืออากาศยานตาม
มาตรา 14 วรรคสอง ที่อากาศยานที่ไล่ติดตามเรียกมา การไล่ติดตามจะกระทำมิได้ถ้า
อากาศยานที่จะไล่ติดตามเพียงแต่เห็นเรือกระทำความผิดหรือสงสัยว่าได้กระทำความผิด แต่มิได้
มีการสั่งให้หยุดและมิได้มีการไล่ติดตามโดยอากาศยานนั้นหรืออากาศยานหรือเรืออื่นโดยไม่
ขาดตอน

   มาตรา 17 ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการสอบสวนเจ้าหน้าที่ทหารเรือหรือ
พนักงานสอบสวนมีอำนาจควบคุมเรือที่ถูกควบคุมผ่านเขตเศรษฐกิจจำเพาะไม่ว่าจะเป็นของ
ประเทศใด หรือทะเลหลวงไปยังที่ใดที่หนึ่งได้ โดยไม่ก่อให้เกิดสิทธิร้องขอให้ปล่อยเรือที่ถูก
ควบคุมนั้น

   มาตรา 18 เมื่อเจ้าหน้าที่ทหารเรือได้ปฏิบัติการเท่าที่จำเป็นตามมาตรา 13 แล้ว ให้
เจ้าหน้าที่ทหารเรือส่งตัวผู้ต้องหาพร้อมด้วยสิ่งของที่ยึดไว้และบันทึกทั้งปวงที่เกี่ยวข้องในคดีที่ทำ
ไว้ให้แก่พนักงานสอบสวนโดยไม่ชักช้า เว้นแต่สิ่งของนั้นจะเป็นเรือหรืออากาศยานหรือสิ่งของอื่น
ที่พนักงานสอบสวนไม่อาจเก็บรักษาไว้ได้ ให้เจ้าหน้าที่ทหารเรือยึดไว้แทนพนักงานสอบสวน
   ให้พนักงานสอบสวนหรือเจ้าหน้าที่ทหารเรือยึดสิ่งของตามวรรคหนึ่งไว้จนกว่าจะมีคำสั่ง
เด็ดขาดไม่ฟ้องคดีหรือจนกว่าคดีจะถึงที่สุด และถ้าสิ่งของตามวรรคหนึ่งเป็นของเสียง่ายหรือถ้า
เก็บรักษาไว้จะเป็นการเสี่ยงความเสียหายหรือจะเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลเกินสมควร ให้
พนักงานสอบสวนหรือเจ้าหน้าที่ทหารเรือแล้วแต่กรณี ทำบัญชีรายละเอียดไว้แล้วจัดการ
ขายทอดตลาด หรือจัดการโดยวิธีอื่นตามที่เห็นสมควรก็ได้ เงินที่ได้เมื่อหักค่าใช้จ่ายในการ
ดำเนินการแล้วให้ยึดไว้แทนสิ่งของ

   มาตรา 19 ถ้าความปรากฏจาการสืบสวนสอบสวนเบื้องต้นว่าผู้ควบคุมเรือหรืออากาศยาน
และบุคคลในเรือหรืออากาศยานมิได้กระทำการที่เป็นการก่อวินาศกรรมสถานที่ผลิตปิโตรเลียมใน
ทะเล หรือมิได้กระทำความผิดตามมาตรา 8 หรือมิได้ฝ่ายฝืนมาตรา 9 หรือมาตรา 10 ให้
เจ้าหน้าที่ทหารเรือปล่อยเรือหรืออากาศยานและผู้ควบคุมเรือหรืออากาศยานตลอดจนบุคคลใน
เรือหรืออากาศยานนั้นโดยไม่ชักช้า
   ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ทหารเรือได้กระทำไปโดยสุจริต ค่าภาระและค่าใช้จ่ายอันเกิดจาก
การเก็บรักษาเรือ อากาศยานหรือสิ่งของอื่นที่ยึดไว้ให้ผู้ควบคุมเรือหรืออากาศยาน หรือเจ้าของ
เรือหรืออากาศยานเป็นผู้รับผิดชอบ

   มาตรา 20 การปฏิบัติหน้าที่ป้องกันและระงับการกระทำที่เป็นการก่อวินาศกรรมตาม
พระราชบัญญัตินี้ ไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่ผู้ใดที่จะเรียกร้องค่าเสียหายหรือค่าทดแทนได้

   มาตรา 21 ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้เจ้าหน้าที่ทหารเรือมีอำนาจและหน้าที่
เช่นเดียวกับพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่และพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญา

   มาตรา 22 ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ทหารเรือส่งตัวผู้ต้องหาให้พนักงานสอบสวนดำเนินการตาม
อำนาจหน้าที่ต่อไป มิให้นับระยะเวลาควบคุมผู้ต้องหาซึ่งได้กระทำมาก่อนนั้นเป็นเวลาควบคุม
ผู้ต้องหาของพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

   มาตรา 23 ความผิดตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้ให้ชำระที่ศาลอาญา แต่ถ้าการสอบสวน
ได้กระทำในท้องที่ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลใดให้ชำระที่ศาลนั้นได้ด้วย

   มาตรา 24 ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง หรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ได้รับอนุญาต
ตามมาตรา 9 วรรคสอง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือ
ทั้งจำทั้งปรับ

   มาตรา 25 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 10 วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับ
ไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
   ถ้าการกระทำความผิดนั้นเป็นเหตุให้ท่อหรืออุปกรณ์ของท่อถูกทำลายเสียหายเสื่อมค่าหรือ
ไร้ประโยชน์ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท หรือทั้งจำ
ทั้งปรับ

   มาตรา 26 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 10 วรรคสอง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับ
ไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
           ถ้าการกระทำความผิดนั้นเป็นเหตุให้ท่อหรืออุปกรณ์ของท่อถูกทำลายเสียหาย
เสื่อมค่าหรือไร้ประโยชน์ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ

   มาตรา 27 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ ในส่วนที่เกี่ยวกับอำนาจ
หน้าที่ของแต่ละกระทรวง
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก ป. ติณสูลานนท์
นายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากในปัจจุบันนี้มี
การผลิตปิโตรเลียมในทะเล ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะและไหล่ทวีปของราชอาณาจักรไทย
สมควรให้เจ้าหน้าที่ทหารเรือไทยมีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการป้องกันและระงับการกระทำที่
เป็นการก่อวินาศกรรมสถานที่ผลิตปิโตรเลียมในทะเล ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะและไหล่ทวีป
ดังกล่าว และมีอำนาจสืบสวนสอบสวนเบื้องต้นเพื่อส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนตาม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาดำเนินการต่อไป จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
(ร.จ. เล่ม 104 ตอนที่ 224 หน้า 1  6 พฤศจิกายน 2530)