พระราชบัญญัติ
                  โอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ วัดสีกุก
          ตำบลน้ำเต้า อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
                      ให้แก่กรมชลประทาน
                         พ.ศ. 2530
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
              ให้ไว้ ณ วันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2530
                   เป็นปีที่ 42 ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้
ประกาศว่า
   โดยที่เป็นการสมควรโอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ วัดสีกุก ตำบลน้ำเต้า อำเภอบางบาล จังหวัด
พระนครศรีอยุธยา ให้แก่กรมชลประทาน
   จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของ
รัฐสภา ดังต่อไปนี้

   มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ วัดสีกุก ตำบล
น้ำเต้า อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้แก่กรมชลประทาน พ.ศ. 2530"

   มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป

   มาตรา 3 ให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ วัดสีกุก ตำบลน้ำเต้า อำเภอบางบาล จังหวัด
พระนครศรีอยุธยา จำนวน 2 แปลง แปลงที่ 1 เนื้อที่ 1 ไร่ 50 ตารางวา แปลงที่ 2 เนื้อที่
2 ไร่ 3 งาน 68 ตารางวารวมเนื้อที่ 4 ไร่ 18 ตารางวา ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้าย
พระราชบัญญัตินี้ ให้แก่กรมชลประทาน

   มาตรา 4 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก ป. ติณสูลานนท์
นายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากกรมชลประทานได้
ทำการขุดคลองส่งน้ำสาย ส. 4 เพื่อประโยชน์แก่การชลประทานตามโครงการบางบาล ที่ตำบล
น้ำเต้า อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และได้ทำการสำรวจแล้วปรากฏว่า แนวเขต
คลองส่งน้ำสายนี้ ตอน กม. ที่ 2.000 ถึง กม. ที่ 2.050 ถูกที่ธรณีสงฆ์ วัดสีกุก ตำบลน้ำเต้า
อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 2 แปลง แปลงที่หนึ่ง เนื้อที่ 1 ไร่ 50
ตารางวา ตามโฉนดที่ 2795 และแปลงที่สอง เนื้อที่ 2 ไร่ 3 งาน 68 ตารางวา ตามโฉนดที่
2391 รวม 2 แปลง เป็นเนื้อที่ 4 ไร่ 18 ตารางวา ซึ่งคณะกรรมการจัดซื้อและกำหนด
ค่าทดแทนทรัพย์สินเพื่อการชลประทานจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้กำหนดค่าผาติกรรมเป็น
ค่าทดแทนแล้ว กรมชลประทานจึงได้ติดต่อกับกรมการศาสนาเพื่อขอโอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์
ดังกล่าวให้แก่กรมชลประทาน และกรมการศาสนาได้นำเสนอมหาเถรสมาคมพิจารณาแล้ว
ไม่ขัดข้องสมควรโอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ดังกล่าวให้แก่กรมชลประทาน จึงจำเป็นต้องตรา
พระราชบัญญัตินี้
(แผนที่ท้ายพระราชบัญญัตินี้ดูได้จาก ร.จ. เล่ม 104 ตอนที่ 153 หน้า 31
10 สิงหาคม 2530)