พระราชบัญญัติ
                        โอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์
         ในท้องที่ตำบลลำตาเสา อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
             ของวัดบ้านสร้าง ตำบลบ้านสร้าง อำเภอบางปะอิน
               จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้แก่กรมชลประทาน
                            พ.ศ. 2529
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
                ให้ไว้ ณ วันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2529
                     เป็นปีที่ 41 ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ
ให้ประกาศว่า
      โดยที่เป็นการสมควรโอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ ในท้องที่ตำบลลำตาเสา อำเภอวังน้อย
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ของวัดบ้านสร้าง ตำบลบ้านสร้าง อำเภอบางปะอิน จังหวัด
พระนครศรีอยุธยา ให้แก่ กรมชลประทาน
      จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ โดยคำแนะนำและยินยอม
ของรัฐสภา ดังต่อไปนี้

      มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ ในท้องที่ตำบล
ลำตาเสา อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ของวัดบ้านสร้าง ตำบลบ้านสร้าง
อำเภอบางปะอิน  จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้แก่กรมชลประทาน พ.ศ. 2529"

      มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

      มาตรา 3 ให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ ในท้องที่ตำบลลำตาเสา อำเภอวังน้อย
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื้อที่ 7 ไร่ 40 ตารางวา ของวัดบ้านสร้าง ตำบลบ้านสร้าง
อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชบัญญัตินี้ ให้แก่
กรมชลประทาน

      มาตรา 4 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
  พลเอก ป. ติณสูลานนท์
     นายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากกรมชลประทานได้ขุด
คลองส่งน้ำสาย 5 ขวา เพื่อประโยชน์แก่การชลประทานตามโครงการนครหลวง ที่ตำบลลำตาเสา
อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และได้ทำการสำรวจแล้วปรากฏว่า แนวเขตคลองส่งน้ำ
สายนี้ตอน กม. ที่ 2.600 ถูกที่ธรณีสงฆ์ที่ตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลลำตาเสา อำเภอวังน้อย จังหวัด
พระนครศรีอยุธยา ของวัดบ้านสร้าง ตำบลบ้านสร้าง อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
เนื้อที่ 7 ไร่ 40 ตารางวา ตามโฉนดที่ดิน เลขที่ 7246 ซึ่งคณะกรรมการจัดซื้อและกำหนดค่า
ทดแทนทรัพย์สินเพื่อการชลประทานจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้ชำระค่าผาติกรรมเป็นค่าทดแทนแล้ว
กรมชลประทานจึงได้ติดต่อกับกรมการศาสนาเพื่อขอโอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ดังกล่าวให้แก่กรมชลประทาน
และกรมการศาสนาได้นำเสนอมหาเถรสมาคมพิจารณาแล้วไม่ขัดข้องสมควรโอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์
ดังกล่าวให้แก่กรมชลประทาน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
(แผนที่ท้ายพระราชบัญญัตินี้ดูได้จาก ร.จ. เล่ม 103 ตอนที่ 231 หน้า 7  29 ธันวาคม 2529)