พระราชบัญญัติ ลูกเสือ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2528 |
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2528 เป็นปีที่ 40 ในรัชกาลปัจจุบัน |
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยลูกเสือ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติลูกเสือ(ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2528"
มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติลูกเสือ พ.ศ. 2507 และให้ใช้ ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 7 คณะลูกเสือแห่งชาติมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาลูกเสือทั้งทางกาย สติปัญญา จิตใจ และศีลธรรม ให้เป็นพลเมืองดี มีความรับผิดชอบช่วยสร้างสรรค์สังคมให้มีความเจริญก้าวหน้า เพื่อความสงบสุขและความมั่นคงของประเทศชาติตามแนวทางดังต่อไปนี้ (1) ให้มีนิสัยในการสังเกต จดจำ เชื่อฟัง และพึ่งตนเอง (2) ให้ซื่อสัตย์สุจริต มีระเบียบวินัย และเห็นอกเห็นใจผู้อื่น (3) ให้รู้จักบำเพ็ญตนเพื่อสาธารณประโยชน์ (4) ให้รู้จักทำการฝีมือ และฝึกฝนให้ทำกิจการต่าง ๆ ตามความเหมาะสม (5) ให้รู้จักรักษาและส่งเสริมจารีตประเพณี วัฒนะธรรม และความมั่นคงของประเทศชาติ ทั้งนี้ โดยไม่เกี่ยวข้องกับลัทธิการเมืองใด ๆ "
มาตรา 4 ให้ยกเลิกความในมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติลูกเสือ พ.ศ. 2507 และให้ ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 11 ให้มีสภาลูกเสือแห่งชาติ ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีเป็นสภานายก รอง นายกรัฐมนตรีเป็นอุปนายก รัฐมนตรีว่าการกระรวงศึกษาธิการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวง มหาดไทย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้ บัญชาการทหารอากาศ อธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีฐานะเป็นกรมในกระทรวงศึกษาธิการ อธิบดีกรมการปกครอง อธิบดีกรมตำรวจ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมและประสานงาน เยาวชนแห่งชาติ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้ว่าราชการจังหวัดและศึกษาธิการเขต เป็น กรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีกไม่น้อยกว่าสี่สิบคนแต่ไม่เกินแปดสิบคนซึ่งทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ให้อธิบดีกรมพลศึกษาเป็นกรรมการและเลขาธิการ รองอธิบดีกรมพลศึกษาเป็นกรรมการและ รองเลขาธิการ และผู้อำนวยการกองกองลูกเสือเป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขาธิการ สภาลูกเสือแห่งชาติอาจมีสภานายกกิตติมศักดิ์ อุปนายกกิตติมศักดิ์ และกรรมการกิตติมศักดิ์ซึ่ง จะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง"
มาตรา 5 ให้ยกเลิกความในมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติลูกเสือ พ.ศ. 2507 และให้ ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 17 ให้มีคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็น รองประธาน และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีกไม่เกินยี่สิบคน ซึ่งสภานายกสภาลูกเสือแห่งชาติแต่งตั้ง ให้อธิบดีกรมพลศึกษาเป็นกรรมการและเลขาธิการ รองอธิบดีกรมพลศึกษาเป็นกรรมการและ รองเลขาธิการ และผู้อำนวยการกองกองลูกเสือเป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขาธิการ"
มาตรา 6 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (12) ของมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติลูกเสือ พ.ศ. 2507 "(12) กำกับดูแลกิจการลูกเสือชาวบ้าน"
มาตรา 7 ให้ยกเลิกความในมาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติลูกเสือ พ.ศ. 2507 และให้ ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 23 ให้มีคณะกรรมการลูกเสือจังหวัด ประกอบด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็น ประธาน รองผู้ว่าราชการจังหวัดและปลัดจังหวัดเป็นรองประธาน ผู้อำนวยการการประถมศึกษา จังหวัดและนายอำเภอเป็นกรรมการ และกรรมการอื่นอีกไม่น้อยกว่าสิบห้าคนแต่ไม่เกิน สามสิบคนซึ่งประธานคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติแต่งตั้ง ให้ศึกษาธิการจังหวัดเป็นกรรมการและเลขาธิการ และผู้ช่วยศึกษาธิการจังหวัดเป็น กรรมการและผู้ช่วยเลขาธิการ ประธานคณะกรรมการลูกเสือจังหวัดจะแต่งตั้งบุคคลผู้สนับสนุนกิจการลูกเสือเป็นกรรมการ ลูกเสือพิเศษประจำจังหวัดก็ได้ กรรมการลูกเสือพิเศษประจำจังหวัดมีสิทธิเข้าชี้แจงแสดง ความเห็นในการประชุมคณะกรรมการลูกเสือจังหวัด แต่ไม่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนน"
มาตรา 8 ให้ยกเลิกความในมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติลูกเสือ พ.ศ. 2507 และให้ ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 26 ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้อำนวยการลูกเสือจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดจังหวัด และศึกษาธิการจังหวัดเป็นรองผู้อำนวยการลูกเสือจังหวัด และผู้ช่วยศึกษาธิการ จังหวัดเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการลูกเสือจังหวัด มีหน้าที่บริหารการลูกเสือในจังหวัด สำหรับกรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และท้องถิ่นที่มีรูปการปกครองเช่นเดียวกับ กรุงเทพมหานครหรือเมืองพัทยา ให้จัดระเบียบการปกครองลูกเสือเป็นพิเศษตามข้อบังคับ คณะลูกเสือแห่งชาติ"
มาตรา 9 ให้ยกเลิกความในมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติลูกเสือ พ.ศ. 2507 และให้ ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 29 ให้มีคณะกรรมการลูกเสืออำเภอ ประกอบด้วยนายอำเภอเป็นประธาน ปลัดอำเภอผู้รับผิดชอบงานปกครองเป็นรองประธาน หัวหน้าการประถมศึกษาอำเภอเป็นกรรมการ และ กรรมการอื่นอีกไม่น้อยกว่าสิบคนแต่ไม่เกินยี่สิบคน ซึ่งประธานคณะกรรมการบริหารลูกเสือ แห่งชาติแต่งตั้ง ให้ศึกษาธิการอำเภอเป็นกรรมการและเลขานุการและผู้ช่วยศึกษาธิการอำเภอเป็นกรรมการ และผู้ช่วยเลขานุการ ประธานคณะกรรมการลูกเสือจังหวัดจะแต่งตั้งบุคคลสนับสนุนกิจการลูกเสือเป็นกรรมการ ลูกเสือพิเศษประจำอำเภอก็ได้ กรรมการลูกเสือพิเศษประจำอำเภอมีสิทธิเข้าชี้แจงแสดงความเห็น ในการประชุมคณะกรรมการลูกเสืออำเภอ แต่ไม่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนน"
มาตรา 10 ให้ยกเลิกความในมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติลูกเสือ พ.ศ. 2507 และให้ ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา32ให้นายอำเภอเป็นผู้อำนวยการลูกเสืออำเภอปลัดอำเภอผู้รับผิดชอบงานปกครอง และศึกษาธิการอำเภอเป็นรองผู้อำนวยการลูกเสืออำเภอ และผู้ช่วยศึกษาธิการอำเภอเป็นผู้ช่วย ผู้อำนวยการลูกเสืออำเภอ มีหน้าที่บริหารลูกเสือในอำเภอ"
มาตรา 11 ให้ยกเลิกความในมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติลูกเสือ พ.ศ. 2507 และให้ ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 35 ลูกเสือมี 4 ประเภท คือ (1) ลูกเสือสำรอง (2) ลูกเสือสามัญ (3) ลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ (4) ลูกเสือวิสามัญ ลูกเสือที่เป็นหญิงอาจใช้ชื่อเรียกว่าเนตรนารี หรือชื่ออื่นซึ่งได้รับความเห็นชอบจาก ณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ และบรรดาคำว่าลูกเสือในพระราชบัญญัตินี้ให้หมายความถึง ลูกเสือที่เป็นหญิงด้วย"
มาตรา 12 ให้ยกเลิกความในมาตรา 37 แห่งพระราชบัญญัติลูกเสือ พ.ศ. 2507 และให้ ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 37 ตำแหน่งผู้บังคับบัญชาลูกเสือมีลำดับดังต่อไปนี้ (1) ผู้อำนวยการใหญ่ (2) รองผู้อำนวยการใหญ่ (3) ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ (4) ผู้อำนวยการลูกเสือจังหวัด (5) รองผู้อำนวยการลูกเสือจังหวัด (6) ผู้ช่วยผู้อำนวยการลูกเสือจังหวัด (7) ผู้อำนวยการลูกเสืออำเภอ (8) รองผู้อำนวยการลูกเสืออำเภอ (9) ผู้ช่วยผู้อำนวยการลูกเสืออำเภอ (10) ผู้อำนวยการลูกเสือโรงเรียน (11) รองผู้อำนวยการลูกเสือโรงเรียน (12) ผู้กำกับกลุ่มลูกเสือ (13) รองผู้กำกับกลุ่มลูกเสือ (14) ผู้กำกับกองลูกเสือ (15) รองผู้กำกับกองลูกเสือ (16) นายหมู่ลูกเสือ (17) รองนายหมู่ลูกเสือ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้อำนวยการใหญ่ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการและ อธิบดีกรมพลศึกษาเป็นรองผู้อำนวยการใหญ่รองอธิบดีกรมพลศึกษาและผู้อำนวยการกองลูกเสือ เป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ การแต่งตั้งผู้บังคับบัญชาลูกเสือตั้งแต่ลำดับ (10) ลงไปถึงลำดับ (17) ให้เป็นไปตามข้อบังคับ คณะลูกเสือแห่งชาติ"
มาตรา 13 ให้ยกเลิกความในมาตรา 48 และมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติลูกเสือ พ.ศ. 2507 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา48 ให้มีเหรียญลูกเสือสดุดีเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไว้สำหรับพระราชทานแก่ ผู้บังคับบัญชาลูกเสือผู้ตรวจการลูกเสือกรรมการลูกเสือเจ้าหน้าที่ลูกเสือและบุคคลอื่นบรรดาที่มีอุปการคุณ ต่อการลูกเสือถึงขนาดหรือที่ได้อุทิศกำลังกายหรือกำลังความคิดในการประกอบกิจให้บังเกิด คุณประโยชน์แก่การลูกเสือตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 49 ทวิ มาตรา 49 เหรียญลูกเสือสดุดีเป็นเหรียญเงิน มีลักษณะกลมรีขนาดกว้าง 2.5 เซนติเมตร ยาว 3.2 เซนติเมตร ด้านหน้าตรงกลางมีตราหน้าเสือประกอบวชิระ ริมขอบส่วนบนมีอักษรว่า "ลูกเสือ" และส่วนล่างมีอักษรว่า "เสียชีพอย่าเสียสัตย์" ตราหน้าเสือประกอบวชิระและตัว อักษรให้ทำเป็นลายดุน ด้านหลังพื้นเกลี้ยงจารึกนามของผู้ซึ่งได้รับพระราชทานและวันที่ พระราชทาน ที่ขอบส่วนบนของเหรียญมีห่วงห้อยแพรแถบ ขนาดกว้าง 2.4 เซนติเมตร มีริ้วสี เหลืองกว้าง 1.2 เซนติเมตร อยู่กลาง ริมทั้งสองข้างมีริ้วสีดำกว้าง 6 มิลลิเมตร ประดับ ที่อกเสื้อเหนือปกกระเป๋าเบื้องซ้าย เหรียญลูกเสือสดุดีมี 3 ชั้น ดังนี้ ชั้นที่ 1 มีเข็มวชิระ ทำด้วยโลหะเงิน ประดับที่แพรแถบตรงกี่งกลางในแนวทางดิ่ง 1 เข็ม ชั้นที่ 2 มีเข็มหน้าเสือ ทำด้วยโลหะเงิน ประดับที่แพรแถบตรงกึ่งกลางในแนวทางดิ่ง 1 เข็ม ชั้นที่ 3 ไม่มีเข็มวชิระและเข็มหน้าเสือประดับที่แพรแถบ"
มาตรา 14 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 49 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติลูกเสือ พ.ศ. 2507 "มาตรา 49 ทวิ เหรียญลูกเสือสดุดีชั้นที่ 1 จะพระราชทานแก่ผู้ที่มีอุปการคุณต่อการ ลูกเสือถึงขนาด หรือที่ได้อุทิศกำลังกาย หรือกำลังความคิดในการประกอบกิจการให้บังเกิด คุณประโยชน์แก่การลูกเสืออย่างยิ่งตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติกำหนด เหรียญลูกเสือสดุดีชั้นที่ 2 จะพระราชทานแก่ผู้ที่มีอุปการคุณต่อการลูกเสือ ดังต่อไปนี้ (1) บริจาคเงินหรือทรัพย์สิ่งของต่าง ๆ ครั้งเดียวหรือหลายครั้งรวมกันเป็นจำนวนเงินไม่ น้อยกว่าที่คณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติกำหนด (2) ช่วยเหลือเป็นอย่างดีในการฝึกอบรมผู้บังคับบัญชาลูกเสือระดังที่ 1 วิชาผู้กำกับ ลูกเสือขั้นความรู้เบื้องต้นหรือขั้นความรู้ชั้นสูงโดยอยู่ประจำตลอดการฝึกอบรมไม่น้อยกว่า 50 ครั้ง หรือระดังที่ 2 การให้การฝึกอบรมแก่ผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมวิชาผู้กำกับลูกเสือแล้ว โดยอยู่ประจำ ตลอดการฝึกอบรมไม่น้อยกว่า 20 ครั้ง (3) ช่วยเหลือกิจการลูกเสือด้านอื่น ๆ จนเกิดผลดีแก่การลูกเสือติดต่อกันมาไม่น้อยกว่า 5 ปี และปีหนึ่ง ๆ ไม่น้อยกว่า 10 ครั้ง หรือ (4) ช่วยเหลือและส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างคณะลูกเสือไทยกับคณะลูกเสือต่างประเทศ เป็นอย่างดียิ่ง เหรียญลูกเสือสดุดีชั้นที่ 3 จะพระราชทานแก่ผู้ที่มีอุปการคุณต่อการลูกเสือ ดังต่อไปนี้ (1) บริจาคเงินหรือทรัพย์สิ่งของต่าง ๆ ครั้งเดียวหรือหลายครั้งรวมกันเป็นจำนวนเงินไม่ น้อยกว่าที่คณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติกำหนด (2) ช่วยเหลือเป็นอย่างดีในการฝึกอบรมผู้บังคับบัญชาลูกเสือระดับที่ 1 วิชาผู้กำกับ ลูกเสือขั้นความรู้เบื้องต้นหรือขั้นความรู้ชั้นสูง โดยอยู่ประจำตลอดการฝึกอบรมไม่น้อยกว่า 25 ครั้ง หรือระดับที่ 2 การให้การฝึกอบรมแก่ผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมวิชาผู้กำกับลูกเสือแล้ว โดยอยู่ประจำ ตลอดการฝึกอบรมไม่น้อยกว่า 10 ครั้ง (3) ช่วยเหลือเป็นอย่างดีในการฝึกอบรมวิชานายหมู่ลูกเสือหรือวิชาลูกเสือประเภทต่าง ๆ โดยอยู่ประจำตลอดการฝึกอบรมครั้งละ 3 วัน ไม่น้อยกว่า 50 ครั้ง (4) ช่วยเหลือกิจการลูกเสือด้านอื่น ๆ จนเกิดผลดีแก่การลูกเสือติดต่อกันมาไม่น้อยกว่า 3 ปี และปีหนึ่ง ๆ ไม่น้อยกว่า 5 ครั้ง หรือ (5) ช่วยเหลือและส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างคณะลูกเสือไทยกับคณะลูกเสือต่างประเทศ เป็นอย่างดี"
มาตรา 15 ผู้ซึ่งได้รับพระราชทานเหรียญลูกเสือสดุดีอยู่แล้วในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา ให้ถือว่าเป็นผู้ซึ่งได้รับพระราชทานเหรียญลูกเสือสดุดีชั้นที่ 1 ตาม พระราชบัญญัติลูกเสือ พ.ศ. 2507 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
มาตรา 16 ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของสภาลูกเสือแห่งชาติกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของคณะ กรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ กรรมการอื่นของคณะกรรมการลูกเสือจังหวัด และกรรมการอื่น ของกรรมการลูกเสืออำเภอ ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา คงดำรงตำแหน่งอยู่ต่อไปจนกว่าจะได้มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของสภาลูกเสือ แห่งชาติ กรรมการอื่นของคณะกรรมการลูกเสือจังหวัด และกรรมการอื่นของคณะกรรมการ ลูกเสืออำเภอ แล้วแต่กรณี ตามพระราชบัญญัติลูกเสือ พ.ศ. 2507 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัตินี้ แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา 17 ผู้ใดเป็นผู้อำนวยการลูกเสือโรงเรียน รองผู้อำนวยการลูกเสือโรงเรียน ผู้กำกับ กลุ่มลูกเสือ รองผู้กำกับกลุ่มลูกเสือ ผู้กำกับกองลูกเสือ รองผู้กำกับกองลูกเสือ นายหมู่ ลูกเสือ และรองนายหมู่ลูกเสือ อยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้ผู้นั้นเป็น ผู้อำนวยการลูกเสือโรงเรียน รองผู้อำนวยการลูกเสือโรงเรียน ผู้กำกับกลุ่มลูกเสือ รองผู้กำ กับกลุ่มลูกเสือ ผู้กำกับกองลูกเสือ รองผู้กำกองลูกเสือ นายหมู่ลูกเสือ และรองนายหมู่ลูกเสือ แล้วแต่กรณีตามพระราชบัญญัติลูกเสือ พ.ศ. 2507 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ต่อไป
มาตรา18 ในระหว่างที่ยังไม่ได้ออกข้อบังคับคณะลูกเสือแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติลูกเสือ พ.ศ.2507 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ให้นำข้อบังคับคณะลูกเสือแห่งชาติที่ใช้บังคับ ได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้
มาตรา 19 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก ประจวบ สุนทรางกูร รองนายกรัฐมนตรี |
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือโดยที่วัตถุประสงค์ของคณะลูกเสือ แห่งชาติยังไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการลูกเสือทั่วโลกและยังมิได้ระบุให้ชัดเจนถึงการพัฒนา ลูกเสือเพื่อให้เป็นพลเมืองดี มีความรับผิดชอบในการสร้างสรรค์สังคมให้มีความเจริญก้าวหน้า เพื่อ ความสงบสุขและความมั่นคงของประเทศชาติอีกทั้งกิจการเนตรนารีก็มีความเจริญก้าวหน้า สมควรบัญญัติ ให้เป็นส่วนหนึ่งของคณะลูกเสือแห่งชาติ นอกจากนี้กิจการลูกเสือเป็นงานที่อาศัยความร่วมมือและสนับสนุน จากส่วนราชการและบุคคลซึ่งเกี่ยวข้องจำนวนมากสมควรเพิ่มจำนวนกรรมการในสภาลูกเสือแห่งชาติ คณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติคณะกรรมการลูกเสือจังหวัดและคณะกรรมการลูกเสืออำเภอและจัด ลำดับตำแหน่งผู้บังคับบัญชาลูกเสือเสียใหม่ กับเพิ่มอำนาจหน้าที่คณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติให้ มีอำนาจกำกับดูแลกิจการลูกเสือชาวบ้านด้วย และเพิ่มชั้นเหรียญลูกเสือสดุดีเพื่อส่งเสริมกำลังใจให้แก่ผู้ที่ ได้อุทิศกำลังกายหรือกำลังความคิดในการประกอบกิจให้บังเกิดคุณประโยชน์แก่กิจการลูกเสือทั้งนี้เพื่อเป็น การทะนุบำรุงส่งเสริมให้กิจการลูกเสือมีความเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ (ร.จ. เล่ม 102 ตอนที่ 154 หน้า 19 24 ตุลาคม 2528) |