พระราชบัญญัติ
                แก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ 10)
                              พ.ศ. 2527
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
                    ให้ไว้ ณ วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2527
                        เป็นปีที่ 39 ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ
ให้ประกาศว่า
      โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
      จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอม
ของรัฐสภา ดังต่อไปนี้

      มาตรา1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
(ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2527"

      มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป

      มาตรา 3 ให้แก่คำว่า "นาย" ในกฎหมายว่าด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมเป็น
"คน" ทุกแห่ง

      มาตรา 4 ให้ยกเลิกความในมาตรา 8 แห่งพระธรรมนูญศาลยุติธรรมซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม
โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2520 และให้ใช้
ความต่อไปนี้แทน
      "มาตรา 8 ให้มีประธานศาลฎีกาประจำศาลฎีกาหนึ่งคน และให้อธิบดีผู้พิพากษาประจำ
ศาลอุทธรณ์ ศาลแพ่งศาลอาญา ศาลแพ่งธนบุรีและศาลอาญาธนบุรี ศาลละหนึ่งคนกับให้มี
รองประธานศาลฎีกาประจำศาลฎีกา และรองอธิบดีผู้พิพากษาประจำศาลอุทธรณ์ ศาลแพ่ง
ศาลอาญา ศาลแพ่งธนบุรีและศาลอาญาธนบุรี ศาลละสองคน แต่ถ้ารัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงยุติธรรมเห็นว่ามีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในทางราชการ จะกำหนดให้มี
รองประธานศาลฎีกาหรือมีรองอธิบดีผู้พิพากษาประจำศาลใดมากกว่าสองคนก็ได้
      เมื่อตำแหน่งประธานศาลฎีกา อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่ง
อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งธนบุรีหรืออธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาธนบุรี
ว่างลง หรือเมื่อผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้รองประธานศาลฎีกา
หรือรองอธิบดีผู้พิพากษาแล้วแต่กรณี เป็นผู้ทำการแทน ถ้ามีผู้ดำรงตำแหน่งนั้นมากกว่าหนึ่งคน
ให้ผู้มีอาวุโสสูงสุดเป็นผู้ทำการแทน ถ้าผู้มีอาวุโสสูงสุดไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้ผู้มีอาวุโส
ถัดลงมาตามลำดับ เป็นผู้ทำการแทน
      ในกรณีที่ไม่อาจมีผู้ทำการแทนตามวรรคสองได้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมจะสั่งให้
ผู้พิพากษาคนหนึ่งซึ่งประจำศาลนั้นหรือศาลใดศาลหนึ่งเป็นผู้ทำการแทนก็ได้"

      มาตรา 5 ให้ยกเลิกความในมาตรา 9 แห่งพระธรรมนูญศาลยุติธรรมซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม
โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2520 และให้ใช้
ความต่อไปนี้แทน
      "มาตรา 9 ในศาลชั้นต้นตามมาตรา 3 นอกจากศาลแพ่ง ศาลอาญา ศาลแพ่งธนบุรีและ
ศาลอาญาธนบุรี ให้มีผู้พิพากษาหัวหน้าศาลศาลละหนึ่งคน
      ถ้าศาลฎีกา ศาลอุทธรณ์ หรือศาลชั้นต้น ศาลใดศาลหนึ่งแบ่งออกเป็นแผนก ให้มี
ผู้พิพากษาหัวหน้าแผนก แผนกละหนึ่งคน
      เมื่อตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหรือผู้พิพากษาหัวหน้าแผนกว่างลง หรือเมื่อผู้ดำรง
ตำแหน่งดังกล่าวไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้ผู้พิพากษาผู้มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้นหรือในแผนกนั้น
แล้วแต่กรณี เป็นผู้ทำการแทน ถ้าผู้พิพากษาผู้มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้นหรือในแผนกนั้นไม่อาจปฏิบัติ
ราชการได้ให้ผู้พิพากษาผู้มีอาวุโสถัดลงมาตามลำดับในศาลนั้นหรือในแผนกนั้นแล้วแต่กรณี เป็น
ผู้ทำการแทน ในกรณีที่ไม่อาจมีผู้ทำการแทนดังกล่าวได้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมจะสั่งให้
ผู้พิพากษาคนหนึ่งเป็นผู้ทำการแทนก็ได้"

      มาตรา 6 ให้ยกเลิกความในมาตรา 13 แห่งพระธรรมนูญศาลยุติธรรมซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม
โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2497 และให้ใช้
ความต่อไปนี้แทน
      "มาตรา 13 ให้มีอธิบดีผู้พิพากษาภาค ส่วนจำนวนและสำนักงานจะอยู่ ณ ที่ใดและมี
เขตอำนาจเพียงไร ให้เป็นไปตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาตั้งอธิบดีผู้พิพากษาภาคกับให้มี
รองอธิบดีผู้พิพากษาภาค ภาคละหนึ่งคน แต่ถ้ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเห็นว่ามีความ
จำเป็นเพื่อประโยชน์ในทางราชการ จะกำหนดให้ภาคใดมีรองอธิบดีผู้พิพากษาภาคมากกว่า
หนึ่งคนก็ได้
      เมื่อตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาภาคว่างลง หรือเมื่ออธิบดีผู้พิพากษาภาคไม่อาจปฏิบัติ
ราชการได้ ให้รองอธิบดีผู้พิพากษาภาคเป็นผู้ทำการแทน ถ้ามีรองอธิบดีผู้พิพากษาภาคมากกว่า
หนึ่งคน ให้รองอธิบดีผู้พิพากษาภาคผู้มีอาวุโสสูงสุดเป็นผู้ทำการแทน ถ้ารองอธิบดีผู้พิพากษาภาค
ผู้มีอาวุโสสูงสุดไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้รองอธิบดีผู้พิพากษาภาคผู้มีอาวุโสถัดลงมาตามลำดับ
เป็นผู้ทำการแทน ในกรณีที่ไม่อาจมีผู้ทำการแทนดังกล่าวได้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
จะสั่งให้ผู้พิพากษาคนหนึ่งเป็นผู้ทำการแทนก็ได้
      ให้อธิบดีผู้พิพากษาภาคมีอำนาจและหน้าที่อย่างเดียวกับอธิบดีผู้พิพากษา ตามที่กำหนดไว้
ในมาตรา 10 และให้มีอำนาจ
      (1) สั่งให้ผู้พิพากษาหรือจ่าศาลรายงานเกี่ยวด้วยคดี หรือรายงานกิจการอื่นของศาล
ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของตน
      (2) นั่งพิจารณาและพิพากษาคดีในศาลทุกศาลซึ่งอยู่ภายในเขตอำนาจของตน หรือเมื่อ
ได้ตรวจสำนวนคดีใดแล้ว มีอำนาจลงลายมือชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งได้
      (3) ในกรณีจำเป็นจะสั่งให้ผู้พิพากษาคนใดคนหนึ่งในศาลซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของตน
ไปช่วยทำหน้าที่ชั่วคราวในอีกศาลหนึ่งก็ได้ แล้วรายงานไปยังกระทรวงยุติธรรมทันที
      ให้รองอธิบดีผู้พิพากษาภาคมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ใน (2) และให้มีหน้าที่เป็นผู้ช่วย
อธิบดีผู้พิพากษาภาคตามที่อธิบดีผู้พิพากษาภาคจะได้มอบหมาย"
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
   พลเอก ประจวบ สุนทรางกูร
     รองนายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากด้วยปริมาณงาน
ตุลาการและงานธุระการของสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาคได้เพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ แต่
ผู้รับผิดชอบควบคุมดูแลงานของสำนักงานมีอธิบดีผู้พิพากษาภาคเพียงคนเดียวไม่มีผู้ช่วยปฏิบัติราชการ
ทำให้ราชการของสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาคดำเนินไปไม่สะดวกรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
เท่าที่ควร สมควรกำหนดให้มีตำแหน่งรองอธิบดีผู้พิพากษาภาคเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่ อันจะเป็น
ผลให้ราชการของสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาคได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยความรวดเร็วและมี
ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และในโอกาสนี้สมควรแก้ไขคำว่า "นาย" ตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วย
พระธรรมนูญศาลยุติธรรมเป็น "คน" ทุกแห่งเพื่อให้สอดคล้องกับการที่ให้สตรีดำรงตำแหน่ง
ข้าราชการตุลาการได้ รวมทั้งสมควรแก้ไขถ้อยคำในมาตรา 8 และมาตรา 9 เพื่อให้สอดคล้อง
กับการแก้ไขในมาตรา 13 ด้วย จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
(ร.จ. เล่ม 101 ตอนที่ 169 หน้า 4  19 พฤศจิกายน 2527)