พระราชบัญญัติ
                 กำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จวิชาการพระพุทธศาสนา
                              พ.ศ. 2527
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
                    ให้ไว้ ณ วันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2527
                        เป็นปีที่ 39 ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระราชโองการโปรดเกล้า ฯ
ให้ประกาศว่า
      โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการกำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จวิชาการ
พระพุทธศาสนา
      จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอม
ของรัฐสภา ดังต่อไปนี้

      มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติกำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จวิชาการ
พระพุทธศาสนา พ.ศ. 2527"

      มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป

      มาตรา 3 วิชาการพระพุทธศาสนา หมายความว่า วิชาการซึ่งจัดให้พระภิกษุสามเณร
ศึกษาตามหลักสูตรใดหลักสูตรหนึ่ง ดังต่อไปนี้
         (1) หลักสูตรพระปริยัติธรรมแผนกธรรมและแผนกบาลีสนามหลวง
         (2)หลักสูตรปริญญาศาสนาบัณฑิตของสภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัย ใน
พระบรมราชูปถัมภ์
         (3) หลักสูตรปริญญาพุทธศาสนาบัณฑิตของมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ใน
พระบรมราชูปถัมภ์

      มาตรา 4 ให้ผู้สำเร็จวิชาการพระพุทธศาสนา
         (1) ตามหลักสูตรพระปริยัติธรรมแผนกธรรมและแผนกบาลีสนามหลวงเปรียญธรรม
เก้าประโยค มีวิทยฐานะชั้นปริญญาตรีเรียกว่า "เปรียญธรรมเก้าประโยค" ใช้อักษรย่อว่า
"ป.ธ. 9"
         (2) ตามหลักสูตรปริญญาศาสนาศาสตรบัณฑิตจากสภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์ มีวิทยฐานะชั้นปริญญาตรี เรียกว่า "ศาสนาศาสตรบัณฑิต" ใช้อักษรย่อว่า
"ศน.บ."
         (3) ตามหลักสูตรปริญญาพุทธศาสตรบัณฑิตจากมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์ มีวิทยฐานะชั้นปริญญาตรี เรียกว่า "พุทธศาสตรบัณฑิต" ใช้อักษรย่อว่า
"พธ.บ."

      มาตรา 5 นอกจากปริญญาตามมาตรา 4 พระภิกษุสามเณรซึ่งได้ศึกษาวิชาการ
พระพุทธศาสนาอาจได้รับประกาศนียบัตรรับรองความรู้ตามหลักสูตรที่คณะกรรมการการศึกษา
ของคณะสงฆ์ให้ความเห็นชอบ

      มาตรา 6 ให้มีคณะกรรมการการศึกษาของสงฆ์คณะหนึ่งประกอบด้วยสมเด็จพระสังฆราช
ทรงเป็นประธานกรรมการ แม่กองบาลีสนามหลวง แม่กองธรรมสนามหลวงนายกสภาการศึกษา
มหามกุฎราชวิทยาลัย สภานายกมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ประธานกรรมการสภาการศึกษา
มหามกุฎราชวิทยาลัย อธิการบดีมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
ปลัดทบวงมหาวิทยาลัย อธิบดีกรมการฝึกหัดครู อธิบดีกรมการศาสนา อธิบดีกรมการศึกษานอกโรงเรียน
อธิบดีกรมวิชาการ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ เป็นกรรมการ
กับกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีกไม่เกินเจ็ดคน ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งโดยความเห็นชอบ
ของมหาเถรสมาคม
      ให้คณะกรรมการการศึกษาของคณะสงฆ์เลือกกรรมการผู้หนึ่งเป็นรองประธานกรรมการ
      ให้อธิบดีกรมการศาสนาเป็นเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาของคณะสงฆ์ และให้
กรมการศาสนาทำหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาของคณะสงฆ์

      มาตรา 7 กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอยู่ในตำแหน่งคราวละสองปี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ซึ่งพ้นจากตำแหน่งอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้
      ในกรณีที่สมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพิ่มขึ้นในระหว่างที่
กรรมการซึ่งทรงแต่งตั้งไว้แล้วยังมีวาระอยู่ในตำแหน่งให้ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการ
เพิ่มขึ้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งไว้แล้ว

      มาตรา 8 นอกจากพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา 7 กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
พ้นจากตำแหน่ง เมื่อ
         (1) ตาย
         (2) ลาออก หรือ
         (3) สมเด็จพระสังฆราชมีพระบัญชาให้ออก ในกรณีที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
พ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ สมเด็จพระสังฆราชอาจทรงแต่งตั้งผู้อื่นเป็นกรรมการแทนโดย
ความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมได้และให้ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่
เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งตนแทน

      มาตรา 9 การประชุมของคณะกรรมการการศึกษาของคณะสงฆ์ต้องมีกรรมการ
มาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในขณะนั้นจึงจะ
เป็นองค์ประชุม
      ถ้าประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่อยู่ในที่ประชุม ให้รองประธานกรรมการ
เป็นประธานในที่ประชุมถ้าประธานกรรมการและรองประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่
อยู่ในที่ประชุม ให้ที่ประชุมเลือกกรรมการผู้หนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม
      การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมากกรรมการผู้หนึ่งมีเสียงหนึ่งใน
การลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่ง
เป็นเสียงชี้ขาด

      มาตรา 10 คณะกรรมการการศึกษาของสงฆ์มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
         (1) กำหนดนโยบายและแผนการจัดการศึกษาวิชาการพระพุทธศาสนาให้
เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น
         (2) กำหนดมาตรฐานและให้ความเห็นชอบหลักสูตรวิชาการพระพุทธศาสนา
         (3) กำหนดพื้นความรู้ คุณสมบัติ หลักเกณฑ์การเข้าศึกษา ระยะเวลาการศึกษา
การสอบและเงื่อนไขในการรับปริญญาหรือประกาศนียบัตร
         (4) ควบคุมดูแลการจัดการศึกษาวิชาการพระพุทธศาสนาให้มีการศึกษา
พระปริยัติธรรมเป็นหลัก และป้องกันมิให้มีการเปลี่ยนแปลงพระธรรมวินัยให้ผิดไปจากพระบาลี
ในพระไตรปิฎก
         (5) วินิจฉัยสั่งการเพื่อยับยั้งหรือยุติการดำเนินกิจการที่ขัดต่อพระธรรมวินัย
หรือขัดต่อกฎหมายระเบียบข้อบังคับ หรือคำสั่งของสถานศึกษาวิชาการพระพุทธศาสนา
ตามพระราชบัญญัตินี้
         (6) วางระเบียบ และออกข้อบังคับหรือคำสั่งเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้

      มาตรา 11 ผู้ใดไม่มีสิทธิใช้ปริญญาหรือประกาศนียบัตร หรืออักษรย่อปริญญาตาม
พระราชบัญญัตินี้ กระทำการเพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนมีสิทธิดังกล่าว ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน
หกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

      มาตรา 12 ให้ผู้สำเร็จวิชาการพระพุทธศาสนาตามหลักสูตรพระปริยัติธรรมแผนกธรรม
และแผนกบาลีสนามหลวงเปรียญธรรมเก้าประโยค  ปริญญาศาสนศาสตรบัณฑิตจากสภาการศึกษา
มหามกุฎราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ หรือปริญญาพุทธศาสตรบัณฑิตจาก
มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ มีวิทยาฐานะ
ชั้นปริญญาตรีตามมาตรา 4

      มาตรา 13 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
   พลเอก ประจวบ สุนทรางกูร
     รองนายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับที่ คือ โดยที่พระภิกษุสามเณรซึ่ง
ได้ศึกษาและสอบไล่ได้เปรียญเก้าประโยคตามหลักสูตรพระปริยัติธรรมแผนกธรรมและ
แผนกบาลีสนามหลวงของคณะสงฆ์ ปริญญาศาสนาศาสตรบัณฑิตตามหลักสูตรปริญญาศาสนศาสตรบัณฑิต
ของสภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ หรือปริญญาพุทธศาสตรบัณฑิตตาม
หลักสูตรปริญญาพุทธศาสตรบัณฑิตของมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์มีความรู้
ความสามารถและประสบการณ์เทียบขั้นบัณฑิตด้านสังคมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฝ่ายอาณาจักร
สมควรกำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จการศึกษาจากหลักสูตรทั้งสามนี้ให้สูงเท่ากับปริญญาตรี
ของมหาวิทยาลัยฝ่ายอาณาจักร จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
(ร.จ. เล่ม 101 ตอนที่ 140 หน้า 4  8 ตุลาคม 2527)