พระราชบัญญัติ
                        ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 2)
                                   พ.ศ. 2527
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
                         ให้ไว้ ณ วันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2527
                             เป็นปีที่ 39 ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ
ให้ประกาศว่า
      โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
      จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอม
ของรัฐสภา ดังต่อไปนี้

      มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2527"

      มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป

      มาตรา 3 ให้ยกเลิกบทนิยามคำว่า "พนักงานเจ้าหน้าที่" ในมาตรา 3
แห่งพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
      ""พนักงานเจ้าหน้าที่" หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตาม
พระราชบัญญัตินี้"

      มาตรา 4 ให้ยกเลิกความในมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์
แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
      "มาตรา 18 ให้รัฐมนตรีกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการสำหรับคณะกรรมการ
พิจารณารับหลักทรัพย์เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนหรือหลักทรัพย์รับอนุญาตและพิจารณาเพิกถอน
การเป็นหลักทรัพย์ดังกล่าว
      หลักทรัพย์ที่จะรับเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน หรือหลักทรัพย์รับอนุญาตต้องเป็นหลักทรัพย์
ชนิดระบุชื่อ
      การกำหนดตามวรรคหนึ่งให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา"

      มาตรา 5 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 19 ทวิและมาตรา 19 ตรี
แห่งพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517
      "มาตรา 19 ทวิ ในกรณีที่หลักทรัพย์จดทะเบียนหรือหลักทรัพย์รับอนุญาตเป็นตราสาร
หรือหลักฐานแสดงสิทธิในทรัพย์สินของโครงการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยด้วยการประกอบ
ธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์หรือในกรณีที่หลักทรัพย์จดทะเบียน
เป็นหุ้นกู้ที่ออกโดยนิติบุคคลที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้นโดยให้ออกหุ้นกู้ได้ ให้บริษัทหลักทรัพย์
ผู้ประกอบกิจการจัดการลงทุนหรือนิติบุคคลซึ่งออกหลักทรัพย์ดังกล่าวจัดให้มีทะเบียนผู้ถือหลักทรัพย์
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด
      ในกรณีที่หลักทรัพย์จดทะเบียนเป็นหุ้นกู้หรือพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน
ที่ออกโดยองค์การของรัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจ ให้องค์การของรัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจดังกล่าว
จัดให้มีทะเบียนผู้ถือหลักทรัพย์ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด
      มาตรา 19 ตรี ให้บริษัทจดทะเบียนหรือบริษัทรับอนุญาตที่มิใช่บริษัทมหาชนจำกัด
และบริษัทจำกัดที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาเพื่อสั่งรับหลักทรัพย์ของบริษัทจำกัดดังกล่าวเป็น
หลักทรัพย์จดทะเบียนหรือหลักทรัพย์รับอนุญาตตามมาตรา 19 โดยบริษัทจำกัดดังกล่าวมี
โครงการตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
มีสิทธิเสนอขายหุ้นใหม่ต่อประชาชนหรือออกหุ้นกู้ได้ โดยขออนุญาตจากคณะกรรมการตาม
ระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด
      ในการอนุญาตตามวรรคหนึ่ง คณะกรรมการจะกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการด้วย
ความเห็นชอบของรัฐมนตรีเกี่ยวกับการเสนอขายหุ้นใหม่ต่อประชาชน การออกหุ้นกู้และ
การออกหนังสือชี้ชวนก็ได้
      ในกรณีที่คณะกรรมการไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการตามวรรคสอง ได้นำบทบัญญัติ
แห่งกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัดเกี่ยวกับการเสนอขายหุ้นใหม่ต่อประชาชนการออกหุ้นกู้
หนังสือชี้ชวนและบทกำหนดโทษที่เกี่ยวข้องมาใช้บังคับกับการเสนอขายหุ้นใหม่และการออก
หุ้นกู้ตามวรรคหนึ่ง"

      มาตรา 6 ให้ยกเลิกความในมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์
แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
      "มาตรา 20 การซื้อหรือขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ ให้กระทำได้เฉพาะ
หลักทรัพย์จดทะเบียนหรือหลักทรัพย์รับอนุญาตและโดยสมาชิกเท่านั้น
      ในการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ตามวรรคหนึ่ง สมาชิกจะกระทำการเป็นนายหน้าและ
หรือตัวแทนของบุคคลใด ๆ หรือของบริษัทหลักทรัพย์ซึ่งมิได้เป็นสมาชิกก็ได้
      ห้ามมิให้สมาชิกทำการซื้อหรือขายหลักทรัพย์จดทะเบียนหรือหลักทรัพย์รับอนุญาต
นอกตลาดหลักทรัพย์ไม่ว่าจะเป็นการซื้อหรือขายในฐานะนายหน้า ตัวแทน หรือในนาม
ของสมาชิกเอง เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากตลาดจากตลาดหลักทรัพย์"

      มาตรา 7 ให้ยกเลิกความในมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์
แห่งประเทศ พ.ศ. 2517 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
      "มาตรา 21 การซื้อหรือขายในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งหลักทรัพย์จดทะเบียนหรือ
หลักทรัพย์รับอนุญาตอันมิใช่พันธบัตรรัฐบาลก็ดี หรือการยึดถือหรือส่งคืนหลักทรัพย์ดังกล่าว
ที่เป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้ตามมาตรา 21 ฉ  ก็ดี หรือกรณีอื่นตามที่รัฐมนตรี
ประกาศกำหนดก็ดี ให้ใช้หลักทรัพย์ของนิติบุคคลเดียวกันหรือของโครงการลงทุนเดียวกัน
แล้วแต่กรณี และประเภทและชนิดเดียวกันจำนวนเท่ากันได้"

      มาตรา 8 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 21 ทวิ มาตรา 21 ตรี มาตรา 21 จัตวา
มาตรา 21 เบญจและมาตรา 21 ฉ แห่งพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
พ.ศ. 2517
      "มาตรา 21 ทวิ การโอนหลักทรัพย์จดทะเบียนหรือหลักทรัพย์รับอนุญาตอันมิใช่
พันธบัตรรัฐบาล ที่ทำการซื้อหรือขายในตลาดหลักทรัพย์ จะสมบูรณ์ต่อเมื่อผู้รับโอนได้รับ
ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ หรือตราวารอื่น ที่มีการสลักหลังโอนโดยผู้ที่มีชื่อปรากฏในหลักทรัพย์พร้อมกับ
ใบสำคัญการโอนที่มีลายมือชื่อของบุคคลดังกล่าว ทั้งนี้ ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในใบสำคัญ
การโอนตามความในวรรคสอง
      ในรัฐมนตรีอำนาจกำหนดเงื่อนไขการโอนหลักทรัพย์จดทะเบียนหรือหลักทรัพย์รับ
อนุญาตสำหรับกรณีที่ผู้โอนหรือผู้รับโอนหลักทรัพย์ดังกล่าวเป็นบุคคลผู้ไม่มี สัญชาติไทยหรือ
สำหรับกรณีอื่นที่รัฐมนตรีเห็นสมควร และให้ระบุเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนดไว้ในใบสำคัญ
การโอน
      ใบสำคัญการโอนให้เป็นไปตามแบบที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด

      มาตรา 21 ตรี ภายใต้บังคับมาตรา 21 ฉ  ผู้ใดครอบครองใบหุ้น ใบหุ้นกู้ หรือ
ตราสารอื่น ที่มีการสลักหลังโอนพร้อมกับใบสำคัญการโอนตามมาตรา 21 ทวิ ให้สันนิษฐาน
ไว้ก่อนว่าผู้นั้นเป็นเจ้าของหลักทรัพย์นั้น
      ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับหุ้น ใบหุ้นกู้ หรือตราสารอื่นที่บริษัทหลักทรัพย์ครอบครอง
อยู่ในขณะหนึ่งว่า บริษัทหลักทรัพย์ได้ครอบครองไว้เพื่อตนเอง หรือเพื่อลูกค้าของบริษัท
หลักทรัพย์ หรือบริษัทได้ครอบครองไว้เพื่อลูกค้ารายใดให้ใช้บทสันนิษฐานในวรรคหนึ่งตาม
ลำดับก่อนหลัง ดังต่อไปนี้
      (1) ให้การครอบครองของบริษัทหลักทรัพย์เพื่อลูกค้าของบริษัทหลักทรัพย์อยู่ใน
ลำดับก่อนการตรอบครองของบริษัทหลักทรัพย์เพื่อตนเอง
      (2) ให้ลูกค้าซึ่งสั่งซื้อก่อนได้รับประโยชน์ตามลำดับก่อนหลังของหลักทรัพย์ที่ซื้อใน
ตลาดหลักทรัพย์ ทั้งนี้ไม่ว่าบริษัทหลักทรัพย์นั้นจะยึดถือหลักทรัพย์ดังกล่าวไว้เป็นประกัน
การชำระหนี้เงินกู้ตามมาตรา 21 ฉ  หรือไม่ก็ตาม

      มาตรา 21 จัตวา ในการลงทะเบียนการโอนหลักทรัพย์จดทะเบียนหรือหลักทรัพย์
รับอนุญาต ในทะเบียนผู้ถือหุ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือตามกฎหมายว่าด้วย
บริษัทมหาชนจำกัด หรือในทะเบียนผู้ถือหลักทรัพย์ตามมาตรา 19 ทวิ ผู้ออกหลักทรัพย์หรือ
บริษัทหลักทรัพย์ ผู้ประกอบกิจการจัดการลงทุนจะลงทะเบียนการโอนหลักทรัพย์ได้ต่อเมื่อ
ผู้ครอบครองหลักทรัพย์ได้ส่งมอบใบหุ้น ใบหุ้นกู้หรือตราสารอื่นที่ตนได้ลงลายมือชื่อเป็น
ผู้รับโอนพร้อมกับใบสำคัญการโอน
      ให้ผู้ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์ผู้ประกอบกิจการจัดการลงทุนรับรองการโอน
หลักทรัพย์ไว้ในใบหุ้น ใบหุ้นกู้ หรือตราสารอื่นนั้นเว้นแต่ผู้ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทดังกล่าว
จะออกใบหุ้น ใบหุ้นกู้ หรือตราสารอื่น แล้วแต่กรณีให้ใหม่
      ผู้ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์ผู้ประกอบกิจการจัดการลงทุนจะต้องรับรองการ
โอนหลักทรัพย์หรือออกใบหุ้น ใบหุ้นกู้ หรือตราสารอื่น ภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการ
กำหนด เว้นแต่การขอโอนหลักทรัพย์นั้นจะขัดต่อข้อจำกัดในเรื่องการโอนหลักทรัพย์ของ
ผู้ออกหลักทรัพย์หรือของบริษัทดังกล่าว หรือขัดต่อกฎหมาย
      ทะเบียนผู้ถือหลักทรัพย์จดทะเบียนหรือหลักทรัพย์รับอนุญาตและทะเบียนผู้ถือ
หลักทรัพย์ตามมาตรา 19 ทวิ ต้องมีรายการตามบทบัญญัติเกี่ยวกับทะเบียนผู้ถือหุ้นตาม
กฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด และรายการอื่นที่สมควรจดแจ้งไว้ในทะเบียนตามที่
ตลาดหลักทรัพย์กำหนด
      การงดรับลงทะเบียนการโอนหุ้นของบริษัทจดทะเบียนหรือบริษัทรับอนุญาตให้เป็น
ไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด แต่ในกรณีที่บริษัทดังกล่าวจะงดรับ
ลงทะเบียนการโอนหุ้นก่อนวันประชุมผู้ถือหุ้นและได้มีผู้ถือหุ้นขอลงทะเบียนการโอนหุ้นไว้
ก่อนจะต้องมีเวลาเพียงพอที่บริษัทจะรับรองการโอนหุ้นนั้นได้ก่อนวันประชุมผู้ถือหุ้น

      มาตรา 21 เบญจ การโอนหลักทรัพย์จดทะเบียนหรือหลักทรัพย์รับอนุญาตอันมิใช่
พันธบัตรรัฐบาลที่ทำการซื้อหรือขายในตลาดหลักทรัพย์จะใช้ยันกับผู้ออกหลักทรัพย์หรือ
บริษัทหลักทรัพย์ผู้ประกอบกิจการจัดการลงทุนได้ต่อเมื่อผู้ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทดังกล่าว
ได้รับคำร้องขอให้ลงทะเบียนการโอนหลักทรัพย์ในทะเบียนผู้ถือหุ้น หรือในทะเบียนผู้ถือ
หลักทรัพย์แล้ว
      ห้ามมิให้บริษัทจดทะเบียนหรือบริษัทรับอนุญาตจ่ายเงินปันผลหรือเงินตอบแทนอย่าง
อื่นแก่บุคคลที่มิได้ลงทะเบียนเป็นผู้ถือหลักทรัพย์ในทะเบียนผู้ถือหุ้น และห้ามมิให้บริษัทดังกล่าว
ให้บุคคลนั้นออกเสียงลงคะแนนในที่ประชุมของบริษัท

      มาตรา 21 ฉ  ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และกฎหมาย
ว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัดเกี่ยวกับการห้ามบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดเป็นเจ้าของหุ้น
หรือรับจำนำหุ้นของตนเอง ในกรณีที่เจ้าของหลักทรัพย์มีสัญญาให้บริษัทหลักทรัพย์ยึดถือ
หลักทรัพย์จดทะเบียนหรือหลักทรัพย์รับอนุญาตอันมิใช่พันธบัตรรัฐบาลที่ทำการซื้อใน
ตลาดหลักทรัพย์ ไว้เป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้อันเนื่องมาจากการที่บริษัทหลักทรัพย์ซื้อ
หลักทรัพย์ดังกล่าวแทนตนบริษัทหลักทรัพย์ต้องปฏิบัติดังต่อไปนี้
      (1) จัดให้มีบัญชีหลักทรัพย์จดทะเบียนหรือหลักทรัพย์รับอนุญาตดังกล่าว แล้วแต่กรณี
ตามแบบที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนดและต้องลงรายการให้ถูกต้อง ครบถ้วน และตรงตามความ
เป็นจริง
      (2) รักษาหลักทรัพย์จดทะเบียนหรือหลักทรัพย์รับอนุญาตของนิติบุคคลเดียวกันหรือ
ของโครงการลงทุนเดียวกัน แล้วแต่กรณี ไว้ในครอบครองให้ตรงตามประเภทชนิด และ
ตามจำนวนสุทธิที่ปรากฏในบัญชีหลักทรัพย์ตาม (1) อยู่ตลอดเวลา เว้นแต่กรณีที่รัฐมนตรี
ประกาศกำหนดและต้องส่งคืนให้แก่ผู้กู้ได้ในทันทีที่ผู้กู้ได้ชำระหนี้เงินกู้ครบถ้วนแล้ว
      การยึดถือหลักทรัพย์จดทะเบียนหรือหลักทรัพย์รับอนุญาตไว้เป็นประกันการชำระหนี้
เงินกู้ตามวรรคหนึ่งมิให้นำมาตรา 753 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับ
      การบังคับชำระหนี้เงินกู้จากหลักทรัพย์จดทะเบียนหรือหลักทรัพย์รับอนุญาตที่บริษัท
หลักทรัพย์หรือสถาบันการเงินอื่นได้ยึดถือไว้เป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้ ให้ผู้ให้กู้บอกกล่าว
เป็นหนังสือไปยังผู้กู้ก่อนเพื่อให้มีการชำระหนี้เงินกู้ภายในเวลาอันควร ถ้าผู้กู้ละเลยไม่
ปฏิบัติตามคำบอกกล่าวผู้ให้กู้มีสิทธินำหลักทรัพย์ที่ยึดถือนั้นไปขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ตาม
วิธีการที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด
      ให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับการจำนำตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับ
ทั้งนี้ เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับมาตรานี้"

      มาตรา 9 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 33 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์
แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517
      "มาตรา 33 ทวิ เพื่อประโยชน์ในการควบคุมและตรวจสอบการซื้อหรือขายหลักทรัพย์
จดทะเบียนและหลักทรัพย์รับอนุญาตในตลาดหลักทรัพย์ ให้รัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้งพนักงาน
ของตลาดหลักทรัพย์หรือเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ โดยให้มี
อำนาจดังต่อไปนี้
      (1) เข้าไปในสำนักงานของบริษัทหลักทรัพย์ในระหว่างเวลาทำการ
      (2) เรียกเอกสารหรือหลักฐานอื่น ๆ ของบริษัทหลักทรัพย์นั้นจากกรรมการผู้จัดการ
ผู้สอบบัญชี พนักงาน หรือลูกจ้างของบริษัทหลักทรัพย์ และสอบถามบุคคลดังกล่าวนี้ได้
      (3) ในกรณีที่มีเหตุอันสมควรสงสัยว่ามีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้จะ
ยึดหรืออายัดเอกสารหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับความผิดดังกล่าวเพื่อประโยชน์ในการดำเนินคดี
ก็ได้"

      มาตรา 10 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 35 ทวิ และมาตรา 35 ตรี แห่ง
พระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517
      "มาตรา 35 ทวิ ให้บริษัทจดทะเบียน บริษัทรับอนุญาต และบริษัทหลักทรัพย์
ผู้ประกอบกิจการจัดการลงทุนของโครงการลงทุนที่จดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ จัดทำ
รายงานการถือหลักทรัพย์ของกรรมการผู้จัดการ ผู้สอบบัญชีและผู้ดำรงตำแหน่งบริหารตาม
ที่รัฐมนตรีกำหนดของคู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของบุคคลดังกล่าวซึ่งถือหลักทรัพย์
ของบริษัทนั้น หรือของโครงการลงทุนที่บริษัทหลักทรัพย์ผู้ประกอบกิจการจัดการลงทุนนั้นเป็น
ผู้ออกพร้อมทั้งรายงานหมายเลขของหลักทรัพย์ดังกล่าว ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และระยะเวลาที่รัฐมนตรีกำหนด แต่ระยะเวลาที่กำหนดจะต้องไม่ห่างกันเกินหกเดือน
และให้เปิดเผยรายงานดังกล่าวตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีกำหนด
      ให้บริษัทจดทะเบียน บริษัทรับอนุญาต และบริษัทหลักทรัพย์ผู้ประกอบกิจการจัดการ
ลงทุนดังกล่าวจัดทำรายงานการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในการถือหลักทรัพย์ของบุคคลตาม
วรรคหนึ่ง ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาที่รัฐมนตรีกำหนด และในกรณีนี้ให้
พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจสั่งให้บริษัทดังกล่าวเปิดเผยรายงานการเปลี่ยนแปลงใน
สาระสำคัญ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีกำหนด
      การกำหนดตามวรรคหนึ่งและวรรคสองให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
      มาตรา 35 ตรี ให้กรรมการ ผู้จัดการ ของตลาดหลักทรัพย์และพนักงานของ
ตลาดหลักทรัพย์ซึ่งดำรงตำแหน่งที่รัฐมนตรีกำหนด จัดทำรายงานการถือหลักทรัพย์จดทะเบียน
และหลักทรัพย์รับอนุญาตรับอนุญาตของตนของคู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่อ
พนักงานเจ้าหน้าที่ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาที่รัฐมนตรีกำหนด และให้
ประกาศในราชกิจจานุเบกษา"

      มาตรา 11 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 40 ทวิในหมวด 5 แห่งพระราชบัญญัติ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517
      "มาตรา 40 ทวิ ความผิดตามมาตรา 42 เบญจและมาตรา 42 ฉ ให้พนักงานอัยการเท่านั้น
เป็นผู้มีอำนาจฟ้องต่อศาล"

      มาตรา 12 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 41 ทวิ มาตรา 41 ตรี
มาตรา 41 จัตวา และมาตรา 41 เบญจ แห่งพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
พ.ศ. 2517
      "มาตรา 41 ทวิ บริษัทหลักทรัพย์ผู้ประกอบกิจการจัดการลงทุนหรือนิติบุคคลใดไม่
ปฏิบัติตามมาตรา 19 ทวิ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท
      มาตรา 41 ตรี บริษัทใดไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกำหนด
ตามมาตรา 19 ตรี วรรคสองต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกิน
หนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
      มาตรา 41 จัตวา ผู้ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์ผู้ประกอบกิจการจัดการลงทุน
ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 21 จัตวา วรรคสามหรือวรรคสี่ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท
      มาตรา 41 เบญจ บริษัทจดทะเบียนหรือบริษัทรับอนุญาตใด ฝ่าฝืนมาตรา 21 เบญจ
วรรคสอง หรือบริษัทหลักทรัพย์ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 21 ฉ (1) หรือ (2) ต้องระวางโทษ
ปรับไม่เกินสองแสนบาท
      ในกรณีที่บริษัทหลักทรัพย์กระทำความผิดเพราะไม่ปฏิบัติตามาตรา 21 ฉ (1) หรือ (2)
กรรมการของบริษัทหรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัทนั้นต้องระวางโทษจำคุก
ไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มี
ส่วนในการกระทำความผิดนั้นด้วย"

      มาตรา 13 ให้ยกเลิกความในมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์
แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
      "มาตรา 42 ผู้ใดซึ่งเกี่ยวข้องกับหลักทรัพย์และหรือการซื้อหรือขายหลักทรัพย์
ในตลาดหลักทรัพย์แจ้งข้อความอันเป็นเท็จหรือแจ้งข้อความโดยบิดเบือนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ
ฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนหรือบริษัทรับอนุญาต และราคา
ซื้อหรือขายของหลักทรัพย์จดทะเบียนหรือหลักทรัพย์รับอนุญาต ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน
สองแสนบาท
      ในกรณีที่นิติบุคคลกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งกรรมการของนิติบุคคลหรือบุคคลซึ่ง
รับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือ
ปรับไม่เกินสองแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนในการกระทำ
ความผิดนั้นด้วย
      บริษัทจดทะเบียน หรือบริษัทรับอนุญาตใด กระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง หรือปกปิด
ข้อความอันควรต้องแจ้งเกี่ยวกับฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน
หรือบริษัทรับอนุญาต และราคาซื้อหรือขายหลักทรัพย์จดทะเบียนหรือหลักทรัพย์รับอนุญาต
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสี่แสนบาท
      ในกรณีที่บริษัทจดทะเบียน หรือบริษัทรับอนุญาตกระทำความผิดตามวรรคสาม
กรรมการของบริษัทหรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัทนั้นต้องระวางโทษ
จำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตน
มิได้มีส่วนในการกระทำความผิดนั้นด้วย
      ในกรณีที่สมาชิกกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง สมาชิกต้องระวางโทษปรับไม่เกิน
สี่แสนบาท กรรมการของสมาชิกหรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของสมาชิกนั้น
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ เว้นแต่
จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนในการกระทำความผิดนั้นด้วย"

      มาตรา 14 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 42 ทวิ มาตรา 42 ตรี มาตรา 42 จัตวา
มาตรา 42 เบญจ และมาตรา 42 ฉ  แห่งพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
พ.ศ. 2517
      "มาตรา 42 ทวิ ผู้สอบบัญชีผู้ใดของบริษัทจดทะเบียนบริษัทรับอนุญาตหรือบริษัท
หลักทรัพย์ผู้ประกอบกิจการจัดการลงทุนของโครงการลงทุนที่จดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์
รับรองงบดุลหรือบัญชีอื่นใดอันไม่ถูกต้องหรือทำรายงานเท็จต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี
หรือปรับไม่เกินสองแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

      มาตรา 42 ตรี ผู้ใดทำการซื้อหรือขายหรือเสนอซื้อหรือเสนอขายหลักทรัพย์จดทะเบียน
หรือหลักทรัพย์รับอนุญาต เพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิชอบของตนเองหรือของผู้อื่น โดยกระทำการ
แพร่ข่าวว่าราคาของหลักทรัพย์จะขึ้นหรือลงเพราะการกระทำของตนเองหรือของผู้อื่นที่ได้
กระทำหรือจะกระทำเพื่อให้ราคาของหลักทรัพย์นั้นขึ้นขึ้นหรือลง ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน
สองแสนบาท
      ในกรณีที่นิติบุคคลกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง กรรมการของนิติบุคคลหรือบุคคลซึ่ง
รับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือ
ปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนใน
การกระทำความผิดนั้นด้วย

      มาตรา 42 จัตวา ผู้ใดเสนอขายหรือขายหลักทรัพย์จดทะเบียนหรือหลักทรัพย์
รับอนุญาตในตลาดหลักทรัพย์โดยที่ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครอง ต้องระวางโทษ
ปรับไม่เกินสองแสนบาท เว้นแต่การเสนอขายหรือขายหลักทรัพย์ดังกล่าวได้เป็นไปตาม
หลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
      ในกรณีที่นิติบุคคลกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งกรรมการของนิติบุคคลหรือบุคคล
ซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของบุคคลนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือ
ปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนใน
การกระทำความผิดนั้นด้วย
      สมาชิกใดกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง หรือเสนอขายหรือขายหลักทรัพย์ดังกล่าว
โดยมิได้มีบุคคลใดมอบหมายให้ขายหลักทรัพย์นั้นต้องระวางโทษปรับไม่เกินสี่แสนบาท
      ในกรณีที่สมาชิกกระทำความผิดตามวรรคสามกรรมการของสมาชิกหรือบุคคลซึ่ง
รับผิดชอบในการดำเนินงานของสมาชิกนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับ
ไม่เกินสี่แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เว้นแต่พิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนในการกระทำความผิด
นั้นด้วย

      มาตรา 42 เบญจ ในการซื้อหรือขายหลักทรัพย์จดทะเบียนหรือหลักทรัพย์รับอนุญาต
ในตลาดหลักทรัพย์ บุคคลดังต่อไปนี้
      (1) กรรมการ ผู้จักการ หรือผู้สอบบัญชีของบริษัทจดทะเบียนหรือบริษัทรับอนุญาต
หรือกรรมการ ผู้จัดการ หรือผู้สอบบัญชีของบริษัทหลักทรัพย์ผู้ประกอบกิจการจัดการลงทุน
ของโครงการลงทุนที่จดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์
      (2) ผู้ถือหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนหรือบริษัทรับอนุญาตที่ถือหลักทรัพย์ตาม
มูลค่าที่ตราไว้เกินร้อยละสิบของทุนจดทะเบียน ในการนี้ ให้คำนวณมูลค่าหลักทรัพย์ของ
ผู้ถือหลักทรัพย์โดยนับหลักทรัพย์ของคู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของผู้ถือหลักทรัพย์
ดังกล่าวรวมเป็นหลักทรัพย์ของผู้ถือหลักทรัพย์ด้วย
      (3) เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐ หรือกรรมการผู้จัดการหรือพนักงานของ
ตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งอยู่ในตำแหน่งหรือฐานะที่สามารถล่วงรู้ข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญ
ต่อการเปลี่ยนแปลงราคาของหลักทรัพย์ได้จากการปฏิบัติตามหน้าที่
      ทำการซื้อหรือขายหรือเสนอซื้อหรือเสนอขาย หรือชักชวนให้บุคคลอื่นซื้อหรือขาย
หรือเสนอซื้อหรือเสนอขาย ซึ่งหลักทรัพย์จดทะเบียนหรือหลักทรัพย์รับอนุญาตในประการ
ที่น่าจะเป็นการเอาเปรียบโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลภายนอก โดยอาศัยข้อเท็จจริงอันเป็น
สาระสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงราคาของหลักทรัพย์ ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริง
ที่ยังมิได้เปิดเผยต่อประชาชนแต่ตนได้ล่วงรู้มาในตำแหน่งหรือฐานะเช่นนั้น และไม่ว่า
การกระทำดังกล่าวจะกระทำเพื่อประโยชน์แก่ตนเองหรือผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน
หนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
      เพื่อมิให้บุคคลตาม (1) (2) หรือ (3) ได้รับประโยชน์จาการฝ่าฝืนวรรคหนึ่ง
ให้บริษัทจดทะเบียนหรือบริษัทรับอนุญาตหรือบริษัทหลักทรัพย์ผู้ประกอบกิจการจัดการลงทุน
ของโครงการลงทุนที่จดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์มีสิทธิเรียกร้องให้บุคคลดังกล่าวส่งมอบ
ผลประโยชน์ที่บุคคลดังกล่าวได้มาจากการซื้อหลักทรัพย์ที่ได้กระทำภายในหกเดือน
หลังจากที่ตนได้ขายหลักทรัพย์นั้นไป หรือจากการขายหลักทรัพย์ที่ได้กระทำภายในหกเดือน
หลังจากที่ตนได้ซื้อหลักทรัพย์นั้นให้แก่บริษัทหรือโครงการลงทุนดังกล่าวได้
      ถ้าบริษัทดังกล่าวมิได้ใช้สิทธิเรียกร้องตามวรรคสอง ผู้ถือหลักทรัพย์ของบริษัท
จดทะเบียนหรือบริษัทรับอนุญาตจะร้องขอโดยทำเป็นหนังสือให้บริษัทใช้สิทธิเรียกร้องภายใน
สามสิบวันนับแต่วันที่ตนร้องขอก็ได้ และในกรณีที่บริษัทมิได้ดำเนินการตามคำร้องขอ ผู้ถือ
หลักทรัพย์ที่ได้ทำหนังสือร้องขอดังกล่าวจะใช้สิทธิเรียกร้องนั้นเพื่อบริษัท
      การใช้สิทธิเรียกร้องตามวรรคสองและวรรคสาม ให้มีกำหนดอายุความสองปี
นับแต่วันที่บุคคลตาม (1) (2) หรือ (3) ได้รับประโยชน์

      มาตรา 42 ฉ  ในการซื้อหรือขายหลักทรัพย์จดทะเบียนหรือหลักทรัพย์ รับอนุญาต
ในตลาดหลักทรัพย์
      (1) ผู้ใดทำการซื้อหรือขายหลักทรัพย์จดทะเบียนหรือหลักทรัพย์รับอนุญาตโดยรู้เห็น
หรือตกลงกับบุคคลอื่นเป็นการอำพรางเพื่อให้บุคคลทั่วไปหลงผิดไปว่าขณะใดขณะหนึ่งหรือ
ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หลักทรัพย์ใดมีการซื้อหรือขายกันมากหรือราคาของหลักทรัพย์ใด
ได้เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันไม่ตรงต่อสภาพปกติของตลาด ต้องระวางโทษ
จำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
      ในกรณีดังต่อไปนี้ ให้ถือว่าเป็นการอำพรางเพื่อให้บุคคลทั่วไปหลงผิดตาม (1)
ด้วยคือ
      (ก) ทำการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ ซึ่งในที่สุดบุคคลที่ได้ประโยชน์จากการซื้อหรือ
ขายหลักทรัพย์นั้นยังคงเป็นบุคคลคนเดียวกัน
      (ข) สั่งซื้อหลักทรัพย์โดยรู้อยู่แล้วว่าตนเองหรือผู้มีประโยชน์ร่วมกันได้สั่งขายหรือ
จะสั่งขายหลักทรัพย์ของนิติบุคคลเดียวกันหรือของโครงการลงทุนเดียวกัน ประเภทและ
ชนิดเดียวกัน ทั้งนี้โดยมีจำนวนใกล้เคียงกัน ราคาใกล้เคียงกันและภายในเวลาใกล้เคียงกัน
      (ค) สั่งขายหลักทรัพย์โดยรู้อยู่แล้วว่าตนเองหรือผู้มีประโยชน์ร่วมกันได้สั่งซื้อหรือ
จะสั่งซื้อหลักทรัพย์ของนิติบุคคลเดียวกันหรือของโครงการลงทุนเดียวกัน ประเภทและชนิด
เดียวกัน ทั้งนี้ โดยมีจำนวนใกล้เคียงกัน ราคาใกล้เคียงกัน และภายในเวลาใกล้เคียงกัน
      (ง ) การซื้อหรือขายหลักทรัพย์ที่มีการร่วมมือกันระหว่างบุคคลหลายคนเพื่อให้ราคา
ของหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์อยู่ ณ ระดับราคาที่ไม่ได้ส่วนกับสินทรัพย์ของนิติบุคคลหรือ
โครงการลงทุน หรือไม่ได้ส่วนกับผลกำไรที่เกิดจากหรือคาดว่าจะเกิดจากธุรกิจของนิติบุคคล
หรือของโครงการลงทุน
      (2) ผู้ใดโดยตนเองหรือผู้มีประโยชน์ร่วมกันทำการซื้อหรือขายหลักทรัพย์จดทะเบียน
หรือหลักทรัพย์รับอนุญาตใดในลักษณะต่อเนื่องกันอันเป็นผลทำให้การซื้อหรือขายหลักทรัพย์นั้น
ผิดไปจากสภาพปกติของตลาด และการกระทำดังกล่าวได้กระทำเพื่อชักจูงให้บุคคลทั่วไป
ทำการซื้อหรือขายหลักทรัพย์นั้น ถ้ามิได้กระทำโดยสุจริตและมิได้มีความมุ่งหมายเพื่อป้องกัน
ประโยชน์อันชอบธรรมของตนเท่านั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกิน
สองแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
      "ผู้มีประโยชน์ร่วมกัน" ตาม (1) และ (2) ได้แก่บุคคลดังต่อไปนี้
      (ก) นิติบุคคล ซึ่งถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนของผู้กระทำการเกินร้อยละสามสิบ
      (ข) นิติบุคคล ซึ่งผู้กระทำการถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนเกินร้อยละสามสิบ ในกรณีนี้
ให้คำนวณหุ้นหรือหุ้นส่วนของคู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะรวมเข้าเป็นหุ้นหรือหุ้นส่วน
ของผู้ทำการ
      (ค) นิติบุคคล ซึ่งโดยปกติบุคคลดังกล่าวหรือผู้จัดการของนิติบุคคลดังกล่าวจะฟังหรือ
ปฏิบัติตามผู้กระทำการเกี่ยวกับการซื้อหรือขายหลักทรัพย์
      (ง ) นิติบุคคล ซึ่งโดยปกติผู้กระทำการจะฟังหรือปฏิบัติตามนิติบุคคลดังกล่าวหรือผู้จัดการ
ของนิติบุคคลดังกล่าวเกี่ยวกับการซื้อหรือขายหลักทรัพย์
      (จ ) บุคคลธรรมดา ซึ่งโดยปกติจะฟังหรือปฏิบัติตามผู้กระทำการเกี่ยวกับการซื้อหรือ
ขายหลักทรัพย์
      (ฉ ) บุคคลธรรมดา ซึ่งโดยปกติผู้กระทำการจะฟังหรือปฏิบัติตามบุคคลดังกล่าว
เกี่ยงกับการซื้อหรือขายหลักทรัพย์
      (ช ) คู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของผู้กระทำการ"

      มาตรา 15 ให้ยกเลิกความในมาตรา 43 แห่งพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์
แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
      "มาตรา 43 ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ ขัดขวางหรือ
ไม่ให้ความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติตามาตรา 33 หรือมาตรา 33 ทวิ ต้อง
ระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"

      มาตรา 16 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 43 ทวิ และมาตรา 43 ตรี แห่ง
พระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517
      "มาตรา 43 ทวิ บริษัทใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 35 ทวิ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน
สองแสนบาท
      ในกรณีที่บริษัทกระทำความผิดเพราะไม่ปฏิบัติตามมาตรา 35 ทวิ กรรมการของบริษัท
หรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัทนั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี
หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนใน
การกระทำความผิดนั้นด้วย
      มาตรา 43 ตรี ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 35 ตรี ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน
สองหมื่นบาท"

      มาตรา 17 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 44 ทวิ มาตรา 44 ตรี และ
มาตรา 44 จัตวา แห่งพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517
      "มาตรา 44 ทวิ ในกรณีที่พระราชบัญญัตินี้มิได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น หากผู้กระทำ
ความผิดซึ่งต้องรับโทษตามพระราชบัญญัตินี้เป็นนิติบุคคล กรรมการของนิติบุคคลหรือบุคคล
ซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้นต้องระวางโทษเช่นเดียวกับนิติบุคคลนั้นด้วย
เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนในการกระทำความผิดนั้น
      มาตรา 44 ตรี บรรดาความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ เมื่อผู้กระทำความผิดต้อง
คำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษแล้วรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศความผิดและชื่อของผู้กระทำความผิด
นั้นให้ประชาชนทราบ ทั้งนี้ให้คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนประกอบกับพฤติการณ์และ
ความร้ายแรงแห่งความผิด
      มาตรา 44 จัตวา บรรดาความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ให้คณะกรรมการที่รัฐมนตรี
แต่งตั้งมีอำนาจเปรียบเทียบได้
      คณะกรรมการที่รัฐมนตรีแต่งตั้งตามวรรคหนึ่ง ให้มีจำนวนสามคนซึ่งต้องเป็น
พนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
      เมื่อคณะกรรมการได้กระทำการเปรียบเทียบกรณีใดและผู้ต้องหาได้ชำระค่าปรับ
ตามคำเปรียบเทียบภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการกำหนดแล้ว ให้คดีนั้นเป็นอันเลิกกัน"

      มาตรา 18 ความในมาตรา 19 ทวิ และมาตรา 21 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

      มาตรา 19 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
   พลเอก ประจวบ สุนทรางกรู
     รองนายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติแบบนี้ คือ โดยที่ในปัจจุบันนี้
บทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยยังไม่ครบถ้วนและพอเพียงที่จะ
คุ้มครองบุคคลที่ทำการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ได้อย่างเหมาะสม ทั้งสำหรับ
ฝ่ายที่เป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์ และสำหรับผู้ที่ทำการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ของตนใน
ตลาดหลักทรัพย์ เช่น ในเรื่องการโอนหลักทรัพย์การจดทะเบียนผู้ถือหลักทรัพย์ เป็นต้น
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งยังไม่มีบทบัญญัติควบคุมการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ โดยเป็นการอำพราง
หรือในลักษณะต่อเนื่องโดยมีเจตนาเพื่อสร้างราคาของหลักทรัพย์ให้ไม่ตรงต่อสภาพปกติของตลาด
การซื้อหรือขายหลักทรัพย์ของบุคคลที่อยู่ในตำแหน่งหน้าที่ที่สามารถล่วงรู้ข้อเท็จจริงอันเป็นการ
เอาเปรียบบุคคลภายนอก การเสนอขายหรือขายหลักทรัพย์ล่วงหน้าโดยไม่มีหลักทรัพย์อยู่ใน
ครอบครอง และการซื้อหรือขายหลักทรัพย์โดยแพร่ข่าวว่าราคาของหลักทรัพย์จะขึ้นหรือลง
เพราะมีการสร้างราคา ฯลฯ เป็นต้น เพื่อให้การดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ได้เป็นไปโดยเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ สมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517 ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น โดยสามารถควบคุม
การกระทำดังกล่าวได้ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
(ร.จ. เล่ม 101 ตอนที่ 131 หน้า 32  26 กันยายน 2527)