พระราชบัญญัติ
            ว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐฟิลิปปินส์
                                   พ.ศ. 2527
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
                          ให้ไว้ ณ วันที่ 14สิงหาคม พ.ศ.2527
                             เป็นปีที่ 39 ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
ให้ประกาศว่า
      โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างราชอาณาจักรไทย
กับสาธารณรัฐฟิลิปปินส์
      จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอม
ของรัฐสภา ดังต่อไปนี้

      มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน
ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ พ.ศ. 2527 "

      มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป

      มาตรา 3 การส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐฟิลิปปินส์
ให้เป็นไปตามสนธิสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์
ว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ท้ายพระราชบัญญัตินี้
      การแก้ไขเพิ่มเติมประเภทความผิดที่ส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ในข้อ 2 แห่งสนธิสัญญาตาม
วรรคหนึ่ง เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้

      มาตรา 4 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ทั้งนี้เท่าที่เกี่ยวกับ
อำนาจหน้าที่ของตน
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
   พลเอก ป. ติณสูลานนท์
     นายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ประเทศไทยและ
ประเทศฟิลิปปินส์ได้ลงนามในสนธิสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย กับรัฐบาล
แห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน เมื่อวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2524
ในการนี้จะต้องมีกฎหมายเพื่ออนุวัตการให้เป็นไปตามสนธิสัญญา ฯ ดังกล่าว ประกอบกับโดย
ที่สนธิสัญญาดังกล่าว อาจมีการตกลงในระดับรัฐบาลเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมประเภท
ความผิดที่ระบุไว้ให้ผู้กระทำ ฯลฯ อาจถูกส่งตัวข้ามแดนได้ ซึ่งการแก้ไขเพิ่มเติมนี้เป็น
เรื่องในรายละเอียด สมควรบัญญัติให้มีผลใช้บังคับได้เมื่อประกาศราชกิจจานุเบกษาแล้ว
โดยไม่จำต้องตราเป็นพระราชบัญญัติอีกครั้งหนึ่ง จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
(ร.จ. เล่ม 101 ตอนที่ 114 หน้า 1  30 สิงหาคม 2527)
   (คำแปล)
                    สนธิสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาล
                        แห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ว่าด้วยการส่งผู้ร้าย
                                     ข้ามแดน
      รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์
      ด้วยความปรารถนาที่จะทำให้ความร่วมมือระหว่างประเทศทั้งสองในการ
ปราบปรามอาชญากรรมมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อกำหนดกฎเกณฑ์
และส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสองในเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดน
      จึงได้ตกลงกันดังต่อไปนี้

                                      ข้อ 1
                            ข้อผูกพันในการส่งผู้ร้ายข้ามแดน
      รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ตกลงที่จะส่งให้
แก่กันและกันภายใต้พฤติการณ์และเงื่อนไขดังที่ระบุไว้ในสนธิสัญญานี้ ซึ่งตัวบุคคลที่พบในดินแดน
ของตน ซึ่งกำลังถูกกล่าวหาหรือถูกดำเนินคดีถูกตัดสินว่ามีความผิด หรือถูกพิพากษาลงโทษใน
ความผิดใดความผิดหนึ่งในข้อ 2 ของสนธิสัญญานี้ ซึ่งได้กระทำในดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่ง
หรือนอกดินแดนนั้นภายใต้เงื่อนไขที่ระบุไว้ในข้อ 4

                                      ข้อ 2
                             ความผิดที่ส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้
      1. บุคคลที่จะถูกส่งตัวได้ตามบทบัญญัติแห่งสนธิสัญญานี้คือบุคคลที่กำลังถูกกล่าวหา
หรือถูกดำเนินคดี ถูกตัดสินว่ามีความผิดหรือถูกพิพากษาลงโทษในความผิดความผิดหนึ่ง
ดังต่อไปนี้ และความผิดดังกล่าวเป็นความผิดที่มีโทษตามกฎหมายของภาคีทั้งสองฝ่ายซึ่ง
อาจเป็นโทษประหารชีวิตหรือจำคุก หรือทำให้ปราศจากเสถียรภาพเป็นระยะเวลาเกินกว่า 1 ปี
      ก) ฆ่าหรือทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
      ข) ข่มขืนกระทำชำเรา กระทำอนาจาร กระทำการทางเพศที่ผิดกฎหมายกับหรือ
         ต่อผู้เยาว์ภายในอายุที่กำหนดไว้ในกฎหมายอาญาของภาคีทั้งสองฝ่าย
      ค) ลักพาตัว
      ง ) ทำร้ายร่างกาย
      จ ) หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือโดยพลการ
      ฉ ) เอาคนลงเป็นทาส และความผิดอื่นในทำนองเดียวกัน
      ช ) ชิงทรัพย์ ลักทรัพย์
      ซ ) ยักยอก ฉ้อโกง หลอกลวง
      ฌ) กรรโชก ข่มขู่ รีดเอาทรัพย์
      ญ) ให้สินบนและฉ้อราษฎร์บังหลวง
      ฎ) แก้ไขเอกสารโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เบิกความเท็จ แสดงทำและใช้พยาน
         หลักฐานอันเป็นเท็จ
      ฏ ) ปลอมเอกสาร ปลอมเงินตรา และความผิดที่เกี่ยวข้อง
      ฐ ) นำสินค้าเข้าหรือออกนอกราชอาณาจักรโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
      ฑ) วางเพลิง ทำลายหรือทำให้ทรัพย์สินเสียหายโดยเจตนาหรือโดยมิชอบด้วย
         กฎหมาย
      ฒ ) ยึดอากาศยาน กระทำการอันเป็นโจรสลัด ก่อการจลาจลในเรือ
      ณ) ความผิดตามกฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติด ยาอันตรายหรือยาต้องห้าม หรือวัตถุ
         เคมีต้องห้าม
      ด ) ความผิดตามกฎหมายเกี่ยวกับอาวุธปืน วัตถุระเบิดหรือเครื่องมือในการวางเพลิง
      2. การส่งผู้ร้ายข้ามแดนให้กระทำได้สำหรับการร่วมกระทำความผิดใด ๆ ที่ระบุ
ไว้ในข้อนี้ทั้งในฐานะตัวการหรือผู้สนับสนุนและผู้สมคบ รวมทั้งการพยายามหรือวางแผน
กระทำความผิดใดที่กล่าวไว้ข้างต้น ถ้าการร่วมกระทำ การพยายามหรือวางแผนเหล่านั้นเป็น
ความผิดที่มีโทษตามกฎหมายของภาคีทั้งสองฝ่ายโดยการจำคุกหรือทำให้ปราศจากเสรีภาพ
เป็นระยะเวลาเกินกว่า 1 ปี
      3. การส่งผู้ร้ายข้ามแดนอาจกระทำได้โดยดุลยพินิจของภาคีฝ่ายที่ได้รับ
การร้องขอในความผิดอื่นใดที่อาจส่งตัวให้กันได้ตามกฎหมายของภาคีทั้งสองฝ่ายด้วย
      4. ถ้ามีการร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนสำหรับความผิดที่รวมอยู่ในวรรค 1,2 และ3
ของข้อนี้และความผิดนั้นมีโทษตามกฏหมายของภาคีทั้งสองฝ่ายโดยการจำคุกหรือทำให้
ปราศจากเสรีภาพเป็นระยะเวลาเกินกว่า 1 ปี การส่งผู้ร้ายข้ามแดนสำหรับความผิดนั้นจะเป็น
ตามบทบัญญัติของสนธิสัญญานี้ ไม่ว่ากฎหมายของภาคีทั้งสองฝ่ายจะจัดประเภทความผิดนั้น
ไว้ในความผิดประเภทเดียวกัน หรือเรียกชื่อความผิดเหมือนกันหรือไม่ก็ตาม หากองค์ประกอบ
ของความผิดนั้นตรงกับองค์ประกอบของความผิดฐานหนึ่งหรือมากกว่าที่กล่าวไว้ในข้อนี้ตาม
กฎหมายของภาคีทั้งสองฝ่าย

                                      ข้อ 3
                               สถานที่ที่กระทำความผิด
      ภาคีฝ่ายที่ได้รับการร้องขออาจปฏิเสธที่จะส่งบุคคลซึ่งถูกขอให้ส่งตัวข้ามแดนสำหรับ
ความผิดซึ่งตามกฎหมายของตนถือว่ากระทำทั้งหมดหรือบางส่วนในอาณาเขตของตน หรือ ณ
สถานที่ซึ่งถือว่าเป็นอาณาเขตของตน

                                      ข้อ 4
                                อาณาเขตที่สนธิสัญญาใช้
      1. ในสนธิสัญญานี้ การอ้างถึงอาณาเขตของภาคี หมายถึงการอ้างถึงอาณาเขต
ทั้งหมดภายใต้เขตอำนาจของภาคีฝ่ายนั้น และหมายถึงเรือ อากาศยานที่จดทะเบียนใน
ภาคีฝ่ายนั้น ถ้าในขณะที่กระทำความผิดอากาศยานนั้นกำลังบินอยู่หรือเรือนั้นอยู่ในทะเล
หลวงเพื่อวัตถุประสงค์แห่งสนธิสัญญานี้ให้ถือว่าอากาศยานกำลังบินอยู่นับตั้งแต่ขณะที่ประตู
ภายนอกทั้งหมดของอากาศยานปิดหลังจากผู้โดยสารขึ้นเครื่องจนกระทั่งขณะที่ประตูบานใด
เปิดออกเพื่อผู้โดยสารลงจากเครื่อง
      2. เมื่อความผิดซึ่งถูกร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้กระทำนอกอาณาเขตของภาคี
ฝ่ายที่ร้องขอ ภาคีฝ่ายที่ได้รับการร้องขอมีอำนาจอนุญาตให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ ถ้ากฎหมาย
ของภาคีฝ่ายที่ได้รับการร้องขอบัญญัติการลงโทษความผิดที่ได้กระทำในพฤติการณ์ที่คล้ายคลึงกัน
      3. การกำหนดอาณาเขตของภาคีฝ่ายที่ได้รับการร้องขอให้เป็นไปตามกฎหมายแห่ง
ชาติของตน

                                  ข้อ 5
                                ความผิดทางการเมือง
      1. จะไม่มีการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ถ้าความผิดที่ได้รับการร้องขอนั้นภาคีฝ่ายที่ได้
รับการร้องขอถือว่าเป็นความผิดทางการเมือง
      2. ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นว่าคดีเป็นความผิดทางการเมืองหรือไม่ ให้วินิจฉัยของภาคี
ฝ่ายที่ได้รับการร้องขอเป็นเด็ดขาด
      3. การปลงชีวิตหรือพยายาม ปลงชีวิตประมุขแห่งรัฐหรือผู้รักษาการแทนประมุขแห่งรัฐ
หรือหัวหน้าคณะรัฐบาลของภาคีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือสมาชิกในครอบครัวของบุคคลดังกล่าว
มิให้ถือว่าเป็นความผิดทางการเมือง ตามความมุ่งประสงค์แห่งสนธิสัญญานี้

                                    ข้อ 6
                                การส่งคนชาติข้ามแดน
      1. ภาคีแต่ละฝ่ายมีสิทธิที่จะปฏิสนธการส่งคนชาติของตนข้ามแดน
      2. ถ้าภาคีฝ่ายที่ได้รับการร้องขอไม่ส่งคนชาติของตนข้ามแดนภาคีฝ่ายนั้นจะต้อง
เสนอคดีนั้นให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของตนเพื่อดำเนินคดีต่อไปตามคำร้องขอของภาคีฝ่ายที่
ร้องขอเพื่อความมุ่งประสงค์นี้ ภาคีฝ่ายที่ร้องขอจะต้องส่งสำนวน ข้อสนเทศ และพยาน
เอกสารหรือพยานวัตถุที่เกี่ยวกับความผิดนั้นให้แก่ภาคีฝ่ายที่ได้รับการร้องขอ
      3. แม้จะมีวรรค 2 ของข้อนี้ ภาคีฝ่ายที่ได้รับการร้องขอไม่ต้องเสนอคดีนั้น ให้
เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของตนเพื่อดำเนินคดี ถ้าเจ้าหน้าที่นั้นไม่มีอำนาจในคดีนั้น

                                      ข้อ 7
                       ข้อยกเว้นของข้อผูกพันในการส่งผู้ร้ายข้ามแดน
      จะไม่มีการส่งผู้ร้ายข้ามแดนในกรณีต่อไปนี้
      ก) เมื่อบุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัวได้ถูกพิจารณาคดีและได้มีคำพิพากษาให้ปล่อยตัว
หรือได้รับโทษในดินแดนของรัฐที่สามสำหรับความผิดที่ได้รับการร้องขอให้มีการส่งผู้ร้าย
ข้ามแดนแล้ว
      ข) เมื่อการฟ้องคดีหรือการบังคับโทษสำหรับความผิดนั้นต้องห้าม โดยอายุความ
หรือขาดอายุความตามกฎหมายของภาคีฝ่ายที่ร้องขอ
      ค) เมื่อความผิดนั้นเป็นการละเมิดกฎหมายหรือข้อบังคับทางทหารที่มิใช่ความผิด
ตามกฎหมายอาญาทั่วไป

                                      ข้อ 8
                                  การไม่ลงโทษซ้ำ
      จะไม่มีการส่งผู้ร้ายข้ามแดนในกรณีดังต่อไปนี้
      ก) ถ้าเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของภาคีฝ่ายที่ได้รับการร้องขอได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
ต่อบุคคลซึ่งถูกขอให้ส่งตัวเกี่ยวกับความผิดซึ่งได้รับการร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน
      ข) ถ้าบุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัวกำลังถูกดำเนินคดีหรือถูกฟ้องคดีแล้ว หรือถูกพิจารณาคดี
และได้รับการพิพากษาให้ปล่อยตัว หรือลงโทษตามคำพิพากษาแล้วโดยภาคีฝ่ายที่ได้รับ
การร้องขอสำหรับความผิดที่มีการร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน

                                      ข้อ 9
                      หลักเกณฑ์ว่าด้วยการพิจารณาความผิดเฉพาะเรื่อง
      บุคคลผู้ถูกส่งตัวข้ามแดนจะไม่ถูกฟ้องคดี ถูกพิพากษาลงโทษหรือถูกควบคุมหรือขัง
สำหรับความผิดใด ๆซึ่งได้กระทำก่อนการส่งตัวบุคคลนั้น นอกเหนือจากความผิดที่เป็นเหตุ
ให้บุคคลนั้นถูกส่งข้ามแดนเว้นแต่ในกรณีดังต่อไปนี้
      ก) เมื่อภาคีฝ่ายที่ได้รับดารร้องขอซึ่งได้ส่งตัวบุคคลนั้นยินยอมคำร้องขอให้ให้
ความยินยอมจะต้องส่งให้ภาคีฝ่ายที่ได้รับการร้องขอพร้อมกับเอกสารที่ระบุไว้ในข้อ 16
ในกรณีที่ความผิดที่ขอให้ให้ความยินยอมนั้นเป็นความผิดที่จะต้องส่งผู้ร้ายข้ามแดนตามบทบัญญัติ
ของข้อ 2 แห่งสนธิสัญญานี้แล้ว จะต้องให้ความยินยอมเสมอ
      ข) เมื่อบุคคลนั้นมีโอกาสจะออกจากอาณาเขตของภาคีที่ถูกส่งตัวไป แต่มิได้ออกไป
ภายใน 45 วัน นับแต่วันที่ได้รับการปล่อยตัวเด็ดขาดแล้ว หรือได้กลับเข้ามาในอาณาเขต
นั้นอีกภายหลังที่ได้ออกไปแล้ว

                                     ข้อ 10
                                 การจับกุมชั่วคราว
      1. ในกรณีเร่งด่วนเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของภาคีฝ่ายที่ร้องขออาจร้องขอให้จับกุม
บุคคลที่ต้องการตัวไว้ชั่วคราว เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของภาคีฝ่ายที่ได้รับการร้องขอจะวินิจฉัย
เรื่องนี้ตามกฎหมายของตน
      2. ในคำร้องให้จับกุมชั่วคราวจะต้องแจ้งว่ามีเอกสารที่ระบุไว้ในข้อ 16 อยู่แล้ว
และประสงค์จะส่งคำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนคำร้องขอจะต้องแจ้งด้วยว่าความผิดใดที่
จะขอให้มีการส่งผู้ร้ายข้ามแดนและความผิดเช่นว่านั้นได้เกิดขึ้นเมื่อใดและที่ใด พร้อมทั้ง
แจ้งรูปพรรณของบุคคลที่ต้องการตัวเท่าที่จะทำได้
      3. คำร้องขอให้จับกุมชั่วคราวนั้น ในประเทศไทยจะต้องส่งให้อธิบดีกรมตำรวจ
และในประเทศฟิลิปปินส์จะต้องส่งให้สำนักงานสอบสวนแห่งชาติ โดยจะส่งผ่านทางการทูต
หรือส่งโดยตรงทางไปรษณีย์หรือโทรเลขหรือผ่านทางองค์การตำรวจสากล
(อินเตอร์โปล ) ก็ได้
      4. ภาคีฝ่ายที่ร้องขอจะต้องได้รับแจ้งผลของการร้องขอโดยไม่ชักช้า
      5. การจับกุมชั่วคราวอาจสิ้นสุดลงถ้าภายในระยะเวลา 20 วัน หลังการจับกุมภาคี
ฝ่ายที่ได้รับคำร้องขอมิได้รับคำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนและเอกสารที่ระบุไว้ในข้อ 16
      6. การปล่อยตัวจากการจับกุมชั่วคราวจะไม่กระทบกระเทือนต่อการจับกุมใหม่และ
การส่งผู้ร้ายข้ามแดน ถ้าได้รับการร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนในภายหลัง

                                     ข้อ 11
                             การส่งตัวบุคคลที่จะส่งข้ามแดน
      1. ภาคีฝ่ายที่ได้รับการร้องขอต้องแจ้งโดยผ่านทางการทูตให้ภาคีฝ่ายที่ร้องขอ
ทราบการวินิจฉัยของตนเกี่ยวกับคำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน
      2. การปฏิเสธคำร้องขอใด ๆ ต้องให้เหตุผลประกอบด้วย
      3. ถ้าคำร้องขอได้รับความเห็นชอบ ภาคีฝ่ายที่ร้องขอจะได้รับแจ้งให้ทราบถึง
สถานที่และวันส่งตัว ตลอดจนระยะเวลาที่บุคคลซึ่งถูกขอให้ส่งตัวได้ถูกคุมขังเพื่อการส่งตัวด้วย
      4. ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติวรรค 5 ของข้อนี้ถ้าบุคคลซึ่งถูกขอให้ส่งตัวมิได้ถูกรับ
เอาตัวไปในวันนัดหมายบุคคลนั้นอาจได้รับการปล่อยตัวหลังจากพ้นกำหนด 15 วัน และไม่
ว่าในกรณีใด ๆ จะต้องได้รับการปล่อยตัวหลังจากพ้นกำหนด 30 วัน และภาคีฝ่ายที่ได้รับ
การร้องขออาจปฏิเสธที่จะส่งบุคคลผู้นั้นข้ามแดนในความผิดเดียวกันนั้นได้
      5. ถ้าโดยพฤติการณ์นอกเหนือการควบคุมทำให้ภาคีฝ่ายหนึ่งไม่อาจส่งตัวหรือรับตัว
บุคคลที่จะส่งข้ามแดนได้ภาคีฝ่ายนั้นจะต้องแจ้งให้ภาคีอีกฝ่ายหนึ่งทราบ ภาคีทั้งสองฝ่ายจะ
ต้องตกลงกันในเรื่องวันส่งตัวครั้งใหม่ และให้ใช้บทบัญญัติวรรค 4 ของข้อบังคับ

                                     ข้อ 12
                                 การเลื่อนการส่งตัว
      ภายหลังจากที่ได้วินิจฉัยคำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน ภาคีฝ่ายที่ได้รับการร้องขอ
อาจเลื่อนการส่งตัวบุคคลซึ่งถูกขอให้ส่งตัว เพื่อดำเนินคดีต่อบุคคลนั้นโดยภาคีฝ่ายนั้นสำหรับ
ความผิดนอกเหนือจากความผิดซึ่งได้มีการร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนก็ได้ หรือ ถ้าบุคคล
นั้นถูกพิพากษาลงโทษในความผิดนั้นแล้ว เพื่อให้บุคคลนั้นรับโทษในอาณาเขตของภาคีฝ่ายนั้น

                                     ข้อ 13
                                 การส่งมอบทรัพย์สิน
      1. เท่าที่กฎหมายของตนอนุญาตไว้และเมื่อได้รับการร้องขอจากภาคีฝ่ายที่ร้องขอ
ภาคีฝ่ายที่ได้รับการร้องขอต้องยึดและส่งมอบทรัพย์สิน
      ก) ซึ่งอาจต้องใช้เป็นพยานหลักฐาน หรือ
      ข) ซึ่งได้มาโดยผลของการกระทำความผิดและพบว่าอยู่ในความครอบครองของ
บุคคลซึ่งถูกขอให้ส่งตัวขณะที่ถูกจับกุมหรือค้นพบในภายหลัง
      2. ทรัพย์สินที่ระบุในวรรค 1 ของข้อนี้ต้องส่งมอบถึงแม้ว่าจะไม่สามารถดำเนิน
การส่งผู้ร้ายข้ามแดนตามที่ตกลงกันไว้ได้เนื่องจากบุคคลซึ่งถูกขอให้ส่งตัวตายหรือหลบหนีไป
      3. เมื่อทรัพย์สินดังกล่าวจะต้องถูกยึดหรือถูกริบในอาณาเขตของภาคีฝ่ายที่ได้รับ
การร้องขอในคดีอาญาซึ่งกำลังดำเนินอยู่ ภาคีฝ่ายนั้นอาจยึดทรัพย์สินนั้นไว้เป็นการชั่วคราว
หรือส่งมอบให้ภาคีอีกฝ่ายหนึ่งโดยมีเงื่อนไขว่าจะส่งทรัพย์สินนั้น
      4. สิทธิใด ๆ ในทรัพย์สินดังกล่าวซึ่งภาคีฝ่ายที่ได้รับการร้องขอหรือรัฐอื่นใด
อาจได้มานั้นจะต้องได้รับความคุ้มครอง ในกรณีที่สิทธิดังกล่าวนี้มีอยู่ จะต้องคืนทรัพย์สิน
นั้นโดยไม่มีค่าภาระใด ๆ ให้แก่ภาคีฝ่ายที่ได้รับการร้องขอโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ภายหลังการพิจารณาคดี

                                     ข้อ 14
                                    วิธีพิจารณา
      วิธีพิจารณาเกี่ยวกับการส่งผู้ร้ายข้ามแดนและการรับกุมชั่วคราวซึ่งบุคคลที่ถูกขอให้
ส่งข้ามแดนให้เป็นไปตามกฎหมายของภาคีฝ่ายที่ได้รับการร้องขอเพียงฝ่ายเดียว

                                     ข้อ 15
                                    ค่าใช้จ่าย
      ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในอาณาเขตของภาคีฝ่ายที่ได้รับการร้องขอโดยเหตุแห่ง
การส่งผู้ร้ายข้ามแดนนั้น ให้ภาคีฝ่ายนั้นเป็นผู้ออก

                                     ข้อ 16
                             คำร้องขอและเอกสารสนับสนุน
      1. คำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนให้ทำเป็นลายลักษณ์อักษรและในประเทศไทย
จะต้องส่งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และในประเทศฟิลิปปินส์จะต้องส่งให้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม โดยผ่านทางการทูต
      2. คำร้องขอจะต้องสนับสนุนโดย
      ก) ต้นฉบับคำพิพากษาหรือสำเนาที่มีการรับรองซึ่งใช้บังคับได้ทันที หรือของ
หมายจับหรือคำสั่งอื่นซึ่งมีผลบังคับเช่นเดียวกันและได้ออกตามวิธีการที่วางไว้ในกฎหมาย
ของภาคีฝ่ายที่ร้องขอ
      ข)คำแถลงเกี่ยวกับความผิดที่ได้มีการร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งระบุเวลาและ
สถานที่ที่ความผิดเกิดขึ้นลักษณะตามกฎหมายของความคิดและอ้างบทบัญญัติของกฎหมายที่
เกี่ยวข้องไว้ให้แน่นอนเท่าที่จะทำได้
      ค) สำเนาตัวบทกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หรือเมื่อไม่อาจทำได้คำแถลงเกี่ยวกับกฎหมาย
ที่เกี่ยวข้องและรูปพรรณที่แน่นอนเท่าที่จะทำได้ของบุคคลซึ่งถูกขอให้ส่งตัวพร้อมทั้งข้อสนเทศ
อื่นใดซึ่งจะช่วยให้รู้จักตัวและสัญชาติของบุคคลนั้นด้วย
      3. เอกสารที่จะให้ในการดำเนินการส่งผู้ร้ายข้ามแดนจะต้องจัดทำเป็นภาษาอังกฤษ

                                     ข้อ 17
                                   คำร้องขอซ้อน
      ภาคีซึ่งได้รับคำร้องขอให้ส่งบุคคลคนเดียวกันข้ามแดนสองคำร้องขอหรือมากกว่า
นั้น ไม่ว่าเพื่อความผิดเดียวกันหรือความผิดที่ต่างกันจะวินิจฉัยว่าจะส่งตัวบุคคลที่ถูกร้องขอ
นั้นให้แก่รัฐที่ร้องขอรัฐใด โดยคำนึงถึงพฤติการณ์ต่าง ๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความ
เป็นไปได้ของการส่งผู้ร้ายข้ามแดนอีกต่อหนึ่งระหว่างรัฐที่ร้องขอเหล่านั้น ความหนึ่งเบา
ของความผิดแต่ละความผิด สถานที่ที่ได้กระทำความผิดสัญชาติของบุคคลที่ถูกร้องขอ วันที่
ที่ได้รับคำร้องขอและบทบัญญัติของความตกลงส่งผู้ร้ายข้ามแดนใด ๆ ระหว่างภาคีฝ่ายนั้น
กับรัฐที่ร้องขออื่น ๆ

                                     ข้อ 18
                                การระงับข้อผิดพลาด
      ข้อพิพาทใด ๆ ระหว่างภาคีทั้งสองฝ่ายอันเกิดขึ้นจากการตีความหรือการดำเนิน
การให้เป็นไปตามสนธิสัญญานี้ จะต้องระงับโดยสันติด้วยการปรึกษาหารือหรือการเจรจากัน

                                     ข้อ 19
                                  การเริ่มใช้บังคับ
      สนธิสัญญานี้จะเริ่มใช้บังคับในวันแลกเปลี่ยนสัตยาบันสารกัน

                                     ข้อ 20
                                   การบอกเลิก
      ภาคีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอาจบอกเลิกสนธิสัญญานี้ในเวลาใดก็ได้ โดยการแจ้งล่วงหน้า
หกเดือนถึงเจตนาที่จะบอกเลิกไปยังภาคีอีกฝ่ายหนึ่ง การบอกเลิกสนธิสัญญาดังกล่าวจะไม่
เป็นการเสื่อมเสียแก่การดำเนินคดีใด ๆ ซึ่งได้เริ่มไปแล้วก่อนวันแจ้งนั้น
      เพื่อเป็นพยานแก่การนี้ ผู้ลงนามข้างท้ายนี้ซึ่งได้รับมอบอำนาจโดยถูกต้องจากรัฐบาล
ของตนแต่ละฝ่าย ได้ลงนามสนธิสัญญานี้
      ทำคู่กันเป็นสองฉบับ ณ มะนิลา เมื่อวันที่สิบหก มีนาคม คริสตศักราชหนึ่งพันเก้าร้อย
แปดสิบเอ็ด เป็นภาษาอังกฤษ
      สำหรับ                               สำหรับ
รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย              รัฐบาลแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์
    สิทธิ เศวตศิลา                      คาร์ลอส พี. โรมูโล
  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ   รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ